CLMVT Forum 2019 ศูนย์กลางห่วงโซ่ยุคใหม่สู่ฮับแห่งเอเซีย

ตัวแทนภาครัฐและเอกชนจาก CLMVT และพันธมิตร 14 ประเทศ ได้เข้าร่วมการประชุม CLMVT Forum 2019 เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ซึ่งมูลค่าการค้าของประเทศ CLMV กับนอก CLMV มีมูลค่าสูงถึง 900,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และการสร้างความร่วมมือในกลุ่ม CLMV จะช่วยยกระดับการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากปัจจุบัน ขยายตัว 5.1% ส่วนการค้าระหว่าง CLMV กับนอกประเทศขยายตัว 7.1% โดยมีธุรกิจที่น่าสนใจและมีโอกาสจะดึงดูดการลงทุนคือการให้บริการโลจิสติกส์ ภาคเกษตร และกลุ่มดิจิทัล ซึ่งสิ่งที่นักลงทุนให้ความสนใจคือกฎหมาย โดยเฉพาะเรื่องกฎหมายคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา การพิจารณาอัตราภาษี และความเป็นห่วงโซ่การผลิตในหลายอุตสาหกรรม ซึ่งกลุ่มประเทศเวียดนามเติบโตอย่างมาก อย่างไรก็ดี ในอนาคตประเทศไทยจะมีบทบาทสำคัญในการเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการเชื่อมโยงการค้าระหว่างประเทศ โดยมีศักยภาพในการรองรับการลงทุนและเงินทุน แต่สิ่งที่น่ากังวล เมื่อมีเงินทุนไหลเข้ามาลงทุนในกลุ่ม CLMVT จะพบว่าประเทศกัมพูชา สปป.ลาว และเมียนมา ยังมีปัญหาเรื่องการจัดการเงินทุนที่ไหลเข้า หรือในอดีตมีการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติในเวียดนาม ส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อและมูลค่าของอสังหาฯ สูงขึ้น

ที่มา : หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 27 – 30 มิ.ย. 2562

ข้อตกลงค้าเสรี EVFTA รับรองผลประโยชน์สำหรับเวียดนามและสหภาพยุโรป

        จากรายงานของกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนาม (MIT) เปิดเผยว่าในวันที่ 30 มิถุนายน เวียดนามจะทำการลงนามข้อตกลงการค้าเสรีของสหภ่พยุโรปกับเวียดนาม (EVFTA) เป็นกรอบข้อตกลงที่ครอบคลุมระหว่างสหภาพยุโรปกับประเทศตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย หากข้อตกลงบรรลุแล้ว เวียดนามจะสามารถส่งออกสินค้ามากขึ้น และช่วยกระจายสินค้าไปยังตลาดอื่นๆ ได้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะความได้เปรียบของสินค้าเกษตรและสินค้าประเภทสัตว์น้ำ โดยจากสถิติการค้า ระบุว่ามูลค่าการส่งออกของเวียดนามไปยังสหภาพยุโรปอยู่ที่ 42 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อัตราการเติบโตขยายตัวร้อยละ 17 ดังนั้น เวียดนามจะปรับลดอัตราภาษีเป็นร้อยละ 0 ในระยะเวลา 7 ปี หลังจากข้อตกลงมีผลบังคับใช้ ซึ่งหากมีผลบังคับใช้ในปี 2563 ตามที่คาดไว้ เวียดนามจะสามารถขยายตัวของการส่งออกสินค้าไปยังสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 และคาดการณ์ว่าจะสูงถึงร้อยละ 70-80 ภายในปี 2568-2573

 ที่มา: https://vietnamnews.vn/economy/521857/evfta-ensures-benefits-for-both-viet-nam-and-eu.html#8Wpipzzu98aqHuDV.97

กรมสรรพากรเมียนมาเตรียมปรับร้านขายมือถือที่ไม่ระบุอากรแสตมป์

กรมสรรพากร (IRD) ระบุตั้งแต่ 1 ก.ค. เป็นต้นไป ผู้จำหน่ายมือถือที่ไม่ระบุอากรแสตมป์จะถูกปรับทันที บทลงโทษในครั้งแรกคือจ่ายค่าปรับจำนวน 200,000 จ้าด ครั้งที่ 2 เพิ่มเป็น 500,000 จ้าด ครั้งที่ 3 ปรับสูงสุดคือหนึ่งล้านจ้าด โดยรายละเอียดต้องระบุไว้ในกล่องป้ายราคาของโทรศัพท์มือถือเลยและไม่ปรากฏอยู่ในใบเสร็จรับเงิน ส่วนอุปกรณ์เสริมไม่อยู่ในส่วนที่ต้องเสียค่าอากรแสตมป์

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/mobile-phone-sales-without-revenue-stamps-face-fines.html

สปป.ลาวเปิดตัว ระบบ National single window

สปป.ลาวได้เปิดระบบ National single window อย่างเป็นทางการที่ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและอำนวยความสะดวกทางการค้า เพิ่มประสิทธิภาพการเคลื่อนย้ายสินค้า การพัฒนาระบบ LNSW เป็นหนึ่งในแผนยุทธศาสตร์ที่จะทำให้ศุลกากรทันสมัยและดำเนินการตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกในการค้าและการลงทุน ซึ่งจะช่วยปรับปรุงการบริหารจัดการสินค้านำเข้าและส่งออกการจัดเก็บรายได้รวมถึงการบริหารจัดการการจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านระบบธนาคารที่เชื่อมโยงระบบการแจ้งภาษีศุลกากรประตูเดียว ระบบ LNSW ไม่เพียงแต่ให้บริการแก่ภาคศุลกากร แต่ยังอนุญาตให้ภาครัฐอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องสามารถใช้งานระบบได้ เป็นแพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์ที่อำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนข้อมูลผ่านระบบการแจ้งภาษีศุลกากรประตูเดียว ช่วยขจัดกระบวนการที่ไม่จำเป็น ลดงานกระดาษประหยัด เวลาและค่าใช้จ่ายอื่น ระบบ LNSW ไม่ได้แทนที่ระบบการจัดการศุลกากรของสปป.ลาว ASYCUDA แต่ทั้ง 2 ระบบเชื่อมต่อกับการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อจัดการการนำเข้าและส่งออกอย่างรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น

ที่มา http://annx.asianews.network/content/laos-launches-national-single-window-99106

กัมพูชา และอินโนนีเซีย ร่วมกันจัดนิทรรศการแสดงสินค้าขึ้นในเดือนหน้า

กัมพูชา และอินโดนีเซียเตรียมจัดงานแสดงสินค้าที่จังหวัดเสียมเรียบในเดือนหน้าเพื่อจัดงานเฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศ รวมถึงความพยายามในการส่งเสริมการค้าและการลงทุนในระดับทวิภาคี โดยงานแสดงสินค้าจะจัดขึ้นที่ด้านหน้าของพระบรมมหาราชวังริมฝั่งเสียมราฐในวันที่ 19-21 กรกฎาคม กิจกรรมจะมีมากกว่า 100 คูหา และมากกว่า 100 บริษัท จากทั้งสองประเทศจัดแสดงผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในท้องถิ่นรวมถึงมอบโอกาสในการจับคู่ทางธุรกิจ ซึ่งการค้าทวิภาคีระหว่างกัมพูชา และอินโดนีเซียมีมูลค่ารวมที่ 556 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเพิ่มขึ้น 4 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งในปีที่แล้วมีชาวอินโดนีเซียเดินทางมายังกัมพูชามากกว่า 55,700 คน ในขณะที่มีชาวกัมพูชา 8,800 คน เดินทางมายังประเทศกัมพูชา

ที่มา: https://www.khmertimeskh.com/50618109/cambodia-indonesia-trade-exhibition-to-be-held-next-month/

เกาหลีใต้แสวงหาการลงทุนในหกอุตสาหกรรม

กลุ่มผู้ได้รับมอบหมายชาวเกาหลีใต้เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาประกาศว่าจะหาทางลงทุนในพื้นที่ที่มีความสำคัญในราชอาณาจักรซึ่งเป็นการกระตุ้นการค้าระหว่างสองประเทศ โดยการไปเยือนกัมพูชานั้นมีจุดประสงค์เพื่อทำความเข้าใจสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในท้องถิ่น และแสวงหาโอกาสในการลงทุนในราชอาณาจักร ซึ่งแบ่งเป็นหกอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ อุตสาหกรรมชีวภาพ ,อุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานใหม่, เครื่องสำอางและอุตสาหกรรมความงาม, อุตสาหกรรมอินทรีย์และอาหาร, อุตสาหกรรมการขนส่งและการบินใหม่ และอุตสาหกรรมคอนเวอร์เจนซ์ โดยกัมพูชา และเกาหลีใต้ได้กลายเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่สำคัญและการค้าทวิภาคีระหว่างทั้งสองประเทศมีมูลค่าเกือบ 1 พันล้านดอลลาร์ ในปีที่แล้วทำให้เป็นประเทศที่นักลงทุนรายใหญ่อันดับสองของกัมพูชา

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50617654/south-korea-seeking-to-invest-in-six-sectors/

สปป.ลาวเปิดให้บริการ eVisa ออนไลน์ในเดือนกรกฎาคม

สปป.ลาวจะเริ่มให้บริการ eVisa ในเดือน ก.ค.ปีนี้ เพื่อให้ผู้เข้าชมสามารถสมัครขอวีซ่าออนไลน์ก่อนที่จะเดินทางเข้าประเทศ เว็บไซต์สำหรับขั้นตอนการสมัครวีซ่าอิเล็กทรอนิกส์คือ https://laoevisa.gov.la วีซ่านักท่องเที่ยวระยะเวลา 30 วันจะเป็นวีซ่าประเภทแรกที่ทางเว็บไซต์นำเสนอพร้อมกับวีซ่าประเภทอื่น ๆ ที่จะเพิ่มเข้ามาในภายหลัง ขั้นตอนการสมัครเกี่ยวข้องกับ 3 ขั้นตอนง่ายๆ รวมถึงการจัดหาเอกสารและการ ชำระค่าธรรมเนียมออนไลน์ หลังจากนั้นผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดจดหมายอนุมัติ eVisa อย่างเป็นทางการการชำระเงินอาจทำด้วยระบบบัตรเครดิต VISA หรือ Mastercard ตามเว็บไซต์เวลาในการดำเนินการของ eVisa จะใช้เวลาไม่เกิน 3 วันทำการและการสมัคร eVisa จะรวมค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม 15 USD ซึ่งเป็นค่าธรรมเนียมวีซ่าทั่วไป ระบบ eVisa ได้รับการพัฒนาโดยรัฐบาลสปป.ลาวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการขอวีซ่าและเป็นวิธีที่สะดวกกว่าสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะสมัครวีซ่าท่องเที่ยว

ที่มา : https://laotiantimes.com/2019/06/25/laos-to-launch-online-evisa-service-in-july/

Nippon Life เข้าซื้อหุ้น 35% ของแกรนด์การ์เดียน ประกันภัย โฮลดิ้ง

บริษัท นิปปอนประกันชีวิตของญี่ปุ่นจะซื้อหุ้น 35% เป็นเงิน 21 ล้านดอลลาร์ ในบริษัท แกรนด์การ์เดียนประกันภัยโฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ประกันภัยภายใต้กลุ่ม Shwe Taung Development Co. เพื่อเจาะตลาดประเทศกำลังพัฒนา โดยจะเสร็จสมบูรณ์ในช่วงเดือน ก.ย. – ต.ค. เพื่อรอการอนุมัติตามกฎระเบียบและการเปลี่ยนชื่อกิจการร่วมค้า อุตสาหกรรมประกันภัยตั้งแต่ปี 2556 ได้ออกใบอนุญาตให้กับ บริษัทประกันเอกชนในท้องถิ่น หลังจากถูกผูกขาดเกือบครึ่งศตวรรษจาก บริษัทที่รัฐเป็นเจ้าของ เมื่อเดือน ม.ค. ที่ผ่านมาเปิดโอกาสให้บริษัทประกันต่างประเทศสามารถถือครองหุ้นได้ถึง 35% ขณะนี้คาดว่าจะมีบริษัท ประกันชีวิตและประกันวินาศภัยในต่างประเทศรวม 29 แห่งที่ ในเมียนมาประกันภัยมีสัดส่วนเพียงแค่ 0.07% ของ GDP โดยมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 70 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 59-60 บริษัท ประกันวินาศภัยมีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 70%

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/nippon-life-buy-35pc-myanmars-grand-guardian-life-insurance.html

เมียนมาปรับขึ้นค่าไฟฟ้าทั่วประเทศ

กระทรวงไฟฟ้าและพลังงานแห่งเมียนมา ประกาศขึ้นค่าไฟฟ้าเล็กน้อยทั่วประเทศ ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ เพื่อการพัฒนาระยะยาวของการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าผ่านโครงการเชื่อมต่อภูมิภาคที่ไม่ใช้พลังงานไฟฟ้าเข้ากับกริดพลังงานหลักหรือแหล่งพลังงานทางเลือกและปรับปรุงการผลิตไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ปัญหาการบริโภคภายในประเทศ รวมถึงมิเตอร์ไฟฟ้าตามบ้านเรือน อาคาร โดยเรียกเก็บเงินในช่วง 35 จ้าด (2 เซนต์สหรัฐ) ถึง 125 จ้าด (8 เซนต์สหรัฐ) ตั้งแต่ 1 ถึง 201 หน่วย ส่วนภาคอุตสาหกรรมหรืออื่นๆ เช่น อุตสาหกรรม ธุรกิจ หน่วยงานราชการ องค์กรพัฒนาเอกชน สถานทูต และองค์กรระหว่างประเทศจะถูกเรียกเก็บในช่วง 125 จ้าดถึง 180 จ้าดสำหรับช่วงตั้งแต่ 1 ถึง 100,000 หน่วย

ที่มา: http://www.xinhuanet.com/english/2019-06/25/c_138171798.htm

6 เดือนแรกของปี 62 FDI เวียดนามลดลง

จากรายงานของกระทรวงการวางแผนและการลงทุน (MPI) เปิดเผยว่าในเดือนมิถุนายน เงินลงทุนจดทะเบียนจากต่างชาติ มีมูลค่ากว่า 1.73 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และในช่วง 6 เดือนแรก มีมูลค่ารวมกว่า 18.47 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 9.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากการได้รับใบอนุญาติของโครงการลงทุนขนาดใหญ่จำนวนมากในเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว และจากสถิติในช่วง 6 เดือนแรกระบุว่า นักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่ลงทุนในสาขาการผลิตและการแปรรูป รองลงมาอสังหาริมทรัพย์ และการค้าปลีกค้าส่ง ตามลำดับ หากจำแนกรายประเทศ พบว่าประเทศฮ่องกงมีการลงทุนโดยตรง (FDI) ไปยังเวียดนามมากที่สุด คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 29 ของการลงทุนทั้งหมดจากต่างชาติ รองลงมาเกาหลีใต้ (15%) จีน (13%) สิงคโปร์ และญี่ปุ่น ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม เวียดนามไม่อนุมัติโครงการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติทั้งหมด แต่จะมุ่งเน้นโครงการที่ใช้เทคโนโลยีและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/521813/viet-nam-attracts-less-fdi-in-first-half-of-the-year.html#buIDCdZfwMqkySOe.97