เมียนมาอนุญาตนำเข้ารถยนต์การพาณิชย์เพื่อจำหน่ายรถในโชว์รูมและศูนย์จำหน่ายในประเทศ

กระทรวงพาณิชย์เมียนมา ประกาศว่าจะเริ่มนำเข้ารถยนต์เพื่อการพาณิชย์สำหรับโชว์รูมรถยนต์และศูนย์จำหน่ายรถเพื่อการพาณิชย์ในประเทศ สำหรับปี 2565 ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2565 เป็นต้นไป ตัวแทนขายรถในกรุงย่างกุ้งคาดว่าการนำเข้ารถยนต์เพื่อการพาณิชย์จะลดลงตามไปด้วย แต่ทั้งนี้การนำเข้าต้องปฏิบัติตามระเบียบ ซึ่งเฉพาะรถยนต์พวงมาลัยซ้ายเท่านั้นที่จะสามารถนำเข้าได้เท่านั้น
ที่มา : https://news-eleven.com/article/222383

ญี่ปุน มอบเงิน 8.8 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับอุปกรณ์สนามบินสปป.ลาว

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมามีการลงนามข้อตกลงเกี่ยวกับ “การจัดหาอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับสนามบิน” และความช่วยเหลือแบบให้เปล่าที่กระทรวงการต่างประเทศในเวียงจันทน์โดยนาย Phoxay Khaykhamphithoune รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศและนาย Kenichi Kobayashi เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำลาว ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว รัฐบาลญี่ปุ่นจะมอบเงินช่วยเหลือจำนวน 8.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามรายงานของสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น โครงการนี้จะจัดหาอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับสนามบิน เช่น รถประจำทางเพื่อขนส่งผู้โดยสารระหว่างอาคารผู้โดยสารกับเครื่องบิน ระบบปรับอากาศในสนามบิน และสะพานขึ้นเครื่อง เงินช่วยเหลือดังกล่าวจะมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างสภาพแวดล้อมการขนส่งและการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยการปรับปรุงคุณภาพการบริการสนามบินในประเทศสปป.ลาวและเสริมสร้างความสามารถในการตอบสนองแก่ผู้ใช้บริการ อีกทั้งความช่วยเหลือของญี่ปุ่นยังเป็นสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลลาวในการปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกที่สนามบินนานาชาติและส่งเสริมการเชื่อมต่อระหว่างลาวกับส่วนอื่น ๆ ในภูมิภาค
ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Japan_249.php

SSEZ กัมพูชา ส่งออก-นำเข้า แตะ 2 พันล้านดอลลาร์

ปริมาณการนำเข้าและส่งออกรวมของเขตเศรษฐกิจพิเศษสีหนุวิลล์ (SSEZ) มูลค่ารวมอยู่ที่ 2,001 ล้านดอลลาร์ ในช่วง 11 เดือนแรกของปี เพิ่มขึ้นร้อยละ 40 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยปริมาณการนำเข้าและส่งออกรวมของวิสาหกิจทั้งหมดใน SSEZ เฉพาะในเดือน พ.ย. มีมูลค่าสูงถึง 233 ล้านดอลลาร์ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ทำได้เกินเป้าหมายประจำปีที่ได้กำหนดไว้ที่ 2 พันล้านดอลลาร์ โดยบรรลุผลสำเร็จก่อนกำหนดถึง 1 เดือน ซึ่งปัจจุบันเขตเศรษฐกิจพิเศษสีหนุวิลล์ (SSEZ) ดึงดูดผู้ประกอบการและสถาบันภาคเอกชนกว่า 170 แห่ง ทั้งจากจีน ยุโรป สหรัฐอเมริกา ประเทศในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และภูมิภาคอื่น ๆ สร้างการจ้างงานเกือบ 30,000 ตำแหน่ง
ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/991393/ssezs-export-import-amounts-2-billion-in-eleven-months/

การค้าระหว่าง ไทย-กัมพูชา มีโอกาสแตะ 7 พันล้านดอลลาร์ ในปีหน้า

รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงต่างประเทศของไทย กล่าวว่า ปัจจุบันอาจจะใช้เวลานานกว่าที่คาดการณ์ไว้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการค้าทวิภาคีที่ได้กำหนดไว้ที่มูลค่า 15,000 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากทั้งสองประเทศได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และอยู่ในช่วงการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจ โดยทางการไทยได้คาดการณ์มูลค่าทางการค้าในปีหน้าว่าจะมีแนวโน้มต่ำกว่าเป้าหมายครึ่งหนึ่ง หรืออยู่ที่ประมาณ 6-7 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะยังคงเป้าหมายการค้าทวิภาคีที่ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยขยายกรอบเวลาเป็นปี 2025 ซึ่งสินค้าหลักที่กัมพูชานำเข้าจากไทยยังคงเป็นน้ำมัน เครื่องดื่ม ยานยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์ ในทางกลับกัน สินค้าเกษตรยังคงเป็นสินค้าหลักที่ไทยนำเข้าจากกัมพูชา ด้านสถานเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย เปิดเผยว่าการค้าระหว่างไทยและกัมพูชาเพิ่มขึ้น ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 18 คิดเป็นมูลค่าเกือบ 6 พันล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2020
ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50991395/bilateral-trade-likely-to-be-6-7b-next-year-thai-foreign-minister-says/

‘เวียดนาม’ เผยยอดการค้าปี 64 ทะยานแตะ 660 พันล้านเหรียญสหรัฐ

กรมศุลกากรเวียดนาม คาดการณ์การส่งออกและการนำเข้าในปี 2564 มีมูลค่า 660 พันล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตามข้อมูลทางสถิติของกรมฯ ชี้ว่าในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ ภาพรวมการค้าระหว่างประเทศอยู่ที่ 602 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะเดียวกัน การส่งออกในปีนี้ มีมูลค่า 299.67 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 17.5% การนำเข้ามีมูลค่า 299.75 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 27.5% ส่งผลให้ดุลการค้าของเวียดนาม เกินดุล 225 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ ตั้งแต่ ม.ค.-พ.ย. มีกลุ่มสินค้าส่งออกจำนวน 34 รายการที่มีมูลค่ากว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 93.5% ของการส่งออกรวมทั้งสิ้น โดยสินค้าอุตสาหกรรมการผลิตและแปรรูปยังคงเป็นสินค้าส่งออกที่มีมูลค่าสูงสุด 266.75 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว คิดเป็น 89% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า แนะให้ธุรกิจเวียดนามใช้โอกาสอันดีที่จะเพิ่มการส่งออก หลังจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้ากลับมาฟื้นตัว ได้แก่ สหรัฐฯและสหภาพยุโรป
ที่มา : https://vietnamtimes.org.vn/vietnams-trade-revenue-to-surpass-us-660-billion-this-year-38697.html
 

‘ชาวเวียดนาม’ แห่ซื้อของขวัญคริสต์มาส ช่วยลืมปัญหาการระบาดของเชื้อโรค

ตั้งแต่ต้นเดือน ธ.ค. ร้านขายของตกแต่งในเมืองฮานอยและโฮจิมินห์ค่อนข้างคึกคักเต็มไปด้วยผลิตภัณฑ์และบริการสำหรับเทศกาลคริสต์มาสในปี 2564 ทั้งนี้ คุณ Hoàng Diệu Quỳnh กล่าวกับสำนักข่าว Viet Nam News ว่าได้ซื้อของประดับตกแต่งที่ใช้ในบริเวณต้นไม้แถบถนนฮั่งม้า และยังซื้อไฟสีตกแต่งห้องพร้อมกับจัดปาร์ตี้กับกลุ่มเพื่อน ทั้งนี้ คุณ Nguyễn Thành ผู้ค้าส่งธุรกิจดอกไม้ในเมืองโฮจิมินห์ เปิดเผยกับสำนักข่าวว่าผู้คนส่วนใหญ่หันมาซื้อของตกแต่งเทศกาลคริสต์มาสที่บ้าน แทนที่จะออกไปเที่ยวสถานที่บันเทิงข้างนอก เนื่องจากมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม นอกจากนี้ ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ราคาสินค้าคริสต์มาสเพิ่มสูงขึ้นราว 10% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ร้านค้าส่วนใหญ่พยายามรักษาระดับราคาให้อยู่ในระดับต่ำเท่าที่ทำได้ ในขณะที่ราคาต้นคริสต์มาสสำเร็จรูปเริ่มต้นประมาณ 150,000 – 1,000,000 ดองต่อต้นสำหรับต้นขนาดเล็ก และราคามากกว่า 10 ล้านดองต่อต้นสำหรับต้นขนาดใหญ่
ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/1108207/people-buy-christmas-presents-to-help-forget-pandemic.html
 

ตำบลพวงพิน เขตซะไกง์ ผลผลิตข้าวช่วงมรสุม คาด ลดลงครึ่งหนึ่งจากปีก่อน

ผลผลิตข้าวในช่วงมรสุมของตำบลพวงพิน อำเภอพะงัน เขตซะไกง์ คาดลดลงมากกว่าครึ่งจากปีก่อน เนื่องจากขาดน้ำ สาเหตุจากปริมาณน้ำฝนน้อยลง ทำให้นาข้าวขาดน้ำและผลผลิตลดลง โดยปกติผลผลิตจะอยู่ที่ประมาณ 60 ตะกร้าต่อเอเคอร์ทุกปี แต่ในปีนี้มีเพียง 30 ตะกร้าเท่านั้น ในตำบลพวงพิน พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบ โดยเกษตรกรส่วนใหญ่มีผลผลิตข้าวเปลือกน้อยลงและส่งออกข้าวน้อยลงในปีนี้เช่นกัน ในบรรดาเมืองจินดวินตอนบนริมแม่น้ำจินดวิน (Chindwin River) ของเขตซะไกง์ พบว่า ตำบลพวงพินมีผลผลิตข้าวมากที่สุด
ที่มา: https://news-eleven.com/article/222307

Fitch ประกาศคงอันดับเครดิตไทยที่‘BBB+’

นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า บริษัท Fitch Ratings (Fitch) ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือ (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) รายละเอียดดังนี้ 1.ภาคการคลังสาธารณะ (Public Finance) มีความเข้มแข็งจากการบริหารจัดการทางการคลังอย่างรอบคอบ และคาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 65 คาดว่า จะขยายตัว 4.5%  2) ภาคการเงินต่างประเทศ (External Finance) ยังคงแข็งแกร่งโดยมีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลและทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูงเพียงพอใช้จ่ายถึง 9.3 เดือน โดย คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะกลับมาเกินดุลที่ 0.8% ต่อ GDPและ 3.5% ต่อ GDP ในปี 65 และปี 66 หลังจากขาดดุลที่ 2% ในปี 64
ที่มา: https://www.naewna.com/business/623480