สิงคโปร์ลงทุนในเมียนมาเพิ่มเป็นสามเท่า

รายงานของกระทรวงการลงทุนและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจต่างประเทศระบุตัวเลขเงินลงทุนจากสิงคโปร์ ญี่ปุ่น และประเทศตะวันตกมีมูลค่าสูงถึง 1.3 พันล้านเหรียญสหรัฐซึ่งเพิ่มขึ้นสามเท่าในไตรมาสแรกของปีนี้ โดยการลงทุนโดยตรง (FDI) จากจีนและฮ่องกงเพิ่มขึ้น 150% แตะระดับ 590 ล้านเหรียญสหรัฐ ภาคพลังงานและการขนส่งมีการลงทุนมากขึ้น ภาคการผลิตสูงถึง 700 ล้านเหรียญสหรัฐหรือเพิ่มขึ้น 60% ภาคขนส่งและการสื่อสารสูงถึงหนึ่งพันล้านเหรียญสหรัฐหรือเพิ่มขึ้นสี่เท่า การลงทุนโดยตรงในทุกภาคการลงทุนคาดว่าจะมีการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น ตั้งแต่ปี 31 – 32 ถึงเดือนมิ.ย. ของปี 61 – 62 มีการลงทุนจาก 49 ประเทศ มูลค่ากว่า 80.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีสิงคโปร์ติดอันดับ FDI มากที่สุด 21.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตามมาด้วยจีนก20.68 พันล้านเหรียญสหรัฐ ไทย 11.309 พันล้านเหรียญ ฮ่องกงกว่า 8.165 พันล้านเหรียญสหรัฐ และอังกฤษ 4.255 พันล้านเหรียญสหรัฐ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศทั้งหมดในอีก 20 ปีข้างหน้า คาดว่าจะสูงกว่า 220 พันล้านเหรียญสหรัฐ

ที่มา : https://elevenmyanmar.com/news/singapores-investment-increases-threefold

ธุรกิจขนส่งและยานยนต์

ธุรกิจขนส่งและธุรกิจยานยนต์เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจมากๆ เป็นปกติที่ประเทศเปิดใหม่ มักจะต้องมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะก่อน ในเมียนมาทุกอย่างกำลังเริ่มต้นใหม่ เพียงแต่ต่างจากไทยอาจเวลาถึง 30 ปีกว่าจะเปลี่ยนเป็นประเทศกำลังพัฒนา ในเมียนมาใช้เวลาเพียงไม่ถึง 10 ปี ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ที่เปลี่ยนแปลงเร็วเพราะยุคสมัยเปลี่ยนไปก่อนล่วงที่เมียนมาเปลี่ยน จึงทำให้เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งก็เหมือนเวียดนามนั่นเอง แต่ในชนบทยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพราะไม่มีเงินทุนสำรองมากนัก จึงเปิดให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนมากกันมากขึ้น ในแง่ของธุรกิจยานยนต์ ที่นี่ในอดีตที่ผ่านมา ไม่อนุญาตให้นำเข้ารถยนต์ ตั้งแต่ ปี 2000 เพราะในยุคก่อนนั้นมีการนำเข้ารถเก่าญี่ปุ่นจากประเทศไทยเข้าไปเยอะ และเป็นช่วงที่ราคาน้ำมันจะได้รับการอุ้มจากรัฐบาล ราคาตลาดมืดลิตรละประมาณ 1,000-1,200 Ks/ลิตร แต่ราคารัฐบาลขายให้ประชาชนที่มีรถยนต์ โดยการจำกัดรถ 1 คัน ให้เติมวันละ 4 แกลลอน/ละ 400-600 Ks รถ 1 คัน สามารถวิ่งเข้าไปเติมน้ำมันแล้วเก็บไว้ขายสามารถสร้างรายได้เลี้ยงครอบครัวได้เลย ดังนั้นจึงห้ามนำเข้ารถยนต์ พอในเดือน ส.ค. 2007 รัฐบาลทนต่อการขาดทุนไม่ไหวจึงประกาศงดการสนับสนุนอีกต่อไป

ที่มา: https://www.posttoday.com/aec/scoop/561437

นครด่งนายก้าวหน้าในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ

จังหวัดทางตอนใต้ของจังหวัดด่งนายเวียดนามกำลังดำเนินพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และปฏิรูปการบริหาร เพื่อพัฒนาสภาพแวดล้อมทางธุรกิจแก่นักลงทุนต่างชาติ โดยจากรายงานของกระทรวงการวางแผนและการลงทุน ระบุว่า ในจังหวัดด่งนายมีจำนวนเขตอุตสาหกรรม (Industrial Parks : IPs) อยู่ที่ 35 แห่ง รวมไปถึง มีโครงการลงทุนจากต่างชาติ 1,804 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 33 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กว่า 45 ประเทศทั่วโลก ซึ่งเวียดนามให้ความสำคัญกับโครงการเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และไม่ยอมรับกับการใช้แรงงานเข็มข้นสูง ด้วยเทคโนโลยีระดับต่ำ นอกจากนี้ คาดการณ์ว่ามูลค่าการลงทุนจากต่างชาติตลอดทั้งปีนี้ จะแตะระดับ 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/dong-nai-works-to-create-breakthrough-in-fdi-attraction/158279.vnp

เวียดนามถือเป็นจุดมุ่งหมายในทำธุรกิจของนักลงทุนชาวออสเตรเลีย

เวียดนามเป็นเป้าหมายของนักลงทุนต่างชาติ ด้วยแรงงานถูก จำนวนประชากรในวัยรุ่นมีจำนวนมาก มีการศึกษาอยู่ในระดับสูง และนโยบายรัฐบาลที่เอื้อต่อการทำธุรกิจ โดยบทความทางด้านการเงินของออสเตรเลีย ระบุว่ากลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นที่นิยมในหมู่ชาวออสเตรเลีย ทั้งด้านการท่องเที่ยวและโอกาสในการทำธุรกิจ เป็นต้น หากยกตัวอย่างธุรกิจออสเตรเลีย “SunRice Group” ได้เข้ามาซื้อโรงงานแปรรูป/โรงงานบดวัตถุดิบ ในปีที่แล้ว และได้จัดตั้งโปรแกรมปรับปรุงพันธ์พืช รวมทั้งร่วมมือกับชาวเกษตรท้องถิ่น เพื่อพัฒนาอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ จากสถิติของกระทรวงการวางแผนและการลงทุนเวียดนาม (MPI) เผยว่าในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ การลงทุนของออสเตรเลียไปยังเวียดนามมากกว่า 124 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/524365/viet-nam-emerges-as-attractive-destination-for-australian-investors.html#rjCe58aCupjXdZSE.97