‘นายกฯ เวียดนาม’ เผยแผนงานการทูตเศรษฐกิจ ตั้งเป้าการเติบโตทางเศรษฐกิจ 8.3-8.5% ปี 68

นายฝั่ม มิงห์ จิ๋งห์ นายกรัฐมนตรีเวียดนาม เป็นประธานการประชุมกับหัวหน้าคณะผู้แทนทางการทูตต่างประเทศของเวียดนาม เพื่อเสริมสร้างการทูตเศรษฐกิจให้บรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในช่วงครึ่งปีหลัง และวางเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจไว้ที่สองหลัก โดยการประชุมครั้งนี้ มีสำนักงานใหญ่ของรัฐบาล คณะผู้แทนต่างประเทศ 94 แห่ง และคณะกรรมการประชาชนประจำจังหวัดและเทศบาล 34 แห่ง เข้าร่วม ทั้งนี้ จากการประชุมได้มีการชี้แจ้งถึงความสำเร็จในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ที่เวียดนามสามารถยกระดับความสัมพันธ์กับ 10 ประเทศ และลงนามข้อตกลงความร่วมมือ 253 ฉบับ เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าในปี 2567

นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตและหัวหน้าคณะผู้แทนเวียดนามในต่างประเทศ ให้คำมั่นว่าจะดำเนินการทางการทูตอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยให้ประเทศปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ สนับสนุนการเติบโตและการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ

ที่มา : https://vietnamlawmagazine.vn/economic-diplomacy-to-support-growth-target-of-83-85-percent-in-2025-pm-74743.html

รัฐบาล สปป.ลาว วางเป้าหมายการทูตทางเศรษฐกิจเพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุน

กระทรวงการต่างประเทศ สปป.ลาว หันมาใช้การทูตทางเศรษฐกิจ เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ และเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาได้จัดการประชุมระดับสูงเพื่อยกระดับการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ผ่านความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยการประชุมได้มุ่งเน้นไปที่ความจำเป็นในการเผยแพร่ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับนโยบายการค้าและการลงทุนที่เอื้ออำนวยของ สปป.ลาว เน้นเป็นพิเศษในการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ กำหนดกลยุทธ์และยุทธวิธีที่รัฐบาลใช้ เพื่อส่งเสริมผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศ เช่น การเพิ่มการค้า การดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และการเจรจาข้อตกลงการค้าทวิภาคีและพหุภาคี ทั้งนี้ การลงทุนจากต่างประเทศของ สปป.ลาว ที่ผ่านมามีมากกว่า 463,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยจีนลงทุนมากที่สุด รองลงมาคือไทย เวียดนาม และมาเลเซีย ภาคการลงทุนที่สำคัญ ได้แก่ โรงงานผลิตไฟฟ้า เหมืองแร่ บริการ และการเกษตร

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freefreenews/freecontent_70_Govt_y24.php

‘สหรัฐฯ’ หวังยกระดับความสัมพันธ์กับเวียดนาม เสี่ยงจีนโกรธจัด!

สหรัฐฯ คาดหวังว่าจะยกระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับเวียดนามขึ้นสู่ระดับสูงสุด ในขณะที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะเดินทางไปเยือนกรุงฮานอยในอีกหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งการเคลื่อนไหวดังกล่าวอาจสร้างความไม่พอใจให้กับจีนและจะมีผลกระทบต่อภาคธุรกิจ

ทั้งนี้ นายเล ฮอง เฮียป (Le Hong Hiep) นักวิเคราะห์ระดับสูงจากสถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษา ยูซุฟ อิสฮัค (ISEAS Yusof-Ishak Institute) ของสิงคโปร์ กล่าวว่าความเสี่ยงจะเพิ่มเป็น 2 เท่า จากการยกระดับความสัมพันธ์ในครั้งนี้ ทำให้สหรัฐฯ และจีนมีความสัมพันธ์ที่แย่ลงไปอีก อย่างไรก็ดีผู้นำในระดับสูงของเวียดนาม มองว่าการเคลื่อนไหวในครั้งนี้เป็นเวลาที่ดีที่สุด เนื่องจาก ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯและจีนจะมีทิศทางที่แย่ลงในอนาคต

อีกทั้ง อเล็กซานเดอร์ วูวิง (Alexander Vuving) เจ้าหน้าที่อาวุโสศูนย์วิจัยความมั่นคงเอเชีย-แปซิฟิกของสหรัฐ กล่าวว่าสาเหตุที่ทำให้สหรัฐฯ ยกระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับเวียดนาม เนื่องมาจากเศรษฐกิจเวียดนามมีความจำเป็นที่ต้องจัดหาเงินทุน เทคโนโลยีและการเข้าถึงทางการตลาด นอกจากนี้ เรื่องพลังงานก็เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยยกระดับความร่วมมือระหว่างสหรัฐฯ และเวียดนาม เพื่อผลักดันให้เวียดนามมีบทบาทสำคัญในตลาดพลังงานก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และพลังงานลมนอกชายฝั่ง ถึงแม้ว่าเผชิญกับความล่าช้าในด้านบริหารและการจัดหาเงินทุน

ที่มา : https://www.fijitimes.com/us-expects-to-upgrade-vietnam-ties-risks-china-anger/