บริษัทเกาหลีใต้ลงทุน 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในการทำระบบไร้เงินสดในเวียดนาม

บริษัทโซลูชั่นทางการเงิน Alliex ได้ลงทุนจัดทำระบบการขายหน้าร้าน (POS) ในเวียดนาม ด้วยมูลค่าราว 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และวางระบบการติดตั้งอุปกรณ์รวม 600,000 เครื่อง ในอีก 5 ปีข้างหน้า และทางบริษัทฯ ได้จับมือกับพาร์ทเนอร์ท้องถิ่น ในการดำเนินระบบ และเพิ่มคุณสมบัติของระบบดังกล่าว ได้แก่ QR-Code, Contactless payment (การชำระเงินเพียงแค่แตะบนบัตรเครดิต/เดบิต) และ Biometrics (การดึงข้อมูลทางชีวภาพ) เป็นต้น ซึ่งระบบ POS จะทำให้สามารถลดเงินสดหมุนเวียนได้ และต้นทุนการทำธุรกรรม รวมไปถึงช่วยประหยัดเงินในการเสียภาษี และทำให้การชำระเงินรวดเร็วมากขึ้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ จะทำให้เวียดนามขยับมาเป็นสังคมไร้เงินสด ในขณะที่ จากข้อมูลสถิติของบริษัทวิจัยท้องถิ่น ระบุว่าในปี 2560 การชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 22 ด้วยมูลค่า 6.14 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และคาดว่าศักยภาพของสังคมไร้เงินสดเวียดนามจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก เป็นผลมาจากกลุ่มชนชั้นกลางที่มีการเติบโตเพิ่มขึ้น รวมไปถึงโครงสร้างพื้นฐาน ระบบโทรคมนาคมที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว

ที่มา : https://e.vnexpress.net/news/business/companies/south-korean-firm-to-invest-700-mln-towards-cashless-payment-in-vietnam-3985143.html

นครบิ่ญถ่วนจำเป็นต้องมีการบริหารในด้านการก่อสร้าง

จากคำแถลงการณ์ของรองนายกรัฐมนตรี ณ วันที่ 22 กันยายนที่ผ่านมา ระบุว่าในจังหวัดบิ่ญถ่วนทางตอนใต้ของเวียดนาม จำเป็นต้องให้ความสำคัญในด้านการบริหารการก่อสร้างภูมิภาคนี้ ซึ่งต้องรับมือกับนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้สภาพแวดล้อมมีความเหมาะสมในการลงทุน และนโยบายให้มีความน่าดึงดูดต่อนักลงทุน รวมไปถึงในจังหวัดดังกล่าว มีศักยภาพทางด้านแหล่งพลังงานทดแทน ได้แก่ พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และการท่องเที่ยวสีเขียว ซึ่งทำให้ได้รับความสนใจของนักลงทุน และสามารถขยายด้านการท่องเที่ยวให้ควบคู่กับเทคโนโลยีทางการเกษตร เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์จากการท่องเที่ยวที่มีความโดดเด่น นอกจากนี้ ภายในงานประชุมได้นำเสนอจุดแข็ง ศักยภาพ และโครงการสำคัญในจังหวัดบิ่ญถ่วน มีโครงการลงทุนกว่า 11 โครงการ ด้วยมูลค่า 23 พันล้านล้านด่อง ในขณะเดียวกัน มีอนุมัติการลงทุน 14 โครงการ ด้วยมูลค่าต่อภาคประมาณ 20.32 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/binh-thuan-needs-to-become-constructive-administration-deputy-pm/160863.vnp

สินค้าเวียดนามบุกตลาดไทย

จากข้อมูลภายในงาน Vietnamese Week in Thailand 2019 ณ กรุงเทพมหานคร วันที่ 18 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งรูปแบบภายในงานครั้งนี้ คือ “Taste of Vietnam” ร่วมกับผู้ประกอบการเวียดนาม 45 คน เพื่อส่งเสริมสินค้าเวียดนามในประเทศไทย ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น รวมไปถึงสร้างโอกาสให้ผู้ผลิตท้องถิ่นเวียดนาม ให้สามารถส่งออกสินค้าไปยังประเทศไทยได้ ซึ่งวัตถุประสงค์ของกิจกรรมดังกล่าว เพื่อต้องการให้ผู้ประกอบการเวียดนามได้มีเครือข่ายช่องทางการจัดจำหน่ายภายในปี 2563 รวมไปถึงรัฐบาลเวียดนามช่วยส่งเสริมระบบการค้าปลีกระหว่างประเทศ รวมไปถึงประเทศไทยอีกด้วย และเมื่อเร็วๆนี้ ทางกลุ่มเซ็นทรัลเวียดนามได้จับมือกับกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า ในการวิจัยการตลาด, คัดสรรผลิตภัณฑ์ที่มีศักยภาพ เพื่อให้สามารถเจาะตลาดไทยได้ โดยจะมีหลักสูตรฝึกอบรบในการพัฒนาขีดความสามารถของผู้ผลิตในท้องถิ่นเวียดนาม และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะเฉพาะหรือเอกลักษณ์ ให้เหมาะสมกับตลาดไทย ในขณะที่ กิจกรรมในครั้งนี้จะช่วยให้เห็นถึงมุมมองหรือวิสัยทัศน์ของกลุ่มเซ็นทรัลเวียดนาม ในการปรับปรุงคุณภาพชีวิตชาวเวียดนามได้ดีขึ้น และทางรองนายกรัฐมนตรีของไทย กล่าวว่าภายในงานครั้งนี้ จะได้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนาม กับกลุ่มเซ็นทรัล ในการส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การลงทุน นอกจากนี้ ในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ มูลค่าการค้ารวมของทั้งสองประเทศอยู่ที่ 10.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/535608/vietnamese-goods-shine-in-thailand.html#SElP96SitDGqh24f.97

เวียดนามก้าวขึ้นแท่นเป็นประเทศต้นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อการลงทุน

จากรายงานของสำนักข่าว US News & World Report เปิดเผยว่าประเทศเวียดนามก้าวเข้าสู่ประเทศที่น่าลงทุนของปีนี้ อยู่ในอันดับที่ 8 จาก 29 ประเทศ, เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่อยู่ในอันดับที่ 23 ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซียอยู่ในอันดับที่ 13, 14, 18 ตามลำดับ ทางด้านรายงานปฏิรูปเศรษฐกิจของนโยบายโด่ยเหม่ย (Doi Moi) ที่ก่อตั้งในปี 2529 ได้ช่วยให้เวียดนามมีความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศมากขึ้น และมีความทันสมัย รวมไปถึงมีการดำเนินการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจ และสังคมมาอย่างต่อเนื่อง โดยแสดงให้เห็นถึงการเข้าร่วมกับองค์กรการค้าโลก (WTO) และภายในปี 2553 ได้เข้าร่วมเจรจาในข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Trans-Pacific Partnership: TPP) นอกจากนี้ ยังเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ และฟอรั่มอาเซียน เป็นต้น ซึ่งข้อมูลของกระทรวงการวางแผนและการลงทุนเวียดนาม ระบุว่าตั้งแต่ต้นปีนี้จนถึงเดือนสิงหาคม เวียดนามดึงดูดเงินลงทุนโดยตรงต่างประเทศรวมอยู่ที่ 22.63 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเกาหลีใต้ยังคงเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม รองลงมาญี่ปุ่น สิงคโปร์ ไต้หวัน และฮ่องกง ตามลำดับ

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/535610/viet-nam-ranked-in-top-countries-for-investment.html#aCBCVJlxoKaxLKaS.97

เวียดนามตั้งเป้าหมายเจาะตลาดฮาลาล

จากข้อมูลของงานส่งเสริมการลงทุนและการค้า (ITPC) ณ นครโฮจิมินห์ ระบุว่าหากเวียดนามไม่ทำการค้าในกลุ่มตลาดฮาลาล จะเสียมูลค่าการส่งออกไปกว่า 23.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งทางผู้อำนวยการศูนย์การค้าและการลงทุน มองว่าตราสินค้าที่ได้รับรองตามมาตรฐานฮาลาลนั้น จะแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจของชาวมุสลิมในการบริโภคผลิตภัณฑ์ได้ นับว่ามีส่วนสำคัญในการปกป้องผู้บริโภค เพราะไม่เพียงแต่ปฏิบัติตามข้อกำหนดทางศาสนา แต่ยังสอดคล้องกับมาตรฐานความปลอดภัยของอาหารที่เข็มงวดของชาวมุสลิม ผ่านการรับรองจากเครื่องหมายรับรองฮาลาล จากสถิติประชากร ระบุว่าชาวมุสลิมทั่วโลกมีอยู่ประมาณ 1.8 พันล้านคนทั่วโลก คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 23 ของประชากรโลก ซึ่งส่วนใหญ่กลุ่มประชากรชาวมุสลิมอยู่ในประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย บรูไน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคตะวันออกกลาง ทำให้ประเด็นดังกล่าวข้างต้น จะทำให้เวียดนามได้เปิดโอกาสในการขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น และช่วยส่งเสริมขีดความสามารถในการส่งออกไปยังต่างประเทศ รวมไปถึงเวียดนามมีข้อได้เปรียบในด้านวัตถุดิบ ในการผลิตสินค้าฮาลาล เช่น กาแฟ ข้าว อาหารทะเล เครื่องเทศ ถั่ว ผัก เป็นต้น และได้ยอมรับว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจของนักท่องเที่ยว ด้วยเหตุนี้ การเติบโตของร้านอาหารและโรงแรม จึงเป็นไปตามมาตรฐานฮาลาล

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/535542/viet-nam-needs-to-target-halal-markets.html#jG1m6ZpFBfmp8ztb.97

จังหวัดหล่างเซินเวียดนามตั้งเป้าการลงทุน 3.43 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

จากคำแถลงการณ์ของรองประธานคณะกรรมการประจำจังหวัด ในวันจันทร์ที่ผ่านมา ณ กรุงฮานอย เปิดเผยว่าเขตจังหวัดหล่างเซิน (Lang Son) ในชายแดนภาคเหนือ ได้มีการลงนามข้อตกลงการลงทุน ด้วยโครงการมากกว่า 100 โครงการ และเงินทุนประมาณ 3.43 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยจังหวัดดังกล่าว ได้นำเสนอโครงการ 37 โครงการที่ต้องการเงินทุนจากนักลงทุนในประเทศและต่างประเทศ ในช่วงตั้งแต่ปี 2562-2568 และสามารถแบ่งประเภทของอุตสาหกรรม ดังนี้ การขนส่งและโครงสร้างพื้นฐาน 8 โครงการ, การค้าและการท่องเที่ยว 9 โครงการ และภาคเกสรกรรม ป้าไม้ ประมง 9 โครงการ รวมไปถึงมุ่งเน้นในการส่งเสริมสภาพแวดล้อมให้แก่นักลงทุน ให้โปร่งใสมากขึ้นและมีเสถียรภาพ ซึ่งเขตพื้นที่จังหวัดจะดำเนินตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และเร่งปฏิรูปการบริหารท้องถิ่น นอกจากนี้ ในช่วงปี 2554-2561 เศรษฐกิจท้องถิ่นมีการขยายตัวร้อยละ 8-9 หากจำแนกอุตสาหกรรม พบว่าภาคการเกษตร ป่าไม้ มีสัดส่วนร้อยละ 20.3, ภาคอุตสาหกรรม การก่อสร้างร้อยละ 19.7 และภาคบริการร้อยละ 49.78 เป็นต้น ในขณะที่ จังหวัดดังกล่าวได้ตั้งเป้าหมายในการเติบโตผลิตภัณฑ์มวลรวมในภูมิภาคร้อยละ 8-9 ในปี 2563 และรายได้ต่อหัวอยู่ที่ 2,600-2,700 ดอลลาร์สหรัฐฯ

ที่มา :  https://vietnamnews.vn/economy/535540/lang-son-aims-to-attract-343b-in-investment.html#3x13l4BQWmBYQVFX.97

ผู้ประกอบการเวียดนามเข้าร่วมประชุมการค้า อินเดีย-CLMV

คณะผู้แทนธุรกิจเวียดนามจะเข้าร่วมการประชุมครั้งแรก อินเดีย-CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และอินเดีย) ซึ่งในเดือนหน้า จะมีการจัดประชุมในนครเจนไน (Chennai City) โดยเป้าหมายของการประชุมครั้งนี้ คือ ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศอินเดียและกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย Act East ของรัฐบาลอินเดีย เพื่อส่งเสริมการร่วมมือในภูมิภาคอาเซียน รวมไปถึงกลุ่ม CLMV ในขณะที่ กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนาม (MoIT) จะนำคณะผู้ประกอบการเวียดนาม 15 ราย ในการเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ เพื่อเรียนรู้การต่อยอดการค้าระหว่างประเทศระหว่างประเทศ (เวียดนาม CLMV อินเดีย) ตามความต้องการ และข้อเรียกร้อง และมาตรฐานของตลาด ซึ่งผู้ประกอบการเวียดนามจะทำธุรกิจในลักษณะผู้ประกอบการกับผู้ประกอบการ (B2B) ในการเชื่อมโยงโดยตรงระหว่างกลุ่มประเทศ CLMV และอินเดีย นอกจากนี้ การประชุมดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างวันที่ 14-18 ตุลาคม 2562 ณ โรงแรม ITC Grand Chola, นครเจนไน, รัฐทมิฬนาฑู

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/535529/vietnamese-firms-to-attend-india-clmv-trade-meeting-in-india.html#5tTtZaLpBZGfj3CE.97

เวียดนามเผยมูลค่าการส่งออกสิ่งทอเพิ่มขึ้น 7% ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2562

จากข้อมูลของสมาคมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มเวียดนาม (VITAS) เปิดเผยว่าในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2562 มูลค่าการส่งออกโดยรวมสิ่งทอ เส้นใย และเสื้อผ้าของเวียดนามอยู่ที่ 25.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว รวมไปถึงสัดส่วนของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ร้อยละ 60.6 โดยอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มใช้เงินในการนำเข้า ด้วยมูลค่า 14.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และผลผลิตวัสดุที่ใช้ในการทำเสื้อผ้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และอุตสาหกรรมดังกล่าวเกินดุลการค้า 10.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งสถานการณ์สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ส่งผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยน และทำให้ราคาสินค้าแปรรูปของเวียดนามสูงกว่าเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง ได้แก่ ประเทศเกาหลีใต้และจีน รวมไปถึงส่งผลกระทบต่อยอดคำสั่งส่งออกของผู้ประกอบการในประเทศ ด้วยเหตุนี้ ผู้ประกอบการจำเป็นต้องหาโซลูชั่นในการผลิตสินค้าและการดำเนินธุรกิจ แต่ว่าอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของประเทศเกาหลีใต้ และไต้หวันในเวียดนาม ได้รับประโยชน์จากสงครามการค้า เนื่องมาจากธุรกิจของประเทศดังกล่าว มีโรงงานผลิตเป็นของตัวเองที่อยู่ภายใต้ห่วงโซ่อุปทาน โดยจากข้อมูลของหนังสือพิมพ์ Dau Tu (Investment) ระบุว่า ผู้ประกอบการสิ่งทอฯ ของเกาหลีใต้ในเวียดนาม ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากสงครามการค้า ด้วยจำนวนธุรกิจกว่า 143 แห่ง คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 50 ของมูลค่าการส่งออกสิ่งทอเครื่องนุ่งห่มของเวียดนามไปยังสหรัฐฯ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาอีกประเด็นอีกอย่าง คือ อุตสาหกรรมสิ่งทอของเวียดนามยังขาดวัสดุในการป้อนเข้าโรงงาน ซึ่งจำเป็นต้องนำเข้าฝ้ายทั้งหมด และร้อยละ 80 ในการนำเข้าผ้า และวัสดุอื่นๆ จากจีน และอินเดีย ดังนั้น ต้นทุนในการผลิตของผู้ประกอบการในประเทศเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับบริษัทจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/vietnam-s-textile-export-value-up-almost-7-pct-in-eight-months/160559.vnp

เวียดนามเผยราคาส่งออกกาแฟร่วงตามสภาพเศรษฐกิจโลก

จากรายงานของหน่วยงานด้านการเกษตรแปรรูปและพัฒนาตลาดสินค้าเกษตรเวียดนาม (The Agro Processing and Market Development Authority) เปิดเผยว่าในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2562 ปริมาณการส่งออกกาแฟของเวียดนามอยู่ที่ 1.17 ตัน คิดเป็นมูลค่าราว 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 11.8 และ 21.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ตามลำดับ ซึ่งเยอรมันและสหรัฐอเมริกายังคงเป็นผู้นำเข้ากาแฟรายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ด้วยส่วนแบ่งการตลาดร้อยละ 13.7 และ 9 ตามลำดับ อันที่จริงแล้ว ราคากาแฟของเวียดนามที่ลดลง เป็นผลมาจากแนวโน้มของราคากาแฟทั่วโลกลดลง นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านกาแฟ ระบุว่าธุรกิจกาแฟเวียดนามได้ทำการส่งออกไปยัง 80 ประเทศ ด้วยมูลค่ารวมมากกว่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดร้อยละ 14 และร้อยละ 10.4 ของมูลค่าการส่งออกกาแฟทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์ส่งออกส่วนใหญ่จะอยู่ในลักษณะเป็นเมล็ดกาแฟ (Coffee beaens) คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 90 ดังนั้น กำไรที่ได้มาจะไม่ได้สามารถเทียบกับยอดมูลค่าการส่งออกได้ รวมไปถึงทางหน่วยงานฯ มองว่าราคากาแฟในช่วงระยะสั้นนั้นจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องมาจากผลผลิตกาแฟลดลงในประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ และใยระยะกลาง-ยาว จะมีความต้องการกาแฟเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดการผลักดันการนำเข้ากาแฟมากขึ้น

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/535429/coffee-export-prices-plummet.html#a5vyTodulqym1mml.97    

ธุรกิจก่อสร้างในเวียดนามมีทิศทางการดำเนินงานเป็นบวก ในช่วงไตรมาสที่ 3

จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม (GSO) เปิดเผยว่าในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2562 ผู้ประกอบการด้านการก่อสร้างส่วนใหญ่ร้อยละ 40.9 มองว่าผลประกอบการอยู่ในระดับทรงตัว/ไม่เปลี่ยนแปลง รองลงมาร้อยละ 36.4 ธุรกิจอยู่ในช่วงยากลำบาก และร้อยละ 22.7 ธุรกิจอยู่ในระดับดีมาก ตามลำดับ ซึ่งเป็นการสำรวจธุรกิจกว่า 5,500 แห่ง ที่อยู่ในภาคการก่อสร้าง และจากการสำรวจร้อยละ 66 ของกลุ่มรัฐวิสาหกิจมองว่าสถานการณ์ธุรกิจดีขึ้น ในช่วงกรกฎาคมจนถึงเดือนกันยายน เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว นอกจากนี้ ผลของการสำรวจชี้ให้เห็นว่าธุรกิจส่วนใหญ่ร้อยละ 51.3 มีต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น และร้อยละ 48.7 ต้นทุนการผลิตยังคงไม่เปลี่ยนแปลงหรือลดลง สำหรับความต้องการจ้างงาน ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ร้อยละ 81.5 ธุรกิจยังคงไม่ต้องการเพิ่มพนักงาน และร้อยละ 18.5 ธุรกิจต้องการพนักงานน้อยลง และทางสำนักงานฯ แนะนำให้ธนาคารพาณิชย์ช่วยลดขั้นตอนการปล่อยสินเชื่อ ลดระยะเวลาในการอนุมัติสินเชื่อ และเอื้ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการในการเข้าถึงเงินทุน

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/construction-firms-optimistic-about-business-performance-in-q3/160483.vnp