ยูนิลีเวอร์ เล็งเห็นโอกาสเจาะตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคในเวียดนาม บังคลาเทศ

ตามคำแถลงของนายอลัน โจป (Alan Jope) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่าตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคในเวียดนาม บังคลาเทศ ปากีสถาน และเมียนมา เป็นต้น ล้วนเป็นตลาดที่มีศักยภาพและมีการขยายตัวสูงที่สุดในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้า เป็นผลมาจากจำนวนประชากรเพิ่มขึ้น และรายได้ของชนชั้นกลางกำลังเติบโตเพิ่มขึ้น ซึ่งจากการประชุมพฤติกรรมผู้บริโภคทั่วโลกในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส แสดงให้เห็นว่าการเติบโตทั้งด้านจำนวนประชากร และการขยายตัวของ GDP ที่แข็งแกร่งนั้น ทำให้ตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคอย่างเวียดนาม ปากีสถาน บังคลาเทศ เมียนมา และเอธิโอเปีย ล้วนแต่เป็นประเทศที่มีศักยภาพในการค้าการลงทุน นอกจากนี้ ทางสถิติของยอดขายยูนีลีเวอร์ พบว่า ยอดขายในตลาดเกิดใหม่เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 ในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา หากจำแนกออกเป็นรายตลาด แสดงให้เห็นว่ายอดขายของบริษัทเพิ่มขึ้นร้อยละ 58 จากกลุ่มประเทศเกิดใหม่ รวมทั้งจีน อินเดีย และบราซิล

ที่มา : https://tuoitrenews.vn/news/business/20190612/unilever-says-vietnam-bangladesh-among-next-growth-stars/50295.html

เมียนมาและไทยลงนามข้อตกลงเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าทางบก

การค้าข้ามแดนทางบก ระหว่างเมียนมากับไทยจะเริ่มอย่างเป็นทางการในปลายเดือนกรกฎาคมหลังจากข้อตกลงอนุญาตให้ยานพาหนะจากทั้งสองฝั่งข้ามชายแดนเพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าระหว่างสองประเทศ ซึ่งทั้งสองประเทศได้ ออกใบอนุญาตให้ บริษัท โลจิสติกส์ เพื่อขนส่งสินค้าทางบกผ่านทางย่างกุ้ง (ติละวา) – เมียวดี – แม่สอด – กรุงเทพ (แหลมฉบัง) จากข้อมูลของ U Win Hlaing รองผู้อำนวยการกรมการขนส่งทางบกกระทรวงคมนาคมเมียนมา ได้ออกใบอนุญาตประกอบการข้ามพรมแดนระหว่างประเทศ (ICBO) สำหรับรถบรรทุก 40 คัน และจะออกใบอนุญาตอีก 21 ใบในระยะแรก U Win Hlaing กล่าวว่า บริษัท โลจิสติกส์สามแห่งจากฝั่งเมียนมา คือ MK Transportation, Logistic Hercules และResource Group Logistic ได้รับอนุญาตให้ขนส่งสินค้าทางบกผ่านชายแดน

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/myanmar-thailand-sign-agreement-facilitate-overland-trade.html

สปป.ลาวปิดโรงงานแปรรูปไม้เพื่อปฏิบัติตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี

โรงงานแปรรูปไม้กว่า 500 แห่งและเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากครอบครัวถูกปิดตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ในขณะเดียวกันรัฐบาลได้ส่งเสริมการผลิตผลิตภัณฑ์ไม้ 140,800 ลบ.ม.มูลค่าการส่งออกประมาณ 71.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รัฐบาลกำลังดำเนินการตามคำสั่งอย่างเข้มงวดและควบคุมการทำงานของอุตสาหกรรมไม้ โดยตรวจสอบรายละเอียดการยึดไม้และอุปกรณ์ในการตัดไม้และการขนส่งที่ผิดกฎหมาย และห้ามมี การส่งออกผลิตภัณฑ์ไม้ที่ยังไม่ได้เสริมแต่ง อย่างไรก็ตามผู้ผลิตไม้และเฟอร์นิเจอร์กำลังเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญในการส่งออกผลิตภัณฑ์ไปยังลูกค้าต่างประเทศ เนื่องจากรัฐบาลกำหนดขนาดของผลิตภัณฑ์ไม้และเฟอร์นิเจอร์เพื่อการส่งออก นักธุรกิจต่างชาติโดยเฉพาะ จีน ต้องการผลิตภัณฑ์ไม้และเฟอร์นิเจอร์ แต่สินค้าจำนวนมากไม่เป็นไปตามข้อกำหนดของรัฐบาล เพื่อให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์เฟอร์นิเจอร์เข้าถึงตลาดทั้งในและต่างประเทศ สมาคมเฟอร์นิเจอร์เสนอให้ภาครัฐที่เกี่ยวข้องต้องแก้ไขปัญหานี้

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/laos-closes-wood-processing-plants-comply-pm%E2%80%99s-order-98316

กัมพูชาเตรียมส่งปุ๋ยครั้งแรก

ด้วยความร่วมมือกับ บริษัทญี่ปุ่น Bayon Heritage Holding Group วางแผนที่จะจัดส่งปุ๋ยอินทรีย์ 600 ตัน ไปยังตลาดต่างๆในเอเชียโดยจะเป็นเจ้าแรกที่ส่งออก การส่งมอบจะดำเนินการในเมียนมา สปป.ลาว เวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์และญี่ปุ่นตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไป การจัดส่งจะดำเนินการภายใต้ชื่อ ปุ๋ยอินทรีย์ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง Bayon Heritage และการพัฒนาการเกษตร ปุ๋ยอินทรีย์ญี่ปุ่นก่อตั้งขึ้นในปี 47 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการนำเข้าและจัดจำหน่ายปุ๋ยอินทรีย์จากญี่ปุ่นเพื่อช่วยเกษตรกรกัมพูชา บริษัทได้สร้างโรงงานในกัมพูชาเพื่อแปรรูปปุ๋ยโดยวัตถุดิบที่มาจากญี่ปุ่น Bayon Heritage เป็น บริษัทแรกในกัมพูชาที่ได้รับใบอนุญาตส่งออกปุ๋ย มีบริษัทประมาณ 100 แห่งที่นำเข้าปุ๋ยในกัมพูชา ปีที่แล้วกัมพูชานำเข้าปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยเคมีจำนวน 1 ล้านตัน จากเวียดนาม ไทยและจีน จากข้อมูลของกระทรวงเกษตร

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50613702/kingdom-prepares-first-fertilizer-shipment/

ฟิทซ์ เรทติงส์ : เวียดนามประสบความสำเร็จ ในการลดหนี้สาธารณะ

จากรายงานของสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือฟิทช์ เรทติงส์ (Fitch Rating) เปิดเผยว่าเวียดนามประสบความสำเร็จในการลดหนี้สาธารณะจากในปี 2559 อยู่ที่ร้อยละ 53 ของ GDP จนมาสิ้นปีที่ผ่านมาหนี้สาธารณะอยู่ที่ร้อยละ 50.5 ของ GDP และในวันที่ 11 มิถุนายนที่ผ่านมา ทางสถาบันฯ ได้ปรับอันดับความน่าเชื่อถือของเวียดนามอยู่ในระดับ BB (+) นอกจากนี้ สถาบันฯ คาดว่าเวียดนามจะได้รับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) อย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่จะลงทุนในภาคการผลิต กลุ่มอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบ เนื่องมาจากต้นทุนการผลิตที่ต่ำและห่วงโซ่อุปทานครบวงจร เป็นต้น และสถาบันฯ คาดว่าการขยายตัวเศรษฐกิจเวียดนามจะลดลงเล็กน้อยจากร้อยละ 7.1 ในปี 2561 มาอยู่ที่ร้อยละ 6.7 ในปี 2562 และ 2563  แต่ยังคงมีแนวโน้มในทิศทางที่เป็นบวก เป็นผลมาจากมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาค ความเชื่อมั่นของภาคเอกชน และสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการทำธุรกิจ เป็นต้น

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/fitch-ratings-vietnam-succeeds-in-lowering-public-debt/154202.vnp

ใบอนุญาตคาสิโนมากกว่า 160 ใบ ที่รัฐบาลได้รับ

รัฐบาลได้รับใบอนุญาตคาสิโน 13 ใบตั้งแต่เดือนม.ค-เม.ย รองผู้อำนวยการฝ่ายอุตสาหกรรมการเงินของกระทรวงกล่าวกับKhmer Times ว่าจำนวนใบอนุญาตคาสิโนที่รัฐบาลออกให้นั้นเพิ่มขึ้นเป็น 163 ครั้งและเพิ่มอีก 91 แห่งตั้งอยู่ในจังหวัดพระสีหนุ แต่จริงๆแล้วมีเพียง 51 คาสิโนที่เปิดให้บริการ ขณะที่ บางส่วนหยุด จำนวนคาสิโนที่เพิ่มขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวจีน จากข้อมูลของนาย Phearun ปีที่แล้วรัฐบาลเก็บเงิน 46 ล้านเหรียญจากอุตสาหกรรมเกม ตัวเลขคาดว่าจะสูงถึง  70 ล้านเหรียญในปีนี้

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50613253/over-160-casino-licences-granted-by-the-government/

เป็นผู้ผลิตหุ่นยนต์ขั้นสูงรายแรกของกัมพูชา

“CushyBots” ผู้เริ่มต้นที่เชี่ยวชาญด้านหุ่นยนต์ และบริการซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องวางแผนลงทุน 200,000 เหรียญ เพื่อจัดตั้งฐานการผลิตในกัมพูชา ในการทำธุรกิจที่จะนำเด็กๆ ให้ได้ใกล้ชิดกับครอบครัวของพวกเขามากยิ่งขึ้น CushyBots เริ่มต้นด้วยเงินทุนของตนเองซึ่งวางแผนที่จะเป็นผู้ผลิตหุ่นยนต์รายแรกของราชอาณาจักร โดยหุ่นยนต์สามารถเชื่อมต่อระหว่างกันผ่านวิดีโอแชท โดยมีความแตกต่างจากวิดีโอแชททั่วไป คือ หุ่นยนต์ของพวกเขาใช้เซ็นเซอร์ติดตามการเคลื่อนไหวเพื่อเลียนแบบการเคลื่อนไหวของผู้ใช้ ทีมมีเป้าหมายที่จะเพิ่มการลงทุนกว่า 750,000 เหรียญ ผ่านการขายสินค้าล่วงหน้า โดยจะจำหน่ายหุ่นยนต์ที่ราคา 2,000 เหรียญ การจัดส่งสินค้าจะเริ่มในเดือนมกราคม 2563 ซึ่งหุ่นยนต์ของพวกเขาดึงดูดความสนใจไม่เพียง แต่จากสหรัฐเท่านั้น แต่ยังมาจากยุโรปด้วย โดยบริษัทได้รับเลือกจากสถานทูตสหรัฐอเมริกาในกรุงพนมเปญเพื่อเป็นตัวแทนกัมพูชาในการประชุมสุดยอดผู้ประกอบการระดับโลกในประเทศเนเธอร์แลนด์

ที่มา: https://www.khmertimeskh.com/50613176/becoming-the-kingdoms-first-advanced-robotics-manufacturer/

การส่งออกแร่ของสปป.ลาวเพิ่มขึ้นแม้ว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกจะลดลง

กระทรวงพลังงานและเหมืองแร่ระบุว่ายอดขายแร่ในประเทศเพิ่มขึ้น 43% ในไตรมาสแรกของปี 62 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งคิดเป็น 25% ของแผนประจำปี การส่งออกคาดว่าจะสูงถึง 433 ล้านดอลลาร์สหรัฐในไตรมาสแรก เพิ่มขึ้น 10.24% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วคิดเป็น 24.32% ของแผนประจำปี 62 แม้ว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกจะปรับตัวลดลง แต่รายได้จากการทำเหมืองแร่ได้รับผลกระทบอย่างมากจากการลดลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลก อัตราการเติบโตของภาคการทำเหมืองแร่ลดลงจากปีที่ผ่านมา แต่การทำเหมืองยังคงเป็นภาคส่วนสำคัญที่นำรายได้ไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ อย่างไรก็ตามนอกเหนือจากศักยภาพของผลประโยชน์ที่สำคัญแล้วยังมีความเสี่ยงจากผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ก่อนหน้านี้รัฐบาลได้หยุดการอนุญาตการศึกษาความเป็นไปได้ในการขุดใหม่และยกเลิกสัมปทานหลายโครงการเพื่อให้แน่ใจว่าการผลิตแร่ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม

ที่มา : http://www.xinhuanet.com/english/2019-06/11/c_138133639.htm

บริษัท ญี่ปุ่นจะเริ่มสกัดแร่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

บริษัท Japan Oil, Gas and Metals National Corporation (JOGMEC) ประกาศแผนการที่จะใช้ประโยชน์จากทองแดง และสังกะสีในจังหวัด สตึงแตรง ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศกัมพูชา โดย JOGMEC ซึ่งเป็นหน่วยงานบริหารงานของกระทรวงเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น จะทำการสกัดแร่ธาตุโดยได้มีความร่วมมือกับ บริษัท ญี่ปุ่นอีกแห่งหนึ่งคือ Nittetsu Mining Co. โดยรัฐบาลกัมพูชาให้สิทธิ์การสำรวจในเดือน เมษายน กับ Nittetsu Mining (Cambodia) Ltd. ซึ่งเป็น บริษัท ย่อยของ บริษัท ญี่ปุ่น กระทรวงเหมืองแร่และพลังงาน และ JOGMEC ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจในการสำรวจทางธรณีวิทยา องค์กรดังกล่าวได้ทำการศึกษาเพื่อ จำกัด พื้นที่ที่มีศักยภาพสำหรับการสำรวจแร่ ทั้ง JOGMEC และ Angkor Gold Corp เพิ่งประกาศว่าพวกเขาได้ทำข้อตกลงร่วมกันเพื่อสำรวจทรัพยากรของเมืองอังกอร์ร่วมกัน โดย JOGMEC จะลงทุนอีก 3 ล้านเหรียญ ในระยะเวลาสามปีเพื่อสำรวจไซต์

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50612921/japanese-companies-to-begin-mineral-extraction-in-northeast/

เวียดนามส่งออกลิ้นจี่อยู่ในอันดับ 2 ของโลก

ตามรายงานของสมาคมพืชสวนนานาชาติ (ISHS) เปิดเผยว่าเวียดนามเป็นผู้ส่งออกลิ้นจี่รายใหญ่อยู่ในอันดับที่ 2 ของโลก คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 19 ของส่วนแบ่งการตลาดทั่วโลก โดยผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดของโลก คือ ประเทศมาดากัสการ์ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 35 ของมูลค่าการส่งออกทั่วโลก ถึงแม้ว่าจะมีพื้นที่เพาะปลูกอยู่ในระดับต่ำก็ตาม รองลงมาได้แก่ จีน (18%) ไทย (10%) และแอฟริกาใต้ (9%) ตามลำดับ ซึ่งในมุมมองของผู้บริโภคและธุรกิจที่เกี่ยวข้องมองว่าคุณภาพลิ้นจี่เวียดนาม มีคุณภาพที่ดีกว่าหลายๆประเทศ ไม่ว่าจะมาจากจีนและอินเดีย นอกจากนี้ ทางด้านการส่งออกผลไม้สดเวียดนามต้องเผชิญกับการตรวจคุณภาพย้อนกลับและการติดฉลาก ทำให้เวียดนามต้องปรับ/อัพเดตข้อกำหนดต่างๆ จากตลาดผู้นำเข้าให้ทันตลอดวลา รวมไปถึงยังขาดเทคโนโลยีบางอย่าง เช่น เทคโนโลยีด้านการเก็บเกี่ยวผลผลิต เป็นต้น

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/521137/viet-nam-becomes-second-largest-exporter-of-lychees.html#crxxdPf13rxj2ZbC.97