เวียดนามเผยราคาส่งออกชาพุ่งสูงขึ้นในตลาดจีน

จากรายงานทางสถิติของกรมศุลกากรเวียดนาม เปิดเผยว่าในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 ราคาส่งออกกาแฟไปตลาดจีนเฉลี่ยอยู่ที่ 3,384 เหรียญสหรัฐฯต่อกิโลกรัม เพิ่มขึ้นร้อยละ 66.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งในช่วงครึ่งแรกของเดือนตุลาคม ปริมาณการส่งออกชาไปยังต่างประเทศโดยรวม 5,800 ตัน คิดเป็นมูลค่า 9.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 และ 0.4 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ตามลำดับ ถึงแม้ว่าตัวเลขจะขยายตัว แต่ราคาส่งออกเฉลี่ยลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ 1,686 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ในขณะที่ ช่วงต้นปีจนถึงเดือนตุลาคมในปีนี้ เวียดนามส่งออกชา 175.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.8 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งสอดคล้องกับราคาส่งออกโดยเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.8 อยู่ที่ 1,753 ต่อตัน โดยประเทศปากีสถานยังคงเป็นผู้นำเข้าชารายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ด้วยความต้องการชาของขาวปากีสถานเพิ่มขึ้น

ที่มา :  https://english.vov.vn/economy/tea-export-price-enjoys-drastic-rise-in-chinese-market-405305.vov

EVFTA ส่งผลให้บริษัทโลจิสติกส์ เผชิญกับความท้าทายและโอกาส

ผู้ประกอบการโลจิสติกส์เวียดนามจำเป็นต้องพัฒนาในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น เพื่อที่จะพยุงธุรกิจ เมื่อข้อตกลงการค้าเสรีเวียดนาม-สหภาพยุโรป (EVFTA) มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ ซึ่งจะทำให้กระตุ้นอุปสงค์ด้านโลจิสติกส์เพิ่มมากขึ้น โดยคุณ Thi Thu Trang, ผู้อำนวยการหอการค้าเวียดนาม ระบุว่าเมื่อผลของข้อตกลงการค้าเสรี EVFTA มีผลบังคับใช้ จะเปิดโอกาสแก่บริษัทบริการโลจิสติกส์ของสหภาพยุโรป ทำให้เกิดการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น แต่สามารถนำเงินทุน เทคโนโลยีใหม่ๆ และโอกาสในการร่วมมือของธุรกิจเพิ่มมากขึ้น โดยต้นทุนโลจิสติกส์เวียดนาม คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 21-25 ของ GDP นอกจากนี้ โครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ของประเทศยังไม่พร้อม ส่งผลต่อความสามารถในการกระจายสินค้า และภาวการณ์แข่งขันของสินค้าเวียดนามลดลง

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/evfta-to-bring-logistics-firms-both-opportunities-and-challenges-405316.vov

หยุยลี่ แอร์ไลเริ่มบินตรงย่างกุ้งและเต๋อหง

เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาสายการบินหยุยลี่ (Ruili Airlines) ของจีนได้เริ่มให้บริการเที่ยวบินตรงเชื่อมต่อย่างกุ้งและเต๋อหยูนจังหวัดยูนนาน จะทำการบินสี่ครั้งต่อสัปดาห์ในวันจันทร์ พุธ ศุกร์ และวันอาทิตย์จากสนามบินนานาชาติย่างกุ้ง (YIA) ไปเต๋อหง โดยจะทำการบินเครื่องบินโบอิ้ง 737 ซึ่งสามารถรองรับผู้โดยสารได้มากถึง 144 คน เที่ยวบินตรงแรกเริ่มต้นระหว่างหมางซื่อไปยัง มัณฑะเลย์ ขณะนี้ YIA ให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศ 34 แห่งจากสายการบินต่างประเทศ 36 แห่ง มีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นมากกว่า 6% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาเนื่องจากเส้นทางใหม่ส่วนใหญ่มาจากจีน ปริมาณผู้โดยสารของย่างกุ้งเพิ่มขึ้นเป็น 4.6 ล้านคนในเก้าเดือนแรกของปี 62 ซึ่งสูงกว่าปีที่ผ่านมา 6.5% เนื่องจากการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากวิกฤตยะไข่รัฐบาลจึงได้อนุญาตวีซ่าเดินทางสำหรับหกประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย เยอรมัน อิตาลี สเปน สวิตเซอร์แลนด์ และรัสเซียโดยมีค่าธรรมเนียม 50 เหรียญสหรัฐที่สนามบินย่างกุ้ง มัณฑะเลย์ และเนปิดอว์โดยเริ่มตั้งแต่เดือนนี้ ตุลาคมที่ผ่านมานักท่องเที่ยวจากญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง และมาเก๊าได้รับอนุญาตให้เข้าประเทศโดยไม่ต้องขอวีซ่าในขณะที่อินเดียและชาวจีนจะได้รับการต่อวีซ่าในปีนี้

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/ruili-airlines-starts-direct-flight-between-yangon-and-yunnans-dehong.html

เซรามิกอ่วมแน่!!! สหรัฐฯตัดสิทธิ GSP กระทบกว่า 4,000 ล.บาทต่อปี

กลุ่มเซรามิกส.อ.ท.มึน มาตรการระงับการให้สิทธิ GSP ของสหรัฐอเมริกา หลัง 25 เม.ย63 จะทำให้ผลิตภัณฑ์เซรามิก มีผลกระทบเป็นมูลค่า 4,185 ล้านบาทต่อปี เลขาธิการกลุ่มอุตสาหกรรมเซรามิก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) ว่าการที่ สหรัฐอเมริกาประกาศจะระงับการสิทธิ GSP มีผลบังคับใช้ 25 เมษายน 2563 นั้น ทำให้ผลิตภัณฑ์เซรามิกมีผลกระทบเป็นมูลค่า 4,185 ล้านบาทต่อปี และมีผลกระทบกับมูลค่าการส่งออก เซรามิกของไทยเฉลี่ยสูงกว่า 20% ของมูลค่าส่งออกไปยังทั่วโลก โดยผลกระทบมากสุดคือเครื่องสุขภัณฑ์เซรามิกส่งออกไปยังสหรัฐฯมูลค่า 1,949.42 ล้านบาท หรือ 32% ของมูลค่าส่งออกของไทยไปยังทั่วโลก ปัจจุบันอุตสาหกรรมเซรามิกประสบปัญหาหลายด้านอยู่แล้ว เช่น อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น วัตถุดิบในประเทศมีคุณภาพลดลง แต่มีราคาสูงขึ้น, ขาดแคลนวัตถุดิบที่มีคุณภาพ ต้นทุนการผลิต อื่นๆ สูงขึ้น เป็นต้น  ทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันลดลงและเมื่อระงับการให้สิทธิ GSP ยิ่งเป็นการซ้ำเติมต่ออุตสาหกรรมเซรามิก จึงขอให้ภาครัฐช่วยแก้ไขปัญหาโดยขอให้ ภาครัฐออกมาตรการใช้ผลิตภัณฑ์เซรามิก ส่งเสริมการใช้สินค้าไทย (Made in Thailand), มีมาตรการป้องกันสินค้าเซรามิกด้อยคุณภาพจากต่างประเทศที่ ส่วนการส่งออก ขอให้ภาครัฐแก้ไขปัญหาสิทธิ GSP ช่วยควบคุมค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ แต่ถ้าเป็นไปได้ก็ขอให้ค่าเงินบาทอยู่ในช่วง 31-33 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐฯ, เร่งเจรจา FTA เพื่อเปิดตลาดกับประเทศเป้าหมาย

ที่มา: https://www.thansettakij.com/content/413096

การเติบโตของภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงแข็งแกร่งในช่วงครึ่งปีแรก

ภาคอสังหาริมทรัพย์ของกัมพูชามีการเติบโตที่แข็งแกร่งในช่วงครึ่งแรก โดยมีการดูดซับตลาดที่แข็งแกร่งสำหรับบ้านและคอนโดมิเนียมตามรายงานล่าสุดจากการประเมินของ VTrust ซึ่งการปรับปรุงตลาดอสังหาริมทรัพย์ของกรุงพนมเปญในช่วงครึ่งปีแรกมีการเปิดตัวโครงการบ้านจัดสรรกว่า 13,900 ยูนิตจาก 82 โครงการและกำลังดำเนินการก่อสร้างถึง 4,600 แห่ง โดยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยการประเมิน VTrust กล่าวว่าอัตราการดูดซับตลาดที่แข็งแกร่งเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงสุขภาพของภาคธุรกิจ ซึ่งอุปทานใหม่ในกรุงพนมเปญมีมากกว่า 147,000 ตารางเมตร ณ เดือนมิถุนายน โดยประธานสมาคมผู้ประเมินค่าทรัพย์สินและตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ของกัมพูชากล่าวว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ในกัมพูชาจะยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอีกห้าปีข้างหน้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงพนมเปญ สีหนุวิลล์ เค็ป กัมปอต เสียมราฐ พระตะบองและเกาะกง ซึ่งการเติบโตนี้เกิดขึ้นได้จากรายได้ที่สูงขึ้นในหมู่คนท้องถิ่นการสนับสนุนของธนาคารพาณิชย์ความพยายามของรัฐบาลในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระเบียบข้อบังคับ รวมถึงเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจมหภาคของประเทศ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50654869/real-estate-growth-robust-in-h1-vtrust/

บริษัท ญี่ปุ่นสร้างโรงงานแปรรูปมะม่วงหิมพานต์ในกัมพูชา

บริษัท ท็อปแพลนนิ่งเจแปน จำกัด ประกาศที่จะสร้างโรงงานในประเทศกัมพูชาเพื่อแปรรูปเม็ดมะม่วงหิมพานต์ โดยได้สรุปการศึกษาการลงทุนที่ดำเนินการโดยความช่วยเหลือขององค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) และได้มีการประชุมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรของกัมพูชาในกรุงพนมเปญเพื่อหารือเกี่ยวกับการลงทุน ซึ่งจากการศึกษา บริษัท พบว่าเม็ดมะม่วงหิมพานต์ของกัมพูชามีรสชาติดีกว่าในประเทศเวียดนาม อินเดียและแอฟริกา ภายใต้คุณภาพสุขอนามัย มีศักยภาพที่เป็นไปได้ แต่ขาดความทันสมัยในอุตสาหกรรมการผลิตแปรรูปทาง บริษัท จึงต้องการสร้างโรงงานแปรรูปในกัมพูชาที่ปฏิบัติตามมาตรฐานสากล โดยตั้งใจที่จะยกระดับมาตรฐานคุณภาพในภาคการผลิตให้ไปถึงระดับสากล ซึ่งทางรัฐบาลกัมพูชาเองกำลังพัฒนาภาคเกษตรทั้งในด้านคุณภาพ มาตรฐานบรรจุภัณฑ์และปรับปรุงอุตสาหกรรมให้ทันสมัย ตามนโยบายรัฐบาลมีเป้าหมายที่จะผลิตสินค้าเกษตรแปรรูปเพื่อส่งออกร้อยละ 12 ของการส่งออกภายในปี 2568 ซึ่งจากข้อมูลล่าสุดของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ระบุว่ากัมพูชาส่งออกเม็ดมะม่วงหิมพานต์ 169,458 ตัน ไปกว่า 11 ประเทศ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50654880/japanese-firm-to-build-cashew-processing-plant/

สปป.ลาว, จีน ยกระดับความร่วมมือด้านไอซี

 สปป.ลาวและจีนกำลังขยายความร่วมมือในการสื่อสารข้อมูลและเทคโนโลยี เพื่อปูทางสำหรับการพัฒนาระบบการสื่อสารข้อมูลในสปป.ลาว ซึ่งความร่วมมือนี้จะช่วยขับเคลื่อน “Belt and Road” ของจีนและริเริ่มการพัฒนาระบบดิจิตอลสำหรับการเชื่อมต่อในระดับภูมิภาคที่ดีขึ้น นอกจากนี้ยังจะกระชับความสัมพันธ์และความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมระหว่างสปป.ลาวและจีน ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะร่วมมือในการใช้ระบบข้อมูลความเร็วสูงเพื่อบรรลุเป้าหมายการลดความยากจนและการเติบโตทางเศรษฐกิจผ่าน “Digital Silk Road” และวางแผนที่จะยกระดับระบบดิจิตอลในสปป.ลาว ในโอกาสนี้บริษัทโทรคมนาคมชั้นนำจากสปป.ลาวและจีนรวม 4 บริษัท ตกลงที่จะร่วมมือในการบำรุงรักษาและการใช้โครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม โดยจุดประสงค์เพื่อยกระดับระบบโทรคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารโทรคมนาคมในสปป.สู่ระดับสากล นี่เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายของรัฐบาลในการเปลี่ยนสปป.ลาวจากการที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลเพื่อเชื่อมโยงทางบกภายในภูมิภาค

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/laos-china-lift-ict-cooperation-new-heights-107095

กระทรวงสปป.ลาวเน้นข้อกังวลเกี่ยวกับข้าราชการที่“ ไม่มีอยู่จริง”

กระทรวงการต่างประเทศกำลังชี้แจงจำนวนที่แท้จริงของข้าราชการท่ามกลางความกังวลของประชาชนเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของตำแหน่งที่เรียกว่า ” ghost ” กระบวนการนี้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการในการยืนยันจำนวนที่แท้จริงของข้าราชการพลเรือนในสปป.ลาว ซึ่งมีการแจกบัตรประชาชนข้าราชการ ก่อนที่จะรับบัตรเจ้าหน้าที่ได้รับคำสั่งให้เข้าแถวและแสดงหลักฐานว่าเป็นบุคคลที่มีชื่อในบัตรประจำตัวประชาชนซึ่งได้รับการออกแบบให้เป็นบัตรเอทีเอ็มเพื่อใช้ในการถอนเงินและไม่สามารถรับบัตรแทนกันได้ การกำหนดให้ข้าราชการแต่ละคนแสดงหลักฐานว่าเป็นเจ้าของที่แท้จริงของบัตรประจำตัวที่ออกใหม่จะช่วยให้รัฐบาลตัดสินว่าข้าราชการที่ได้รับเงินเดือนของรัฐมีอยู่จริงหรือไม่ หากพบเจอการมีอยู่ของ“ghost ” จะขอยกเลิกการจ่ายเงินเดือนเข้าบัญชีธนาคาร และให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องพิจารณาคดีและลงโทษผู้กระทำความผิดตามกฎหมาย ทั้งนี้ได้แจกจ่ายบัตรประจำตัวประชาชนใหม่ให้แก่หน่วยงานรัฐ 37 แห่ง และวางแผนที่จะแจกจ่ายบัตรให้กับหน่วยงานกลางของรัฐอีก 9 แห่งและแจกจ่ายบัตรประจำตัวให้กับข้าราชการในจังหวัดในปี 63

ที่มา:http://vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Ministry_addresses_236.php

เวียดนามดึงดูด FDI มากกว่า 29 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วง 10 เดือนปี 2562

จากข้อมูลของกระทรวงการวางแผนและการลงทุนเวียดนาม (MPI) เปิดเผยว่าเวียดนามดึงดูดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มากกว่า 29.11 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วง 10 เดือนของปี 2562 เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยตัวเลขดังกล่าว มูลค่าราว 12.38 พันล้านเหรียญฯ ใช้สำหรับโครงการใหม่ประมาณ 3,094 โครงการ และอีก 5.47 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ใช้สำหรับโครงการที่มีอยู่ในปัจจุบัน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 83.6 ของมูลค่าในปีที่แล้ว โดยภาคอุตสาหกรรมการผลิตและแปรรูปยังคงเป็นภาคที่ดึงดูดของนักลงทุนต่างชาติมากที่สุด รองลงมาภาคอสังหาริมทรัพย์ และภาคการค้าปลีกค้าส่ง ตามลำดับ ในขณะที่ ประเทศฮ่องกง (จีน) เป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในเวียดนาม รองลงมาเกาหลีใต้ และสิงคโปร์ ตามลำดับ รวมไปถึงเมืองฮานอยที่ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศมากที่สุด รองลงมานครโฮจิมินห์ บินห์ดอง ด่งนาย และบัคนินห์ ตามลำดับ

ที่มา :  https://english.vov.vn/economy/vietnam-attracts-over-29-billion-usd-in-fdi-in-ten-months-405251.vov

ยูนิโคล่จะได้รับกำไอย่างมากในเวียดนาม เทียบกับ HM และ Zara ได้หรือไม่

ยูนิโคล่ (Uniqlo) เล็งเห็นเวียดนามเป็นตลาดสำคัญในการเข้าถึงกลุ่มประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างไรก็ตาม แบรนด์คู่แข่งอย่าง Zera, H&M, Elise และ Hnoss จะท้าทายกับแบรนด์ระดับโลกของสัญชาติญี่ปุ่น โดยยูนิโคล่จะเริ่มตั้งร้านแห่งแรกในเวียดนาม อยู่ที่ Parkson Saigon Tourist Plaze ในย่านกลางเมืองโฮจิมินห์ และการเข้ามาทำตลาดของยูนิโคล่นั้น จะทำให้เกิดการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดผู้บริโภคที่มีอยู่กว่า 95 ล้านคน ซึ่งจากข้อมูลของ Virac, Mitra Adiperkasa (MAP) ระบุว่ากลุ่มแบรนด์ ได้แก่ Zara, Pull & Beer, Staradivarius และ Massimo Dutti ล้วนเป็นผู้นำในตลาดค้าปลีกแฟชั่นเวียดนาม นับว่าเวียดนามเป็นตลาดขนาดใหญ่อันดับสองของบริษัท รองลงมาอินโดนีเซีย นอกจากนี้ อุตสาหกรรมแฟชั่นเวียดนามในปี 2561 มีมูลค่ารวมประมาณ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ด้วยอัตราการเติบโตร้อยละ 10 ต่อปี

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/will-uniqlo-earn-big-money-in-vietnam-like-hm-and-zara-405276.vov