เวียดนามนำเข้าไฟฟ้าจากสปป.ลาว และจีนมากขึ้น

จากรายงานการประชุมของการไฟฟ้าและพลังงานทดแทนเวียดนาม (Department of Electricity and Renewable Energy) ในวันพุธที่ผ่านมา เปิดเผยว่าเวียดนามเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนไฟฟ้า เนื่องมาจากความล่าช้าในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ โดยจะนำเสนอโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้า 200 เมกะวัตต์ ซึ่งเวียดนามมีปริมาณการบริโภคไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ ปริมาณถ่านหินและแก๊สมีแนวโน้มลดลง จึงมีความเสี่ยงต่อการขาดแคลนพลังงานในปี 2563 ด้วยเหตุนี้ ทางกระทรวงฯ จะดำเนินการนำเข้าพลังงานไฟฟ้าจากสปป.ลาว และจีน คาดว่าเวียดนามจะนำเข้าพลังงานไฟฟ้ากว่า 3.6 พันล้านกิโลวัตต์ต่อชั่วโมง ในปี 2564 และ 9 พันล้านกิโลวัตต์ต่อชั่วโมงในปี 2566 ผลจากการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจของเวียดนามอย่างรวดเร็ว ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้ขาดแคลนพลังงานอย่างมาก โดยจากสถิติความต้องการไฟฟ้า พบว่าอัตราการขยายตัวของการบริโภคไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 ต่อปี ในอีก 10 ปีข้างหน้า

ที่มา : https://e.vnexpress.net/news/business/industries/vietnam-to-import-more-electricity-from-laos-china-3954206.html

USAID ร่วมมือสมาคมกาแฟเมียนมาช่วยผู้ผลิตในประเทศ

องค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกา (USAID) ร่วมมือกับสมาคมกาแฟเมียนมา (MCA) ช่วยเหลือผู้ผลิตกาแฟท้องถิ่นในการเข้าถึงตลาดกาแฟนานาชาติและการปลูกกาแฟคุณภาพสูง โดยกู้ยืมเงินจำนวน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรกว่า 8,000 คนนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในการผลิตและเพาะปลูกเพื่อให้สามารถแข่งขันในระดับนานาชาติได้ ทางด้าน USAID สนับสนุน MCA ตั้งแต่ปี 2556 ขณะที่สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกามีเป้าหมายที่จะส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านเมียนมาไปสู่การเปิดกว้างเศรษฐกิจรวมถึงเพิ่มการค้าและการลงทุนในระดับทวิภาคีโดยใช้ห่วงโซ่คุณค่าของ USAID จำนวน 27 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อการพัฒนาชนบทและกิจกรรมต่างๆ

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/usaid-partnership-helps-local-coffee-producers-tap-intl-market.html

ส.ขอนแก่นบุกเมียนมา ขยายธุรกิจผลิตอาหาร

ส.ขอนแก่นฟู้ดส์ลุยเมียนมา จัดตั้งบริษัทร่วมทุนดำเนินการผลิตอาหารพื้นเมืองไทยและผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูป โดยลงทุนร่วมกับนายกริช อึ้งวิฑูรสถิตย์ ประธานสภาธุรกิจไทยเมียนมาและผู้ก่อตั้งสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมเมียนมา – ไทย โดยจัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อลงทุนในกรุงย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา ภายใต้ชื่อ บริษัท ส.ขอนแก่นฟู้ดส์ (เมียนมา) จำกัด ทุนจดทะเบียน 25 ล้านบาท เนื่องจากเห็นถึงการเติบโตในตลาดผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูปที่จะขยายตัวมากขึ้นในอนาคต โดยจะลงทุนในโครงการก่อสร้าง ปรับปรุงอาคารโรงงาน และติดตั้งเครื่องจักรในการผลิต เพื่อการเติบโตในระยะยาว เชื่อว่าจะทำให้บริษัทได้รับผลประโยชน์รวมทั้งโอกาสขยายตลาดและเป็นการกระจายความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดในประเทศ

ที่มา : https://www.ryt9.com/s/tpd/3016099

กระทรวงสปป.ลาวควบคุมสถานีบริการน้ำมัน

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงโยธาธิการและคมนาคม ได้ทำการตัดสินใจแก้ไขกฎกระทรวงมาตรฐานการก่อสร้างทางเทคนิคสำหรับโรงเก็บเชื้อเพลิงและสถานีบริการน้ำมัน ภายใต้กฎระเบียบคลังน้ำมันเชื้อเพลิงจะต้องตั้งอยู่ 1 กิโลเมตร ส่วนที่เกี่ยวกับสถานีบริการน้ำมันควรตั้งอยู่ห่างจากย่านที่อยู่อาศัย 100 เมตร จากพื้นที่อยู่อาศัย โรงเรียน โรงพยาบาล พื้นที่คุ้มครอง วัดและแม่น้ำ สถานีบริการน้ำมันกลายเป็นธุรกิจที่ได้รับความนิยม แต่การก่อสร้างไม่ได้รับการควบคุมอย่างเหมาะสม ผู้คนจำนวนมากแสดงความกังวลต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากไฟไหม้หรืออุบัติเหตุอื่น ๆ เนื่องจากบางแห่งตั้งอยู่ในเขตที่อยู่อาศัย วัดและแม่น้ำ อย่างไรก็ตามกฎระเบียบดังกล่าวยังไม่ชัดเจน และหนึ่งในมาตรฐานที่สำคัญที่สถานีบริการน้ำมันจะต้องปฏิบัติตามภายใต้กฎระเบียบคือการติดตั้งระบบดับเพลิง สถานีบริการน้ำมันจะต้องจ้างคนอย่างน้อยหนึ่งคนที่ได้รับการรับรองว่าผ่านหลักสูตรควบคุมไฟ และรัฐบาลต้องการปฏิรูปอุตสาหกรรม รัฐบาลประกาศนโยบายลดจำนวนผู้นำเข้าเชื้อเพลิง นอกจากนี้ผู้ประกอบการและองค์กรธุรกิจที่ต้องการนำเข้าและขายน้ำมันเชื้อเพลิงจะต้องมีใบอนุญาตดำเนินงานสองใบแยกกัน

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/lao-ministry-regulate-petrol-stations-100430

ตลาดสปป.ลาวเล็งเห็นการนำเข้าสินค้าเกษตรมากขึ้น

สปป.ลาวอาจต้องนำเข้าผลผลิตทางการเกษตรมากขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับผลไม้และผักสด ปีที่ผ่านมา The Aussie Lao fresh market  นำเข้าผลไม้และผัดสด 15% ของผลผลิตที่ผลิตจากประเทศไทยและ 15% จากเวียดนามในขณะที่บางส่วนมาจากจังหวัดอื่น ๆ ในสปป.ลาว สินค้านำเข้าส่วนใหญ่ ได้แก่ มะเขือเทศ มะเขือม่วง พริก หัวหอมกระเทียม ผลไม้และผักอื่น ๆ แม้ว่าผู้ปลูกในสปป.ลาวจะเป็นผู้จัดหาผลผลิตประมาณ 70% ของยอดขายในตลาดท้องถิ่น แต่ผู้บริโภคยังคงจ่ายเงินมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศไทยและเวียดนาม การผลิตทางการเกษตรในช่วงหกเดือนแรกของปีนี้มีการเติบโต ผลผลิตทางการเกษตรโดยเฉพาะผักให้ผลผลิต 1.19 ล้านตันเพิ่มขึ้น 19% อัตราการเติบโตในภาคเกษตรคาดว่าจะบรรลุเป้าหมายร้อยละ 2.8 หากไม่มีภัยธรรมชาติ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในปีนี้รัฐบาลจะดำเนินโครงการ เช่นการผลิตเชิงพาณิชย์และการรับรองความมั่นคงด้านอาหาร รัฐบาลจะส่งเสริมให้เกษตรกรใช้เทคนิคสมัยใหม่ที่มีประสิทธิผลมากขึ้นและปลูกพืชหลากหลายประเภทที่ปลูกในวิธีที่สะอาดและยั่งยืน การเกษตรยังคงมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจ

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/lao-markets-eyeing-more-agricultural-imports-100348

วันประกันภัยที่จะจัดขึ้นในสัปดาห์หน้า

รัฐบาลจะจัดให้มี ‘วันประกัน’ เป็นครั้งแรกในสัปดาห์หน้าในวันที่ 25 กรกฎาคม เพื่อสร้างความสนใจและการรับรู้ของประชาชนเกี่ยวกับภาคที่มีการเติบโตอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่าน โดยมีส่วนร่วมจากทุก บริษัท ประกันภัยในประเทศ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการพัฒนาภาคการประกันภัยในประเทศกัมพูชา รวมถึงส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างความตระหนัก และช่วยให้ผู้คนเข้าใจถึงประโยชน์ของการเป็นผู้ประกันตน โดยจากรายงานของ IAC ระบุว่ามี บริษัท ประกันทั่วไป 13 แห่งและ บริษัท ประกันชีวิต 9 แห่งที่ดำเนินงานในประเทศ ซึ่งระหว่างปี 2556 ถึงปี 2561 อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีของคอมมิชชันคือร้อยละ 15.7 สำหรับการประกันภัยทั่วไป และ 120.5 เปอร์เซ็นต์สำหรับการประกันชีวิตตามรายงาน ยอดรวมเบี้ยประกันขั้นต้นในอุตสาหกรรมประกันภัยเพิ่มขึ้น 30 เปอร์เซ็นต์ ในปีที่แล้วส่วนใหญ่มาจากการขายประกันชีวิต มีมูลค่าถึง 196.4 ล้านเหรียญสหรัฐ เทียบกับปีที่แล้วอยู่ที่ 151.6 ล้านเหรียญสหรัฐ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50625015/insurance-day-to-be-held-next-week/

สมาคมน้ำตาลปาล์มขอความช่วยเหลือจากสหภาพยุโรป

สมาคมส่งเสริมน้ำตาลกำปงสปือ ได้ขอให้สหภาพยุโรปช่วยเกี่ยวกับน้ำตาลโตนดกัมพูชาในยุโรปตามที่ประธานสมาคมได้ขอร้อง โดยในเดือนเมษายนน้ำตาลปาลองของกำปงสปือได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งกำเนิดที่ได้รับการคุ้มครองและบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ที่ได้รับการคุ้มครอง (PGI) ในสหภาพยุโรป ซึ่งยังได้รับคำสั่งให้แนะนำทางด้านเทคนิคเกี่ยวกับการบรรจุภัณฑ์ของน้ำตาลด้วย โดยสมาคมได้ผลิตน้ำตาลปี๊บประมาณ 350 ตัน จนถึงปีนี้ซึ่งส่งออก 250 ตัน ใน 25 ประเทศปัจจุบันมีเกษตรกร 174 คนในฐานะสมาชิก

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50624873/palm-sugar-association-requests-eu-assistance/

เวียดนามเผยยอดส่งออกยางในเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้นอย่างมาก

จากรายงานของกรมศุลกากร (General Department of Customs) เปิดเผยว่ายอดส่งออกยางในเดือนมิถุนายน อยู่ที่ 122,760 ตัน และคิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 174.45 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 58.4 และ 56.1 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของเดือนก่อน รวมไปถึงราคาส่งออกเฉลี่ยในเดือนมิถุนายนอยู่ที่ 1,421 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน ลดลงร้อยละ 1.5 เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน ปี 2561 ในส่วนของตลาดสำคัญของยางเวียดนาม พบว่าปริมาณการส่งออกยางไปที่จีนลดลง ในขณะปริมาณส่งออกไปนังอินเดียและมาเลเซียเพิ่มขึ้นอย่างมาก นอกจากนี้ จีนยังคงเป็นตลาดส่งออกยางสำคัญที่สุดของเวียดนาม คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 55.7 ของปริมาณการส่งออกยางทั้งหมด ทั้งนี้ ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ปริมาณการส่งออกยางไปยังจีนเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 387,110 ตัน มูลค่าอยู่ที่ 523.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.6 ในปริมาณ และร้อยละ 0.8 ในมูลค่า เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/522786/rubber-exports-in-june-increased-strongly.html#p75wo8WisvDWUJyT.97

IMF ประเมินเศรษฐกิจเวียดนามจะขยายตัวลดลง 6.5% ในปี 2562

จากรายงานการพัฒนาทางเศรษฐกิจของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ในวันอังคารที่ผ่านมา เปิดเผยว่าการเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนามในปี 2562 มีแนวโน้มชะลอตัวสู่ระดับร้อยละ 6.5 จากระดับสูงที่สุดร้อยละ 7.1 ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงปัจจัยภายนอกที่เปราะบาง โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของเวียดนาม (GDP) คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 6.5 อีกครั้ง ในปี 2563 และช่วงการขยายตัวระยะปานกลาง นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในปี 2561 อยู่ที่ร้อยละ 3.5 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6 , 3.8 ในปี 2562 และปี 2563 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าผลของความตึงเครียดทางการค้าและความผันผวนของการค้าทั่วโลก แต่เศรษฐกิจเวียดนามยังคงสามารถรับมือต่อปัจจัยภายนอกได้ เนื่องมาจากการขยายตัวของกลุ่มผู้บริโภครายได้ในระดับปานกลาง และการบริโภคที่แข็งแกร่ง รวมไปถึงภาคเกษตรและอุตสาหกรรมขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง

ที่มา : https://tuoitrenews.vn/news/business/20190717/imf-sees-vietnam-s-economic-growth-slowing-to-65-in-2019/50678.html

ผลการสำรวจค่าจ้างเมียนมาเพิ่มมากกว่าครึ่งของแรงงานในอุตสาหกรรม

จากผลการสำรวจของหอการค้าและอุตสาหกรรมฝรั่งเศส – เมียนมา (CCI) พบว่าจาก 500 บริษัทใน 10 อุตสาหกรรมมีการเพิ่มต่าแรงตั้งแต่ 1 – 5% มากกว่า 54% จากบริษัททั้งหมด พบว่าแรงงานในกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 11 – 15% อุตสาหกรรมการเงินเพิ่ม 1 – 5% ด้านสุขภาพ 1 – 10% ส่วนแรงงาน 42% ของแรงงานสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มถึง 6 – 10% ซึ่ง CCI เทียบกับการสำรวจของปีที่แล้วการสำรวจในปีนี้ได้ปรับปรุงการคำนวณ ค่ามัธยฐานและฐานเงินเดือนโดยเฉลี่ยทำให้ผลลัพธ์มีความแม่นยำมากขึ้น และ CCI เผยด้วยว่าการสำรวจเงินเดือนเฉพาะอุตสาหกรรมมากขึ้น เช่น การสำรวจเงินเดือนของอุตสาหกรรมโรงแรมของปี 2562

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/wage-survey-showed-more-half-workers-received-increments.html