เวียดนามเผยยอดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ 11.96 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 6.3% yoy ในช่วงม.ค.-สิ.ค. 62

จากรายงานของกระทรวงการวางแผนและการลงทุนเวียดนาม (MPI) เปิดเผยว่าในช่วงเดือนมกราคม – สิงหาคมที่ผ่านมา เวียดนามสามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศได้ถึง 11.96 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ในขณะที่ บริษัทต่างประเทศที่ทำการส่งออกมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ด้วยมูลค่าราว 117.95 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 69.4 ของการส่งออกเวียดนามโดยรวม นอกจากนี้ ฮ่องกงยังคงเป็นผู้ที่ทำการลงทุนโดยตรงรายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม รองลงมาเกาหลีใต้ และสิงคโปร์ ตามลำดับ หากสังเกตในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น พบว่ามีการลงทุนโดยตรงอยู่ที่ 19.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.1 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

ที่มา : https://tuoitrenews.vn/news/business/20190827/vietnam-janaug-fdi-inflows-up-63-y-y-to-1196-billion-ministry/51098.html

สิงคโปร์ลงทุนในเมียนมาเพิ่มเป็นสามเท่า

รายงานของกระทรวงการลงทุนและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจต่างประเทศระบุตัวเลขเงินลงทุนจากสิงคโปร์ ญี่ปุ่น และประเทศตะวันตกมีมูลค่าสูงถึง 1.3 พันล้านเหรียญสหรัฐซึ่งเพิ่มขึ้นสามเท่าในไตรมาสแรกของปีนี้ โดยการลงทุนโดยตรง (FDI) จากจีนและฮ่องกงเพิ่มขึ้น 150% แตะระดับ 590 ล้านเหรียญสหรัฐ ภาคพลังงานและการขนส่งมีการลงทุนมากขึ้น ภาคการผลิตสูงถึง 700 ล้านเหรียญสหรัฐหรือเพิ่มขึ้น 60% ภาคขนส่งและการสื่อสารสูงถึงหนึ่งพันล้านเหรียญสหรัฐหรือเพิ่มขึ้นสี่เท่า การลงทุนโดยตรงในทุกภาคการลงทุนคาดว่าจะมีการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น ตั้งแต่ปี 31 – 32 ถึงเดือนมิ.ย. ของปี 61 – 62 มีการลงทุนจาก 49 ประเทศ มูลค่ากว่า 80.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีสิงคโปร์ติดอันดับ FDI มากที่สุด 21.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตามมาด้วยจีนก20.68 พันล้านเหรียญสหรัฐ ไทย 11.309 พันล้านเหรียญ ฮ่องกงกว่า 8.165 พันล้านเหรียญสหรัฐ และอังกฤษ 4.255 พันล้านเหรียญสหรัฐ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศทั้งหมดในอีก 20 ปีข้างหน้า คาดว่าจะสูงกว่า 220 พันล้านเหรียญสหรัฐ

ที่มา : https://elevenmyanmar.com/news/singapores-investment-increases-threefold

ความกังวลต่อปัญหาภายในประเทศของนักลงทุน

ความกังวลในความสงบและการสู้รบของชนชาติพันธ์กับรัฐบาลกลางของเมียนมา ที่ได้รับฟังมาจากข่าวสารจากหลายช่องทาง ต่างได้รับความกังวลเป็นอย่างมาก ในสถานการณ์ปัจจุบันนี้นักลงทุนมองว่าประเทศที่สงบที่สุดคือสิงคโปร์ รองลงมาก็มาเลเซียและประเทศอื่นๆ ส่วนไทยอยู่อันดับท้ายๆ จากสถานการณ์การเมือง Death Lock และปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ว่าการค้าการลงทุน Foreign Direct Investment (FDI) เข้ามาในไทยและเมียนมาอยู่ไม่น้อย เพียงแต่ว่าอยู่ที่ช่วงสถานการณ์ของแต่ละประเทศ ดังนั้นมาลองวิเคราะห์ดูว่าเขาคิดอย่างไร การที่จะลงทุนหรือทำการค้าหากเราได้มีโอกาสครองตลาด สามารถต่อรองกับคู่ค้า เพราะสามารถแสดงให้คู่ค้าทั้งสองฝั่งคือฝั่งซื้อและฝั่งขาย ถ้าหากอยากได้โอกาสธุรกิจมาเป็นอันดับแรก ต้องประเมินว่าใช่เวลาอันเหมาะสมกับธุรกิจหรือไม่ ตัวอย่างเช่น บางธุรกิจที่มีน้อย เช่น สิ่งทอ หากมองด้านความเสี่ยง ก็จะมองว่าเร็วเกินไปหรือไม่ที่จะลงทุนทางด้านนี้ หรือถ้าจะบอกว่าคู่ค้าที่เป็นธุรกิจต่อเนื่อง เช่น โรงย้อม โรงพิมพ์ผ้า โรงงานการ์เม้นต์ ยังมีน้อย สามารถตัดสินใจทันทีว่าไม่ลงทุน แต่ในทางกลับกัน ถ้าในอนาคตอันใกล้นี้มาแน่ อาจจะรีบเข้ามาลงทุน แต่นี่เป็นมุมมอง อย่างไรก็ตามนักลงทุนมีความคิดของตัวเอง ไม่มีผิดหรือถูก อยู่ที่จะรอเวลาได้หรือเปล่า

ที่มา: https://www.posttoday.com/aec/trade/586290