ราคาที่ดินไซ่ง่อนพุ่งสูงขึ้น 3 เท่า ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

จากคำแถลงการณ์ของคุณ Tran Khanh Quang, CEO ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ HCMC ระบุว่าช่วงเวลาในแต่ละทศวรรษ ราคาที่ดินมักจะปรับสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในช่วง 2-4 ปีแรก และจากนั้นจะกลับมาหดตัวลง ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า ซึ่งราคาที่ดินในย่านศูนย์กลางธุรกิจ ตอนเริ่มมักจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างช้าๆ จากนั้นราคาในพื้นที่ชานเมืองถึงจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และไปยังต่างจังหวัด ทั้งนี้ จากข้อมูลของรองผู้อำนวยการศูนย์ธุรกิจระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์โฮจิมินห์ซิตี้ กล่าวว่าราคาที่ดินในช่วงปี 2559-2561 มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น 2 เท่า และจะเพิ่มขึ้นอีก 4-10 เท่า ภายในปี 2552-2562 ซึ่งจากราคาที่ดินสูงขึ้นนั้นจะทำให้โอกาสเป็นเจ้าของลดน้อยลง ประกอบกับราคาอพาร์ทเมนท์ในกรุงไซ่ง่อนพุ่งสูงขึ้นร้อยละ 11.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันไตรมาสที่แล้ว

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/saigon-land-prices-rise-3-times-every-decade-406058.vov

เวียดนามคาดว่ายอดส่งออก 217.05 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2562

จากข้อมูลของกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนาม (MoIT) เปิดเผยว่าเวียดนามส่งออกประมาณ 217.05 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2562 หากคิดเป็นสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 82.5 ของยอดเป้าในการส่งออกของปีนี้ ซึ่งได้บรรลุเป้าที่มีการขยายตัวร้อยละ 7-8 ในปีนี้ โดยสินค้า 29 กลุ่มที่มีการส่งออกมากกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และอีก 5 รายการสินค้าที่มีรายได้มากกว่า 10 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ได้แก่ โทรศัพท์มือถือและส่วนประกอบ รองลงมาสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เสริม, เครื่องแต่งกาย, รองเท้า และเครื่องจักรและอุปกรณ์ เป็นต้น หากคิดเป็นสัดส่วนรวมร้อยละ 59.4 ของยอดมูลค่าการส่งออกรวม ทั้งนี้ อัตราดังกล่าวในปีนี้ เวียดนามมีการขาดดุลการค้าติดต่อกัน 4 ปี แล้วในปีนี้กลับมาเกินดุลการค้าอีกครั้ง

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/vietnams-exports-estimated-at-21705-bln-usd-in-10-months-406026.vov

สินค้าเวียดนามมีส่วนแบ่งการตลาดกว่า 200 ประเทศทั่วโลก

จากรายงานของอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนาม (MoIT) เปิดเผยว่าเวียดนามส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในแง่ของขนาดตลาด และโครงสร้างสินค้าสำคัญ ในปัจจุบันเวียดนามส่งออกสินค้าไปยังตลาดต่างประเทศกว่า 200 ประเทศทั่วโลก ประกอบกับความต้องการของตลาดที่มีความหลากหลาย ซึ่งข้อกำหนดสินค้าที่มีความเข็มงวด และมาตรฐานของผลิตภัณฑ์สูง ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เป็นต้น ทั้งนี้ มีการจัดอันดับการส่งออกระดับโลก พบว่าในปี 2550 เวียดนามอยู่ในอันดับที่ 50 ของโลก และในปี 2561 เวียดนามขยับอันดับดีขึ้นที่ 26 ของโลก โดยในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ สหรัฐอเมริกายังคงเป็นตลาดส่งออกรายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม เป็นผลมาจากนโยบายที่สนับสนุนในการกระจายส่งออกสินค้าไปยังประเทศจีน อาเซียน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ อย่างไรก็ตาม การกระจายส่งออกสินค้าในหมวดสินค้าเกษตรและประมงยังอยู่ในระดับไม่สูงนัก เนื่องมาจากความผันผวนของตลาด ที่มา : https://english.vov.vn/economy/vietnamese-goods-enjoy-market-share-in-200-countries-worldwide-406023.vov

สวรรค์ของนักลงทุนไทย

หลายปีมาแล้วที่ทางภาครัฐและเอกชนพยายามส่งเสริมการค้า-การลงทุนไทยในต่างแดน เช่น มีการจัดสัมมนา จัดงานแสดงสินค้า อีกทั้งงานทำ Business Matching การทำ Networking ให้แก่ผู้ประกอบการมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งที่ผู้ที่จะลงทุนควรตระหนักคือ อย่างแรกเลย คือ เหมาะจะไปค้าขายหรือไปลงทุนแบบใด บางครั้งผู้ประกอบการมักไปจ้างผู้ผลิต OEM แต่ต้องศึกษาให้รอบคอบ ไม่ควรคิดว่าประเทศเพื่อนบ้านจะขาดแคลน สามารถผลิตหรือขายสินค้าได้หมด ซึ่งปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปมาก เช่น เวียดนาม ที่นั่นมีผู้ประกอบการจากทั่วโลกเข้าไปตั้งฐานผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า ซึ่งปัจจุบันทำให้ล้นตลาดไปแล้ว และงานแสดงสินค้าใหญ่ๆ ของโลก จะมีสินค้าเวียดนามไปร่วมแสดงอยู่เสมอ บางผู้ประกอบการเอาสินค้าที่มีภาระต้นทุนด้านลอจิสติกส์สูงไปขาย แต่จะทำได้ไม่นานนัก เพราะผู้ประกอบการท้องถิ่นเห็นว่าตลาดกว้างมาก (High Market cap) จึงเข้าร่วมแข่งขันเพื่อแย่งตลาดแน่นอน แต่ถ้าสินค้านั้นเป็นแบรนด์ของตัวเอง มีแผนที่จะย้ายฐานผลิต สามารถที่จะทำได้ แต่ถ้าไม่มีศักยภาพเพียงพอ การกู้เงินเพื่อการลงทุนจากธนาคารพาณิชย์นั้นเป็นไปได้ยาก เพราะการกู้ยืมเงินไปลงทุนในต่างประเทศนั้นยากกว่าลงทุนในประเทศอย่างแน่นอน ดังนั้นผู้ประกอบที่สนใจการค้า การลงทุนต้องหาข้อมูลให้เยอะๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนก่อนการตัดสินใจ

ที่มา: https://www.posttoday.com/aec/trade/605826

เวียดนามส่งออกใบชา 14,200 ตัน ไปยังไต้หวัน ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้

เวียดนามเผยปริมาณการส่งออกใบชาไปยังประเทศไต้หวัน 14,200 ตัน คิดเป็นมูลค่า 22.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ  เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.1 และ 8.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ในช่วงเดือนมกราคม-กันยายน ปี 2562 โดยประเทศไต้หวันเป็นผู้นำเข้าใบชารายใหญ่ของเวียดนาม คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 84.1 ของมูลค่าการนำเข้ารวม ขณะที่ ประธานสมาคมชาเวียดนาม ระบุว่าเวียดนามมีพื้นที่เพาะปลูกใบชา ประมาณ 125,000 เฮกตาร์ ส่วนใหญ่อยู่ในทางตอนเหนือของประเทศไทย ซึ่งเวียดนามเป็นประเทศที่มีพื้นที่เพาะปลูกใบชาขนาดใหญ่ที่สุดในอันดับ 2 ของโลก มีการบริโภคชาในประเทศอยู่ที่ 45,000 ตันต่อปี และปริมาณการส่งออก 145,000 ตัน คิดเป็นมูลค่า 245 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/vietnam-exports-14200-tonnes-of-tea-to-taiwan-in-nine-months-405969.vov

ราคาเนื้อหมูพุ่งสูงขึ้นในรอบ 5 ปี

จากข้อมูลของสมาคมปศุสัตว์เวียดนาม เปิดเผยว่าราคาเนื้อหมูในเวียดนามพุ่งระดับสูงขึ้นอยู่ที่ 71,000 ด่อง (3 เหรียญสหรัฐฯ) ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา เป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดหมูแอฟริกา นับว่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับเดือนที่แล้ว ซึ่งทางข้อมูลของบริษัทด้านอาหาร Vissan ระบุว่าราคาเนื้อหมูส่วนใหญ่เพิ่มสูงขึ้นอยู่ในระดับ 64,000 ด่องต่อกิโลกรัม (2.76 เหรียญสหรัฐฯ) ทั้งนี้ รัฐบาลได้สั่งให้กระทรวง และหน่วยงานในท้องถิ่นและจังหวัด พยายามควบคุมราคาเนื้อหมูให้มีเสถียรภาพ และคุมสต๊อกเนื้อหมูให้เพียงพอไปจนถึงสิ้นปีนี้ หากปริมาณเนื้อหมูไม่เพียงพอ ต้องนำเข้าเป็นอีกตัวเลือกหนึ่ง นอกจากนี้ จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบุว่าปริมาณสุกรลดลงร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ในเดือนตุลาคม เนื่องมาจากการแพร่ระบาดของไวรัส

ที่มา: https://e.vnexpress.net/news/business/industries/pork-prices-hit-5-year-high-4008921.html

รัฐบาลเวียดนามวางแผนกู้ยืมเงิน 20 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2563

จากรายงานของสมัชชาแห่งชาติสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เปิดเผยถึงหนี้สาธารณะในปีนี้ และงบประมาณปี 2563 แสดงให้เห็นว่ามีการวางแผนระดมทุน 460 ล้านล้านด่อง เพื่อชดเชยการขาดดุล และการชำระคืนเงินต้น โดยรองนายกรัฐมนตรี Vuong Dinh Hue กล่าวกับสื่อท้องถิ่นว่าการกู้ยืมเงินเป็นส่วนหนึ่งของแผนงบประมาณ (ระยะเวลา 5 ปี) และแผนงบประมาณประจำปี ในการชำระคืนเงินต้นและเพื่อลดการขาดดุล ซึ่งในช่วงปี 2558-2559 หนี้สาธารณะเวียดนามอยู่ที่ 64.8% ของ GDP ขณะที่ อัตราการชำระเงินนั้นสูงกว่าระดับความปลอดภัย (25%) แตะระดับที่ 27.6% ของงบประมาณภาครัฐทั้งหมด แต่ในปัจจุบัน อัตราหนี้สาธารณะต่อ GDP ลดลงเหลือร้อยละ 56.1 ทั้งนี้ การกู้ยืนเงินกว่า 460 ล้านล้านด่อง ทางคณะกรรมการฯ มองว่าการกู้ยืมเงินดังกล่าว จะต้องทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ขยายตัวอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ทางสถาบัน HIDS ระบุว่ารัฐบาลจำเป็นต้องควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างเข็มงวด เพื่อลดการขาดดุลงบประมาณ

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/vietnamese-government-plans-to-borrow-us20-billion-in-2020-405834.vov