ญี่ปุ่นหนุน สปป.ลาวในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์

รัฐบาลญี่ปุ่นตกลงที่จะช่วยสปป.ลาวในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณภาพสูง โดยการเสริมสร้างความสามารถในการบริหารและการจัดตั้งสถาบันรวมถึงการพัฒนาขีดความสามารถของเจ้าหน้าที่รัฐ ข้อตกลงดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีของทั้งสองประเทศคือนายทองหลวง ศรีสุลิและนายชินโซ อาเบะ ในโตเกียวเมื่อวานนี้ โดยการประชุมประจำปีจัดขึ้นโดยสำนักข่าวนิกเกอิทุกปี ตั้งแต่ปี พ. ศ. 2538 ซึ่งเป็นการรวบรวมผู้นำทางการเมืองเศรษฐกิจและวิชาการจากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเพื่อเสนอความคิดเห็นได้อย่างตรงไปตรงมาและเป็นอิสระในประเด็นภูมิภาคและบทบาทของเอเชียในระดับโลก

ที่มา: http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Japan_to_125.phpt

สินเชื่อใหม่สำหรับผู้มีที่ดินเพื่อสร้างอาคารและที่พักอาศัย

iMyanmarHouse.com ได้แนะนำสินเชื่อสำหรับผู้มีที่ดินเป็นของตัวเองแต่ยังขาดเงินทุนในการสร้างที่พักอาศัย โกดังสินค้า อาคารพาณิชย์ และอาคารอื่น ๆ โดยได้จับมือกับธนาคาร KBZ (Kanbawza Bank) และบริษัท เมียนมาร์อาร์ทคอนสตรัคชั่นแอนด์ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เชื่อว่าโครงการก่อสร้างนั้นสามารถสร้างอาคารได้ภายในหนึ่งปี โดยมีระยะเวลาก่อสร้างสองปีสำหรับอาคารสูง ทั้งนี้จำนวนเงินกู้สูงสุดจะขึ้นอยู่กับมูลค่าของที่ดินและสามารถกู้ได้สูงสุด 70% ของมูลค่าที่ดินและระยะเวลาผ่อนสูงสุด 25 ปี ส่วนเงินกู้ระยะเวลา 3 ปีสำหรับอาคารพาณิชย์ เช่น โรงแรม โมเต็ล ร้านอาหาร หอพัก โรงงานและคลังสินค้า ในอัตราดอกเบี้ย 13% ต่อปี

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/businesses-collaborate-launch-new-loan-facility-landowners.html

ธนาคารกลางเวียดนามกังวลความได้เปรียบทางการค้าจะส่งผลในทิศทางที่ลดลง

จากรายงานของธนาคารแห่งประเทศเวียดนาม (SBV) ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา กล่าวว่าความได้เปรียบทางการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ไม่ได้สร้างผลลัพธ์ที่ดีต่อการค้าและอัตราแลกเปลี่ยนที่มีความผันผวนมากขึ้น และทางด้านกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้ดำเนินนโยบายของคู่ค้าสำคัญของสหรัฐ 21 ราย ซึ่งพบว่าเวียดนามมีส่วนสำคัญต่อการค้ากับ สหรัฐฯอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยเหตุนี้ ธนาคารกลางเวียดนามจะดำเนินประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับและกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เพื่อแก้ไขปัญหาร่วมกัน โดยจากข้อมูลสถิติการค้าเวียดนาม แสดงให้เห็นว่าสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกรายใหญ่ที่สุดของเวียดนามและกลุ่มแถบประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมียอดเกินดุลการค้าเพิ่มขึ้น 13.47 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ นอกจากนี้ ค่าเงินด่องอ่อนค่าลง 0.97% ในปีนี้

ที่มา : https://tuoitrenews.vn/news/business/20190530/vietnam-central-bank-says-not-pursuing-unhealthy-competitive-advantage-in-trade/50156.html

 

เวียดนามเผยส่งออกกาแฟลดลงในช่วงเดือนม.ค.-พ.ค. 13.1 %

จากรายงานกรมสถิติเวียดนาม (GSO) เผยว่าการส่งออกกาแฟของเวียดนามในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ มีแนวโน้มลดลงร้อยละ 13.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นปริมาณ 760,000 ตัน ในขณะที่มูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 5.3 ซึ่งผู้ผลิตเมล็ดกาแฟรายใหญ่ที่สุดของโลก “โรบัสต้า” (Robusta) มีแนวโน้มลดลงร้อยละ 23 สู่ระดับ 13.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วง 5 เดือนแรกที่ผ่านมาของปีนี้ ด้วยข้อมูลดังกล่าว ทำให้การส่งออกกาแฟเวียดนามในเดือน พ.ค. 2562 ปริมาณอยู่ที่ 135,000 ตัน และมูลค่า 220 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ รวมไปถึงคาดว่าจะลดลงร้อยละ 5.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

ที่มา : https://tuoitrenews.vn/news/business/20190529/vietnam-s-janmay-coffee-exports-to-fall-131-y-y-govt-data/50142.html

เวียดนามจะเริ่มนำเข้าไฟฟ้าจากจีน สปป.ลาวเพิ่มขึ้น

เวียดนามวางแผนที่จะนำเข้าไฟฟ้าจากจีนและสปป.ลาวเพิ่มขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า การนำเข้าไฟฟ้าประจำปีจากจีนและสปป.ลาวคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 3,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2568 และ 5,000 เมกะวัตต์ภายในปี 2573 จากปัจจุบันประมาณ 1,000 เมกะวัตต์  ขณะนี้โครงการโรงไฟฟ้าหลายแห่งในเวียดนามล่าช้ากว่ากำหนด มีการใช้แหล่งพลังงานไฟฟ้าพลังน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางเกือบทั้งหมดและยังมีแหล่งพลังงานขนาดเล็กเพียงไม่กี่แห่งที่ถูกแสวงประโยชน์ ดังนั้นโรงไฟฟ้าพลังน้ำจะคิดเป็นเพียงร้อยละ 12.4 ของการจ่ายไฟฟ้าทั้งหมดในประเทศภายในปี 2573 ซึ่งจะช่วยเพิ่มความยุ่งยากให้กับการขาดแคลน แหล่งพลังงานที่สามารถใช้งานได้ระหว่างปี 2559 ถึง 2573 มีกำลังการผลิตรวมประมาณ 78,300 เมกะวัตต์ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ในแผนพัฒนาไฟฟ้าของประเทศที่มีการแก้ไขแล้วกว่า 17,500 เมกะวัตต์ การขาดแคลนส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วงปี 2561-2565 โดยเฉพาะอย่างยิ่งปริมาณสำรองไฟฟ้าจะถูกใช้จนหมดในปี 2561 และ 2562 และการขาดแคลนพลังงานจะเกิดขึ้นระหว่างปี 2564 ถึง 2568

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/laos-vietnam-trade-deficit-set-drop-us227-million-97144

ญี่ปุ่นจะให้เงินช่วยเหลือ 1.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ในการขยายท่าเรือ

นายกรัฐมนตรีฮุนเซน กล่าวเมื่อวานนี้ว่ารัฐบาลญี่ปุ่นให้คำมั่นที่จะให้เงินช่วยเหลือจำนวน 1.8 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อพัฒนาสถานีขนส่งตู้สินค้าในเขตเศรษฐกิจพิเศษท่าเรือสีหนุ นอกจากนี้ญี่ปุ่นจะมอบเงิน 3.1 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อพัฒนาทุนมนุษย์ของกัมพูชา ผ่านโครงการทุนการศึกษาLou Kim Chhun ผู้อำนวยการท่าเรือ Sihanoukville Autonomous Port กล่าวว่าอาคารท่าเรือแห่งใหม่จะได้รับการออกแบบเพื่อวัตถุประสงค์ “น้อยกว่าการบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์” ในเดือนส.ค60 กัมพูชาและญี่ปุ่นลงนามในสัญญาเงินกู้ช่วยเหลือการพัฒนาอย่างเป็นทางการ (ODA) มากกว่า 23 พันล้านเหรียญสหรัฐ (203 ล้านดอลลาร์) (ODA) สำหรับท่าเรือคอนเทนเนอร์แห่งใหม่ นายฮุนเซนกล่าวว่าโครงการดังกล่าวจะช่วยให้กัมพูชากลายเป็นศูนย์กลางการขนส่งในอาเซียน

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50609009/japan-to-provide-1-8m-in-aid-to-expand-port/

จับตาการลงทุนในมะกเว

ระหว่างเดือน ต.ค 61-เม.ย 62 ปีนี้เขตมะกเวมีเม็ดเงินลงทุนมากกว่า 1.5 พันล้านจ้าด (966,000 ดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งการลงทุนทั้งหมดมาจากธุรกิจในท้องถิ่นสามารถสร้างงานภายในท้องถิ่นมากกว่า 134 ตำแหน่ง ระหว่างเดือนตุลาคม 2561 ถึงเมษายน 2562 มีการลงทุนในประเทศเป็นจำนวนเงิน 1.57 พันล้านจ้าด และต่างประเทศ 800,000 ดอลลาร์สหรัฐ สามารถสร้างงาน 277 ตำแหน่ง สำหรับช่วงเดือนเม.ย – ก.ย 61 การลงทุนจากต่างประเทศมีมูลค่า 2.39 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่การลงทุนในประเทศมีมูลค่าทั้งสิ้น 1.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมะกเวอยู่ในอันดับห้าในภูมิภาคที่ได้รับการลงทุนในเมียนมา ส่วนใหญ่เป็นภาคอุตสาหกรรมปศุสัตว์และเกษตรกรรม ตั้งแต่ปี 31 มะกเวมีการลงทุนทั้งสิ้น 26 ครั้ง เป็นจำนวนเงินรวม 28 ล้านเหรียญสหรัฐ

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/magwe-track-see-more-investments-year.html

สหรัฐฯสั่งแบน Huawei ไม่น่า จะส่งผลกระทบต่อตลาดสมาร์ทโฟนเวียดนาม

จากรายงานกลยุทธ์ทางการตลาดของบริษัทหลักทรัพย์ วีเอ็น ไดเร็ค (VN Direct Securities) ระบุว่าส่วนแบ่งตลาดของหัวเว่ย (Huawei) มีเพียงร้อยละ 4 ของมูลค่าการตลาดทั้งหมด คิดเป็นมูลค่าประมาณ 114 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ข้อมูลดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าหัวเว่ยไม่ได้มีอิทธิพลต่อตลาดสมาร์ทโฟนเวียดนามมากนัก ส่วนแบรนด์ทั้งซัมซุง (Sumsung), ออปโป้ (Oppo) และ แอปเปิล (Apple) มีส่วนครองตลาดสมาร์ทโฟนเวียดนามอย่างมีนัยสำคัญ คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 41.1, 22.7 และ 8.6 ตามลำดับ นอกจากนี้ จากการศึกของ GCS-CIMB คาดว่าการสั่งห้ามของสหรัฐฯ จะส่งผลต่อยอดขายของหัวเว่ยไปยังตลาดต่างประเทศลดลงร้อยละ 40 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ในขณะที่ Oppo และ Xiaomi จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 60.0 และ 43.0 ตามลำดับ

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/520551/us-ban-on-huawei-unlikely-to-affect-viet-nam-smartphone-market-report.html#Gd78mEYHQElezBfj.97