สภาพคล่องของตลาดการเงินยังคงมีเสถียรภาพ ถึงแม้อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ช่วงขาขึ้น
จากรายงานของธนาคารกลางเวียดนาม (SBV) เปิดเผยว่าในวันที่ 21 พฤษภาคม มีการปรับขึ้นอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องมาจากความกังวลของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนที่ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น หลังจากที่ธนาคารเตรียมการควบคุมความผันผวนอัตราแลกเปลี่ยนให้อยู่ในระดับ 1 เหรียญสหรัฐฯ ต่อ 23,000 ด่อง เมื่อวันที่ 2 มกราคมที่ผ่านมา ดังนั้น ธนาคารกลางจึงซื้อสกุลเงินต่างประเทศจำนวนมาก เพื่อเพิ่มทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ และทำให้เกิดความมั่งคงทางการเงิน รวมไปถึงการใช้มาตรการแบบซิงโครนัส และใช้เครื่องมือนโยบายการเงินเพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาด หากจำเป็นทางธนาคารกลางพร้อมที่จะขายเงินตราต่างประเทศ เพื่อให้เศรษฐกิจมีเสถียรภาพ
ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/markets-liquidity-stays-stable-amidst-exchange-rate-uptrend/152943.vnp
ธนาคารแห่งสปป. ลาววางแผนเพิ่ม การใช้จ่ายสังคมไร้เงินสด
ธนาคารแห่งสปป. ลาว ร่างแผนเพื่อส่งเสริมการใช้จ่ายไร้เงินสดและเพื่ออำนวยความสะดวกและจัดการธุรกรรมทางการเงิน การใช้ e-wallets ผ่านระบบธนาคารกำลังกลายเป็นเทรนด์ของชาวเมืองอย่างรวดเร็ว จ่ายภาษี ค่าสาธารณูปโภค ค่าสินค้าและบริการและการโอนเงินอื่น ๆ โดยใช้โทรศัพท์มือถือ ผู้ประกอบการใช้ e-wallet เพื่อหลีกเลี่ยงการฉ้อโกง แม้ในขณะที่ธนาคารมีการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการชำระเงินแบบไม่ใช้เงินสดลูกค้ายังคงเผชิญกับอุปสรรคที่สามารถชำระเงินสดได้ที่ธนาคาร เพื่อแก้ไขปัญหา BOL ได้อนุมัติการจัดตั้งเครือข่ายการชำระเงินแห่งชาติเพื่อเชื่อมต่อธนาคาร เป็นความร่วมมือระหว่างธนาคารพาณิชย์ 7 แห่งในสปป.ลาวและ UnionPay ของจีน เจ้าหน้าที่ของแผนกระบบการชำระเงินเชื่อว่าการชำระเงินแบบไม่ใช้เงินสดมีประโยชน์ไม่เพียง แต่สำหรับคนธรรมดา แต่ยังสำหรับภาคเอกชนด้วย ไม่จำเป็นต้องใช้เงินสดและรัฐสามารถเสียบการรั่วไหลของรายได้เนื่องจากการชำระเงินโปร่งใส อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนจากการใช้เงินสดไปสู่การไม่ใช้เงินสดทันทีเป็นไปไม่ได้เนื่องจากประชาชนคุ้นเคยกับการจ่ายเงินสดไม่เพียงแต่สำหรับคนสปป.ลาวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสกุลเงินต่างประเทศด้วย
ที่มา : https://www.phnompenhpost.com/business/bank-lao-pdr-drafts-plan-boost-cashless-payments-laos
รัฐสภาเมียนมาอนุมัติเงินกู้ 749 ล้านเหรียญสหรัฐจากญี่ปุ่นเพื่อพัฒนา ย่างกุ้งและมัณฑะเลย์
สภาสหภาพของเมียนมา ได้อนุมัติให้กู้เงินจากองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) วงเงิน 82.27 พันล้านเยน (748.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) สำหรับโครงการพัฒนาในย่างกุ้งและมัณฑะเลย์ เงินกู้ยืมดังกล่าวจะถูกนำไปใช้ในการพัฒนาระบบท่อน้ำเสียในย่างกุ้งรวมถึงการจำหน่ายไฟฟ้าในย่างกุ้งและมัณฑะเลย์ โดย 45.9 พันล้านเยนใช้สำหรับระบบท่อน้ำเสียของย่างกุ้งเนื่องจากท่อระบายน้ำที่มีอายุ 130 ปีซึ่งไม่สามารถใช้งานได้ 24.58 พันล้านเยนใช้ปรับปรุงระบบระบายน้ำและ โครงการอื่นๆ ของย่างกุ้ง ส่วน 12.29 พันล้านเยน ใช้ปรับปรุงระบบการจ่ายไฟฟ้าของทั้งย่างกุ้งและมัณฑะเลย์เพราะแนวโน้มการใช้ฟ้าเพิ่ม 10-15% ต่อปี โดยเงินกู้มีระยะเวลาผ่อนชำระ 30 ปี และปลอดหนี้ 10 ปี ในอัตราดอกเบี้ยต่อปีที่ 0.01%
ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/parliament-approves-us749m-japan-loan-yangon-mandalay.html
โครงการเขื่อนมิตส่งไม่กระทบความสัมพันธ์ระหว่างเมียนมา . จีน
รัฐบาลเมียนมานำโดยพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ได้ตกลงกับจีนในการหาทางแก้ไขโครงการเขื่อนมิตส่ง (Myitsone) เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระดับทวิภาคี ซึ่งก่อนหน้ารัฐคะฉิ่นได้รับทุนจาก State Power Investment Corporation ของจีนมากกว่า 3.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการสร้างเขื่อนมิตส่ง กำลังผลิตไฟฟ้า 6000 เมกะวัตต์ ซึ่งถูกระงับในปี 2554 ภายหลังการประท้วงเกี่ยวกับปัญหาด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม กล่าวได้ว่าเป็นความเสียหายครั้งใหญ่ของจีน ซึ่งทางการจีนเองยังได้เรียกร้องให้รัฐบาลปกป้องบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนอย่างถูกกฎหมายและเสริมด้วยว่าโครงการนี้มีจุดประสงค์เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าให้กับเมียนมา ทั้งนี้จีนยังคงเต็มใจขยายความสัมพันธ์ต่อไปและสนับสนุนการพัฒนา กระบวนการสันติภาพและการแก้ปัญหาในรัฐยะไข่อีกด้วย
มหกรรมงานแสดงสินค้าอาหารนานาชาติ เริ่มแล้วที่เมียนมา
งานแสดงสินค้าอาหารและโรงแรมระหว่างประเทศมีกำหนดจะจัดขึ้นที่เมืองย่างกุ้ง เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศ งาน Food and Hotel Myanmar (FHMM) ครั้งที่ 6 จัดขึ้นที่ Fortune Plaza ตั้งแต่วันที่ 5 – 7 มิถุนายน 2562 เพื่อแสดงอาหาร เครื่องดื่ม ร้านเบเกอรี่ ร้านอาหาร อุปกรณ์บริการอาหารและการบริการ คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 80 รายจาก 18 ประเทศรวมถึงเกาหลีใต้ มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และสหรัฐอเมริกา ซึ่งคาดว่าจะมีผู้เข้าชมงาน 7,500 คน งานแสดงสินค้าจะเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ และความรู้แก่ผู้ประกอบการจากอุตสาหกรรมโรงแรม ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นในทุกปีทำให้ธุรกิจโรงแรมกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันเมียนมามีโรงแรมประมาณ 1,312 แห่ง รวมถึงโรงแรมเอกชน 1,286 แห่งและกิจการร่วมค้าต่างประเทศ 26 แห่ง โดยมีห้องพักมากกว่า 70,000 ห้อง ปี 2561 เมียนมามีนักท่องเที่ยวมาเยือน 3.5 ล้านคน และตั้งเป้าในปี 2573 จะมีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากกว่าปีละเจ็ดล้านคน
ที่มา : http://www.xinhuanet.com/english/2019-05/21/c_138076501.htm
ศูนย์จีน – อาเซียนเพื่อส่งเสริมกัมพูชา
ศูนย์อาเซียน – จีน ได้ให้คำมั่นว่าจะส่งเสริมกัมพูชาในฐานะสถานที่ท่องเที่ยวในตลาดจีน นายเฉินเต๋อไห่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวกล่าวกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวจีนและอาเซียนว่าด้วยความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างรัฐบาลกัมพูชาและรัฐบาลจีน ระบุว่ากัมพูชามีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น 9.7% ในช่วงไตรมาสแรกของปีต้อนรับนักท่องเที่ยวราว 1.8 ล้านดอลลาร์ จีนติดอันดับตลาดการท่องเที่ยวของประเทศด้วยจำนวนผู้เยี่ยมชม 683,436 คนในช่วงสามเดือนแรกของปีซึ่งเพิ่มขึ้น 35.1% เมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส จีนตามมาด้วยเวียดนาม (ผู้เยี่ยมชม 186,863 คน) ลาว (121,489) ไทย (97,942) และเกาหลีใต้ (95,719)เมื่อปีที่แล้วกัมพูชาได้รับนักท่องเที่ยว 6.2 ล้านคนโดยภาคการท่องเที่ยวมีรายได้ 4.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ปีนี้กัมพูชาคาดว่าจะต้อนรับนักท่องเที่ยว 6.7 ล้านคนในขณะที่คาดว่าจะได้รับเจ็ดล้านคนภายในปี 63
ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50606408/china-asean-centre-to-promote-cambodia/
ผู้ส่งออกกาแฟเวียดนามเผชิญกับมรสุมการค้าระหว่างประเทศ
จากรายงานของกระทรวงการเกษตรและพัฒนาชนบท เปิดเผยว่าปริมาณและมูลค่าการส่งออกกาแฟเวียดนามลดลง เป็นผลมาจากความต้องการของตลาดต่างประเทศที่ลดลง และผลจาก สงครามการค้าสหรัฐอเมริกา-จีน รวมไปถึงการแข่งขันที่รุนแรงจากบราซิล โคลัมเบีย เป็นต้น ทำให้ราคากาแฟในหลายๆ ตลาดทั่วโลกต่างลดลง ในช่วง 4 เดือนแรกที่ผ่านมาของปีนี้ เวียดนามได้ส่งออกกาแฟไปทั้งสิ้น 629,000 ตัน คิดเป็นร้อยละ 13.4 และมูลค่าการส่งออก 1.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น ร้อยละ 22.5 ในขณะนี้ เวียดนามจำเป็นต้องใช้การผลิตทางด้านเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น และการสร้างสายพันธุ์ใหม่ เพื่อให้มี คุณภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ข้อตกลงการค้าเสรี เช่น EU-Viet Nam FTA และ CPTPP จะเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเวียดนามส่งออกไปยังตลาดดังกล่าวได้มากขึ้น เนื่องจากการลดการกีกกันทางด้านภาษีนำเข้า ดังนั้น ผู้ประกอบการเวียดนามต้องปรับปรุงคุณภาพสินค้าและคว้าโอกาสจากข้อตกลงการค้าเสรีให้ได้