เจาะ Insight ผู้บริโภคเมียนมาปี 2018 เปลี่ยนผ่านสู่ยุค “ช้อปเพื่อไลฟ์สไตล์”

บริษัท เอ็นไวโรเซล ประเทศไทย จำกัด บริษัทวิจัยระดับโลกได้วิเคราะห์เทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคเมียนมาในปี 2018 ได้อย่างน่าสนใจคือ ตลาดโมเดิร์นรีเทล (Modern Retail) เติบโตสูง พื้นที่ retail ของ Aeon, Miniso หรือ Daiso จากญี่ปุ่นเติบโตถึง 28% ต่อปี ส่วนเมืองรองจะมี Grab and Go ร้านสะดวกซื้อที่เปิดตัวในปี 2013 ด้วยจำนวน 10 สาขา มองหาสินค้าที่สนองไลฟ์สไตล์มากกว่าแค่ปัจจัยสี่ หันมาซื้อของที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ของยุคสมัยมากขึ้น เครื่องใช้ฟ้าจากจีนและญี่ปุ่นอย่าง เครื่องซักผ้าและตู้เย็นเติบโตขึ้น สินค้าอุปโภคบริโภคจะเป็นของไทย เครื่องสำอางค์จากเกาหลี หันมาเข้าร้านกาแฟที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่มากขึ้นและเติบโตจาก 6% ในปี 2013 เป็น 45% ในปี 2016 โกอินเตอร์ สนใจภาพลักษณ์ใช้ของอิมพอร์ตมากขึ้น เปิดรับสื่ออย่างอินเตอร์เน็ตและนิยมดู VDO Streaming เป็นที่นิยมมากในปี 2017 ซึ่ง 80% ดูผ่านมือถือ ทำให้ Netflix กำลังขยายธุรกิจไปยังเมียนมา นิยมเดินทางออกนอกประเทศมากขึ้น ในปี 2017 พบว่าเดือนทางไปต่างประเทศถึง 3 ล้านคน สูงสุดในกลุ่มอาเซียน ปัจจุบันคนเมียนมาที่มีการเปิดรับไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ ผู้ประกอบการควรศึกษาตลาดและผู้บริโภคให้ดี เพื่อเข้าไปขายสินค้าอย่างถูกที่ ถูกเวลา ถูกกลุ่ม และวางกลยุทธ์ได้ถูกทาง

ที่มา: https://www.smethailandclub.com/aec-2840-id.html

27 กุมภาพันธ์ 2561

นักลงทุนไทยต้องรู้ ผลวิจัยใหม่ชาวเมียนมา ไม่สนแบรนด์ เน้นคุ้มค่า เฟสบุ๊กมีอิทธิพล

จากรายงานการวิจัยเรื่อง Who Are Myanmar Millennials? (WAMM?) ซึ่งจัดทำโดยบริษัท อินโดไชน่า รีเสิร์ช พบว่าประชากรเมียนมากลุ่มที่เรียกว่ามิลเลนเนียล ที่เกิดช่วงปี 2525 – 2543 มีจำนวน 16.6 ล้านคน คิดเป็น 33% ของประชากรทั้งหมด 55 ล้านคน นิยมใช้สื่อโซเชียลในการหาข้อมูลติดต่อและกระจายข่าวมากกว่าญาติหรือผู้ใหญ่ กลุ่มนี้เวลาบริโภคสินค้าจะไม่ค่อยสนใจแบรนด์แต่จะคำนึงถึงลักษณะการใช้งานของสินค้าหรือบริการ ประเทศผู้ผลิต เทคโนโลยีและรางวัลที่ได้ ร้อยละ 66 ใช้สื่อโซเชียลในการตัดสินใจซื้อและเป็นแพลตฟอร์มที่มีอิทธิพลมากถึง 99% ตามด้วยสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุและทีวี ดังนั้นผู้ประกอบต้องมีกลยุทธ์ทางโซเชียลมีเดียที่โดดเด่นในการเจาะตลาดผู้บริโภคกลุ่มนี้

ที่มา: https://www.smethailandclub.com/aec-2474-id.html

17 พฤษจิกายน 2560

The OPPORTUNITY : ธุรกิจค้าปลีก/ค้าส่งในเมียนมา

http://www.exim.go.th/doc/newsCenter/49875.pdf

ที่มา: ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย

กรกฎาคม 2561

ไลฟ์ สไตล์สุดฮิตของชาวเมียนมาในยุคสังคมเมือง

ปัจจุบันคาดว่ากลุ่มประชากรที่มีรายได้ปานกลางขึ้นไป ที่มีรายได้ต่อเดือนสูงกว่า 120 ดอลลาร์สหรัฐ จะเพิ่มเป็น 10.3 ล้านคน ในปี 2563 คิดเป็น 15% ของประชากร ซึ่งทำไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตเหมือนกับเมืองใหญ่ สังเกตได้จาก การกลับมาบูมของโรงภาพยนตร์แบบ Multiplex ซึ่งจะเพิ่มจำนวนมากกว่า 100 แห่งในปีนี้ Fast Food และ Modern Cafe เทรนด์ใหม่ ด้วยชีวิตประจำวันที่คล้ายคลึงกับเมืองใหญ่ๆ ที่เร่งรีบมากขึ้น เช่น pizza hut, KFC หรือจากไทยอย่าง True Coffee และ Chao Doi Facebook…ช่องทางทําความรู้จักชาวเมียนมายุคใหม ล่าสุดพบว่า การเข้าถึงอินเตอร์เน็ตมีถึง 97% ของประชากร โซเชียลมีเดียที่ได้รับความนิยมคือ Facebook และ Google ธุรกิจที่น่าสนใจ เช่น ร้านอาหาร สถานบันเทิง โรงภาพยนตร์ ฟิตเนส สถานเสริมความงาม และโดยเฉพาะ Smart Phone พบว่ามีผู้ใช้ถึง 62% จากจำนวนประชากร สูงกว่าเวียดนามและอินโดนีเซีย ซึ่งธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่น่าสนใจคือ คอนเท้นท์โฆษณาออนไลน์และแอพพลิเคชั่นต่างๆ

ที่มา: http://www.exim.go.th/doc/adn/48727_0.pdf

28 พฤษภาคม 2560

เมียนมาโฉมใหม่ โอกาสที่เปิดกว้าง พร้อมการแข่งขันที่ท้าทาย

ในปี 2559 เมียนมามีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในประเทศไม่ว่าจะเป็น การยุบรวมในหลายกระทรวงเพื่อลดความซ้ำซ้อนและค่าใช้จ่าย การปรับปรุงกฎหมายการลงทุนใหม่เป็น “Myanmar Investment Law 2016” มีผลต่อมูลค่า FDI ลดลงในระยะสั้นๆ จากที่เคยสูงแตะ 80% ต่อปี (สูงสุดในอาเซียน) เหตุเพราะต่างชาติรอดูความแน่นอนของรัฐบาลชุดนี้ แต่คาดว่าเม็ดเงินลงทุนจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น จากการที่หลายประเทศเริ่มเข้ามาลงทุน อาทิ aeon และ Suzuki จากญี่ปุ่น การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เมียนมาจะเป็นที่จับจ้องของนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ สิ่งที่ตามมาคือการแข่งขันอย่างเข้มข้น ไทยในฐานะที่เป็นเพื่อนบ้านใกล้ชิดควรที่จะร่วมกันพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน

ที่มา: http://www.exim.go.th/doc/adn/48633_0.pdf

3 เมษายน 2560

การปฏิรูประบบสาธารณสุขในเมียนมา โอกาสทองของผู้ประกอบการไทย

จากงบประมานด้านสาธาณสุขปี 2559/2560 รัฐบาลตั้งเป้าว่าจะเป็น Universal Health Coverage (UHC) ปัจจุบันโรงพยาบาลขนาดใหญ่กระจุกตัวอยู่ในเมืองใหญ่อย่างย่างกุ้งและเมืองมัณฑะเลย์ เมียนมาจึงพยายามขยายการบริการสุขภาพไปยังพื้นที่ชนบท 280 เมืองที่มีประชากรมากกว่า 70% ดังนั้นธุรกิจที่นักลงทุนไทยน่าลงทุน คือ การส่งออกเภสัชภัณฑ์และอุปกรณ์การแพทย์ พบว่าไทยส่งออก 12% ในปี 59 เป็นรองเพียงเวียดนาม ร่วมลงทุนในธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนและคลินิกเพื่อรองรับการขยายตัวของชาวเมียนมาที่มีกำลังซื้อสูง เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของชนชั้นกลาง ซึ่งปัจจุบันผู้ที่มีกำลังซื้อสูงมักเดินทางออกไปใช้บริการต่างประเทศ โดยเฉพาะสิงคโปร์และไทย และตอนนี้ได้ให้ต่างชาติเข้ามาถือหุ้นได้ 80% โดยปัจจุบันมีเครือโรงพยาบาลกรุงเทพและเครือโรงพยาบาลธนบุรีที่เข้าไปร่วมทุนกับเอกชน จึงเป็นโอกาสที่จะเข้าไปเป็นคู่ค้าและเป็นส่วนหนึ่งของโซ่อุปทานของตลาดบริการสุขภาพในเมียนมา

ที่มา: http://www.exim.go.th/doc/adn/48726_0.pdf

29 พฤษภาคม 2560

ห้างเมียนมา ปรับกลยุทธ์เน้นสินค้าผักสดผลไม้ ดึงลูกค้าจากร้านชำ

เมียนมา เป็นหนึ่งประเทศที่การจับจ่ายสินค้าประเภทอุปโภคบริโภคของผู้คนยังพึ่งพาร้านขายของชำในชุมชนเป็นหลัก เพราะร้านแบบนี้มีกระจายทั่วไป สะดวกสบาย เทียบกับซูเปอร์มาร์เก็ตสินค้าราคาสูงกว่า สาขาน้อยกว่า จะเหมาะกับลูกค้าระดับบนหรือชาวต่างชาติที่ แต่ช่วงหลังมานี้ ซูเปอร์มาร์เก็ตโดยเฉพาะในเมืองใหญ่อย่างย่างกุ้ง เริ่มหันมาทำการตลาดเพื่อชิงลูกค้าจากร้านชำท้องถิ่นมากขึ้น โดยเริ่มตั้งแต่ปีที่ผ่านมา บริษัทซิตี้ มาร์ท โฮลดิ้ง เครือข่ายค้าปลีกใหญ่สุดของประเทศ และผู้ดำเนินการซูเปอร์มาร์เก็ตซิตี้ มาร์ทได้เพิ่มแผนกผักสดและผลไม้สดหลังจากที่ได้ร่วมทุนกับ Sojitz บริษัทเทรดดิ้งจากญี่ปุ่น การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นภายหลังจากที่รัฐบาลอนุญาตให้บริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนในธุรกิจค้าปลีก ที่ผ่านมาสินค้าประเภทผักผลไม้ที่จำหน่ายในซูเปอร์มาร์เก็ตไม่เป็นที่นิยมเพราะมีสารตกค้าง ความสดใหม่ และราคาสูง ภายหลังจากที่ระบบโลจิสติกส์ได้รับการพัฒนา พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ซิตี้มาร์ทมองเห็นโอกาสจึงลงทุนซื้อกิจการ Uni Vege ฟาร์มในเขตนครย่างกุ้งที่ปลูกผักและจำหน่ายเป็นแพ็ค เป็นฟาร์มไฮโดรโปนิก โดย 80% ของผลผลิตจากฟาร์มส่งให้ซิตี้มาร์ทที่เดียว นอกจากนั้น ทางซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งนี้ยังทำแคมเปญเชิญชวนผู้บริโภคให้ทานผักผลไม้มากขึ้นเพื่อสุขภาพโดยทางห้างตั้งโต๊ะบริการผลไม้หั่นเป็นชิ้น และผักพร้อมทาน ณ บริเวณทางเข้าออกห้างเลยทีเดียว และร่วมทุนกับบริษัทในเครือพรีเมียม ดิสทริบิวชั่น และบริษัททรัสต์ เวนเจอร์ พาร์ทเนอร์โดยในการขยายขนาดฟาร์มให้ใหญ่ขึ้น 3 เท่าตัวในอีก 2 ปีข้างหน้า ขณะเดียวกันยังงจัดหาผักผลไม้โดยจากเกษตรกรที่อยู่นอกย่างกุ้งมามาขายในห้างอีกด้วย โดยอาศัยเครือข่ายขนส่งของ Sojitz และพรีเมียม ดิสทริบิวชั่นซึ่งก่อตั้งเมื่อปี 2015 ส่งผลให้การขนส่งสินค้าของบริษัทเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 100 ตันต่อวัน ดังนั้นซิตี้มาร์ทไม่เพียงมีแต้มต่อเหนือร้านค้าท้องถิ่น หากยังอยู่ในฐานะได้เปรียบ หากต้องรับมือกับคู่แข่งจากต่างชาติที่หวังเข้ามาเจาะตลาดค้าปลีกเมียนมา

ที่มา: https://www.smethailandclub.com/aec-3640-id.html