ประเดิมเมียนมามอเตอร์โชว์

ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการด้านพัฒนาธุรกิจ บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เผยเมื่อต้นเดือนธ.ค ที่ผ่านมา บริษัทได้ทำบันทึก ข้อตกลง (MOU) กับสมาคมด้านยานยนต์แห่งประเทศเมียนมา  เพื่อจัดงานย่างกุ้ง อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์เป็นครั้งแรกในเมียนมา โดยจะเริ่มเป็นครั้งแรกระหว่างวันที่ 23-27 ม.ค 62 ซึ่งมั่นใจว่าจะช่วยกระตุ้นความต้องการใช้รถ และแจ้งเกิดงานมหกรรมแสดงสินค้าด้านยานยนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมียนมา ช่วยสนับสนุนการเติบโตของภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ สำหรับสถานที่จัดงานจะใช้ย่างกุ้งคอนเวนชั่นฮอลล์ ซึ่งเป็นศูนย์การประชุมและแสดงสินค้าแห่งใหม่ในย่าน ใจกลางเมืองย่างกุ้ง ภายใต้คอนเซ็ปต์ การนำอุตสาหกรรมยานยนต์สู่วันพรุ่งนี้ ซึ่งทางบริษัทได้วางแผนเตรียมการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะสร้างความตื่นตาตื่นใจให้ประชาชนชาวเมียนมาที่เดินทางเข้ามาชมงาน ขณะเดียวกันภายในงานจะมีการนำเสนอรถรุ่นใหม่ ๆ ที่มีเทคโนโลยี นวัตกรรม และความก้าวหน้าด้านวิศวกรรมยานยนต์ที่ล้ำสมัย ตลอดจนการนำเสนอโปรโมชั่นส่งเสริม การขายที่น่าสนใจจากค่ายผู้ประกอบการ ยานยนต์ให้แก่ประชาชนที่มีความต้องการจองซื้อรถภายในงาน

ที่มา : หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ

19/12/61

สปป.ลาวจะบรรลุเป้าหมายการส่งออกข้าวของจีน

สปป.ลาวได้บรรลุเป้าหมายในการส่งออกข้าวไปยังประเทศจีนในเดือนนี้ หลังจากที่ IDP Rice Mill of Laos ลงนามข้อตกลงการค้ากับ China National Cereals, Oils and Foodstuffs Corporation ในเดือนพฤศจิกายน กระทรวงอุตสาหกรรมและการพาณิชย์กล่าวว่าเมื่อปีที่แล้วรัฐบาลจีนตกลงที่จะซื้อข้าว 20,000 ตันจาก สปป.ลาวผ่านทาง Laos through Xuanye (Lao) Co Ltd . ซึ่งรัฐบาลมีแผนที่จะส่งออกข้าวให้จีนมากขึ้นในอนาคตอันใกล้และสินค้าเกษตรอื่น ๆ เพื่อเพิ่มการส่งออกไปยังประเทศจีน โดยรัฐบาลจะสนับสนุน บริษัทในประเทศให้บริษัทลงทะเบียนกับสำนักงานบริหารงานคุณภาพด้านการตรวจสอบและกักกันของสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งปีที่ผ่านมาสปป.ลาวมีรายได้จากการส่งออกข้าวมากกว่า 31.16 ล้านเหรียญสหรัฐฯโดยมีตลาดหลัก ได้แก่ เวียดนาม ไทยและจีน แต่อย่างไรก็ตามในปีนี้รัฐบาลหวังว่าจะมีรายได้จากการส่งออกข้าวมากกว่า 45.56 ล้านเหรียญ

ที่มา : https://www.phnompenhpost.com/business/laos-achieves-rice-export-target-china

18/12/61

IMFแจ้งว่าเศรษฐกิจกัมพูชาจะเติมโตได้ต้องมีการปฏิรูปก่อน

รายงานจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไคโรของกัมพูชาจะมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งต่อไปในปีหน้าโดยจะมีการขยายตัวของ GDP ของประเทศกัมพูชาสำหรับการเติบโตของ GDP ในปี61 ทั้งนี้ IMF ระบุลักษณะการดำเนินงานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของกัมพูชาต่อ “ความต้องการภายนอกที่แข็งแกร่งและนโยบายการคลังที่ขยายตัว”และการอ้างถึงการส่งออกสิ่งทอของประเทศการท่องเที่ยวและภาคการก่อสร้างที่มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง “รายงานฉบับที่ 4 ระบุว่าอัตราเงินเฟ้อในปีนี้ยังคงอยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ตาม รายงานคาดการณ์การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศกัมพูชาในปี61    เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 10 ของ GDP เนื่องจากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นโดยคาดการณ์ว่าเงินสำรองระหว่างประเทศคาดว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 9.6 พันล้านเหรียญ (ประมาณห้าเดือนแรกของการนำเข้า) ภายในสิ้นปี

ที่มา : https://aecnewstoday.com/2018/more-stellar-growth-for-cambodia-economy-but-reforms-needed-says-imf/#ixzz5a5HJYBQu

19/12/61

กัมพูชามีรายได้จากยางกว่า 250 ล้านเหรียญสหรัฐ

กัมพูชามีการส่งออกมากกว่า 187,700 ตันของยางภายใน 11 เดือนแรกของปี 2018 มีจำนวน  250 ล้านเหรียญสหรัฐของรายได้ตามการรายงานอย่างเป็นทางการของกรมทั่วไปของยางกระทรวงเกษตรป่าไม้ และการประมงเมื่อวันอังคาร ตั้งแต่เดือนม.ค.-พ.ย. 61 กัมพูชาส่งออกยาง 187,700 ตันเพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี60 ราคาเฉลี่ยยางพาราในปี61 อยู่ที่ 1,336 เหรียญสหรัฐต่อตันลดลงร้อยละ 17 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา กัมพูชามีพื้นที่ปลูกยางพารา 436,340 เฮกตาร์ จนถึงปัจจุบันมีการเก็บเกี่ยว 200,000 เฮกตาร์ซึ่งเท่ากับ 47% ส่วนที่เหลืออีก 220,000 เฮกตาร์ ในฐานะที่เป็นผู้ผลิตยางธรรมชาติรายใหญ่อันดับ 16 ของโลกรัฐบาลได้กำหนดเป้าหมายในการผลิตยางพาราจำนวน 290,000 ตันภายในปี63 สำหรับการส่งออกไปยังจีน เวียดนาม สิงคโปร์ เกาหลีใต้และมาเลเซีย

ที่มา : http://en.freshnewsasia.com/index.php/en/localnews/12349-2018-12-18-08-08-58.html

19/12/61

ขายสินค้าแพงโดนแน่!

รมว.พาณิชย์ เผยได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบและติดตามราคาสินค้าและบริการตามสถานีขนส่งต่างๆ รวมถึงสถานีรถไฟ สนามบิน และสถานที่ท่องเที่ยว เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคถูกเอาเปรียบ นอกจากนี้ยังตรวจสอบสถานการณ์จำหน่ายกระเช้าของขวัญปีใหม่ด้วย ด้าน รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ได้สั่งการให้พาณิชย์จังหวัดรับสมัครร้านค้าเข้าร่วมโครงการร้านธงฟ้าประชารัฐแบบใช้แอปพลิเคชันถุงเงินประชารัฐ โดยใช้โทรศัพท์มือถือรับชำระค่าสินค้าจากบัตร ตามนโยบายของ รมว.พาณิชย์ ที่ต้องการผลักดันให้มีจำนวน 100,000 ราย จากปัจจุบัน 32,000 ราย เพื่อรองรับการใช้จ่ายของผู้ถือบัตรที่จะเพิ่มอีก 3.08 ล้านราย เป็น 14.5 ล้านรายทั่วประเทศ และให้ชี้แจงข้อดีของการเข้าร่วมโครงการ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/content/1447613

18/12/61

ธุรกิจทำเว็บเพจรุ่งรับค้าออนไลน์

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยถึงสถิติการจัดตั้งใหม่ของธุรกิจการจัดทำเว็บเพจในช่วง ม.ค.-พ.ย. ปี61 ว่า มีจำนวน 238 ราย เพิ่มขึ้น 46.01% เทียบกับช่วงเดียวกันของปี60 มีมูลค่าทุนจดทะเบียน 355 ล้านบาท เพิ่ม 33.45% ซึ่งธุรกิจดังกล่าวเติบโตต่อเนื่องทั้งจำนวนรายและมูลค่าทุน “เหตุสำคัญในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีผลประกอบการเพิ่มเฉลี่ย 22.32% ต่อปี หรือมีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 4,680 ล้านบาทต่อปี และมีกำไรเฉลี่ย 262 ล้านบาทต่อปี เป็นผลจากการค้าอี-คอมเมิร์ซ ที่เพิ่มขึ้นทุกปี โดยปี 60 มูลค่าอยู่ที่ 2.81 ล้านล้านบาท ส่วนปี 61 คาดจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.06 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.76% ทำให้ธุรกิจการจัดทำเว็บเพจขยายตัวตาม”ผลจากนโยบายไทยแลนด์ 4.0 และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ธุรกิจจัดทำเว็บเพจเติบโตได้อีกมาก คาดว่ารายได้ของธุรกิจกลุ่มนี้จะเติบโตเฉลี่ย 20% ต่อปี

ที่มา : https://www.thairath.co.th/content/1447621

18/12/61

เมืองอัจฉริยะ ฝันที่เป็นจริงได้ของอาเซียน

ประเทศในอาเซียนต่างเร่งพัฒนาเมืองให้เป็นเมืองอัจฉริยะ หรือสมาร์ทซิตี้ที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเมือง ลดค่าใช้จ่ายและการใช้ทรัพยากร เน้นการมีส่วนร่วมของภาคธุรกิจและประชาชน ภายใต้แนวคิดการพัฒนาเมืองน่าอยู่ ทันสมัย ให้ประชาชนในเมืองอยู่ดี มีสุข อย่างยั่งยืนในส่วนของไทย ปีแรกตั้งเป้าทำให้ได้ 7 เมือง คือ กรุงเทพ ภูเก็ต เชียงใหม่ ขอนแก่น ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา ก่อนจะขยายในปีต่อๆ ไป จนครบ 77 จังหวัด ขณะที่อาเซียนมี สิงคโปร์ที่ถูกจัดให้เป็นอันดับหนึ่งแซงหน้าประเทศอังกฤษ ดูไบ วัดจากการจัดการและการให้บริการ ในด้านความสะดวกในชีวิตประจำวันของพลเมือง รวมไปถึงการตรวจสอบเรื่องความแออัด การเติบโตของจีดีพีและการเกิดอาชญากรรม

ที่มา : http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/821413

18/12/61

ลุยปั้นฮับขนส่งอากาศ

กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย เผยขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมจัดตั้งบริษัทลูกขึ้นมา เพื่อดำเนินกิจการศูนย์ตรวจสอบและรับรองคุณภาพสินค้าก่อนส่งออกทางอากาศระหว่างซีแอลเอ็มวี-ยุโรป โดยสัดส่วนการถือหุ้นบริษัทลูก ทอท.และเอกชนอยู่ที่ 49:51 ทั้งนี้ ทอท.ได้กำหนดว่าเอกชนที่จะเข้ามาร่วมทุนต้องมีประสบการณ์ด้านการขนส่งสินค้าเกษตรไปยังยุโรป และต้องรู้วิธีทำการตลาดขนส่งสินค้าในแต่ละทวีปทั่วโลกอีกด้วย จึงจำเป็นต้องร่วมมือกับเอกชนรายใหญ่ด้านการผลิตอาหารและการกระจายสินค้าทั้งในไทยและนอกประเทศให้เข้ามาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ และถือหุ้นในบริษัทลูก โดยได้เตรียมเจรจากับสายการบินแห่งชาติอย่างการบินไทย เพื่อจับมือกันดำเนินกิจการ สำหรับธุรกิจบริการตรวจสอบและรับรองคุณภาพสินค้าเกษตรก่อนส่งออกไปยังประเทศปลายทาง โดยใช้มาตรฐานยุโรป ภายหลังจากเดินหน้าจัดโรดโชว์ชักชวนนักลงทุนจากซีแอลเอ็มวีนั้น ได้รับเสียงตอบรับที่ดีสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับสินค้าเกษตรจากเพื่อนบ้านได้เป็นอย่างดี ดังนั้นความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรในประเทศและในซีแอลเอ็มวี และเลือกเพาะปลูกผลไม้ที่ตรงกับดีมานด์และมีราคาสูง

ที่มา : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

18/12/61

ธปท. แนะเอสเอ็มอีปรับตัวเพื่อยกระดับศักยภาพการแข่งขัน ทั้งการใช้เทคโนโลยีและลดขั้นตอนการทำธุรกิจ

ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายนโยบายโครงสร้างเศรษฐกิจ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผยผลสำรวจ SMEs กว่า 2,400 ราย ทั่วประเทศเพื่อศึกษาปัญหา อุปสรรคและการปรับตัวเพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาและช่วยเหลือ SMEs ว่า SMEs ไทยต้องเผชิญกับ 2 ปัญหาหลัก คือ ต้นทุนธุรกิจสูงและการแข่งขันรุนแรง จากทั้ง SMEs ด้วยกันเอง ธุรกิจขนาดใหญ่และธุรกิจ E-Commerce ทำให้ลูกค้ามีทางเลือกในการบริโภคสินค้าและบริการในราคาและคุณภาพที่หลากหลาย ส่งผลให้ SMEs ร้อยละ 70 ใช้กลยุทธ์ด้านราคาเพื่อดึงดูดลูกค้าและเพิ่มยอดขาย โดยมีเพียงร้อยละ 30 ที่ใช้กลยุทธ์พัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริหารจัดการต้นทุนให้น้อยลง

ที่มา :  https://www.news1005.fm/view/5c1751bde3f8e4e9040e04c9

18/12/61

นิตยสาร Forbes ให้ข้อสังเกตว่า เวียดนามกลายเป็นจุดนัดพบการลงทุนที่ร้อนแรงที่สุดในเอเชีย

จากรายงานระบุว่า ในปี 2561 เวียดนามมีมูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศถึง 1 หมื่น 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นตัวเลขสูงที่สุดสำหรับตลาดใหม่ เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศอยู่ที่ 2 แสน 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยในไตรมาสแรกของปี 2561 พบว่า เวียดนามเป็นตลาดไอพีโอ (IPO) รายใหญ่อยู่อันดับที่ 4 ของภูมิภาค ซึ่งมากกว่าสาธารณรัฐเกาหลี สิงคโปร์และออสเตรเลีย รวมถึงยังมีข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิกและข้อตกลงการค้าเสรีเวียดนาม-อียู ที่คาดว่าจะบรรลุผลไม่กี่เดือน ส่งผลให้เวียดนามผสมผสานเข้ากับเศรษฐกิจโลกได้มากขึ้น

ที่มา : http://vovworld.vn/th-TH/ขาวเดน/นตยสาร-forbes-ใหขอสงเกตวา-เวยดนามกลายเปนจดนดพบการลงทนทรอนแรงทสดในเอเชย-708678.vov

17/12/61