ตลาดสปป.ลาวเล็งเห็นการนำเข้าสินค้าเกษตรมากขึ้น

สปป.ลาวอาจต้องนำเข้าผลผลิตทางการเกษตรมากขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับผลไม้และผักสด ปีที่ผ่านมา The Aussie Lao fresh market  นำเข้าผลไม้และผัดสด 15% ของผลผลิตที่ผลิตจากประเทศไทยและ 15% จากเวียดนามในขณะที่บางส่วนมาจากจังหวัดอื่น ๆ ในสปป.ลาว สินค้านำเข้าส่วนใหญ่ ได้แก่ มะเขือเทศ มะเขือม่วง พริก หัวหอมกระเทียม ผลไม้และผักอื่น ๆ แม้ว่าผู้ปลูกในสปป.ลาวจะเป็นผู้จัดหาผลผลิตประมาณ 70% ของยอดขายในตลาดท้องถิ่น แต่ผู้บริโภคยังคงจ่ายเงินมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศไทยและเวียดนาม การผลิตทางการเกษตรในช่วงหกเดือนแรกของปีนี้มีการเติบโต ผลผลิตทางการเกษตรโดยเฉพาะผักให้ผลผลิต 1.19 ล้านตันเพิ่มขึ้น 19% อัตราการเติบโตในภาคเกษตรคาดว่าจะบรรลุเป้าหมายร้อยละ 2.8 หากไม่มีภัยธรรมชาติ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในปีนี้รัฐบาลจะดำเนินโครงการ เช่นการผลิตเชิงพาณิชย์และการรับรองความมั่นคงด้านอาหาร รัฐบาลจะส่งเสริมให้เกษตรกรใช้เทคนิคสมัยใหม่ที่มีประสิทธิผลมากขึ้นและปลูกพืชหลากหลายประเภทที่ปลูกในวิธีที่สะอาดและยั่งยืน การเกษตรยังคงมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจ

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/lao-markets-eyeing-more-agricultural-imports-100348

วันประกันภัยที่จะจัดขึ้นในสัปดาห์หน้า

รัฐบาลจะจัดให้มี ‘วันประกัน’ เป็นครั้งแรกในสัปดาห์หน้าในวันที่ 25 กรกฎาคม เพื่อสร้างความสนใจและการรับรู้ของประชาชนเกี่ยวกับภาคที่มีการเติบโตอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่าน โดยมีส่วนร่วมจากทุก บริษัท ประกันภัยในประเทศ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการพัฒนาภาคการประกันภัยในประเทศกัมพูชา รวมถึงส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างความตระหนัก และช่วยให้ผู้คนเข้าใจถึงประโยชน์ของการเป็นผู้ประกันตน โดยจากรายงานของ IAC ระบุว่ามี บริษัท ประกันทั่วไป 13 แห่งและ บริษัท ประกันชีวิต 9 แห่งที่ดำเนินงานในประเทศ ซึ่งระหว่างปี 2556 ถึงปี 2561 อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีของคอมมิชชันคือร้อยละ 15.7 สำหรับการประกันภัยทั่วไป และ 120.5 เปอร์เซ็นต์สำหรับการประกันชีวิตตามรายงาน ยอดรวมเบี้ยประกันขั้นต้นในอุตสาหกรรมประกันภัยเพิ่มขึ้น 30 เปอร์เซ็นต์ ในปีที่แล้วส่วนใหญ่มาจากการขายประกันชีวิต มีมูลค่าถึง 196.4 ล้านเหรียญสหรัฐ เทียบกับปีที่แล้วอยู่ที่ 151.6 ล้านเหรียญสหรัฐ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50625015/insurance-day-to-be-held-next-week/

สมาคมน้ำตาลปาล์มขอความช่วยเหลือจากสหภาพยุโรป

สมาคมส่งเสริมน้ำตาลกำปงสปือ ได้ขอให้สหภาพยุโรปช่วยเกี่ยวกับน้ำตาลโตนดกัมพูชาในยุโรปตามที่ประธานสมาคมได้ขอร้อง โดยในเดือนเมษายนน้ำตาลปาลองของกำปงสปือได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งกำเนิดที่ได้รับการคุ้มครองและบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ที่ได้รับการคุ้มครอง (PGI) ในสหภาพยุโรป ซึ่งยังได้รับคำสั่งให้แนะนำทางด้านเทคนิคเกี่ยวกับการบรรจุภัณฑ์ของน้ำตาลด้วย โดยสมาคมได้ผลิตน้ำตาลปี๊บประมาณ 350 ตัน จนถึงปีนี้ซึ่งส่งออก 250 ตัน ใน 25 ประเทศปัจจุบันมีเกษตรกร 174 คนในฐานะสมาชิก

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50624873/palm-sugar-association-requests-eu-assistance/

เวียดนามเผยยอดส่งออกยางในเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้นอย่างมาก

จากรายงานของกรมศุลกากร (General Department of Customs) เปิดเผยว่ายอดส่งออกยางในเดือนมิถุนายน อยู่ที่ 122,760 ตัน และคิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 174.45 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 58.4 และ 56.1 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของเดือนก่อน รวมไปถึงราคาส่งออกเฉลี่ยในเดือนมิถุนายนอยู่ที่ 1,421 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน ลดลงร้อยละ 1.5 เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน ปี 2561 ในส่วนของตลาดสำคัญของยางเวียดนาม พบว่าปริมาณการส่งออกยางไปที่จีนลดลง ในขณะปริมาณส่งออกไปนังอินเดียและมาเลเซียเพิ่มขึ้นอย่างมาก นอกจากนี้ จีนยังคงเป็นตลาดส่งออกยางสำคัญที่สุดของเวียดนาม คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 55.7 ของปริมาณการส่งออกยางทั้งหมด ทั้งนี้ ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ปริมาณการส่งออกยางไปยังจีนเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 387,110 ตัน มูลค่าอยู่ที่ 523.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.6 ในปริมาณ และร้อยละ 0.8 ในมูลค่า เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/522786/rubber-exports-in-june-increased-strongly.html#p75wo8WisvDWUJyT.97

IMF ประเมินเศรษฐกิจเวียดนามจะขยายตัวลดลง 6.5% ในปี 2562

จากรายงานการพัฒนาทางเศรษฐกิจของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ในวันอังคารที่ผ่านมา เปิดเผยว่าการเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนามในปี 2562 มีแนวโน้มชะลอตัวสู่ระดับร้อยละ 6.5 จากระดับสูงที่สุดร้อยละ 7.1 ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงปัจจัยภายนอกที่เปราะบาง โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของเวียดนาม (GDP) คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 6.5 อีกครั้ง ในปี 2563 และช่วงการขยายตัวระยะปานกลาง นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในปี 2561 อยู่ที่ร้อยละ 3.5 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6 , 3.8 ในปี 2562 และปี 2563 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าผลของความตึงเครียดทางการค้าและความผันผวนของการค้าทั่วโลก แต่เศรษฐกิจเวียดนามยังคงสามารถรับมือต่อปัจจัยภายนอกได้ เนื่องมาจากการขยายตัวของกลุ่มผู้บริโภครายได้ในระดับปานกลาง และการบริโภคที่แข็งแกร่ง รวมไปถึงภาคเกษตรและอุตสาหกรรมขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง

ที่มา : https://tuoitrenews.vn/news/business/20190717/imf-sees-vietnam-s-economic-growth-slowing-to-65-in-2019/50678.html

ผลการสำรวจค่าจ้างเมียนมาเพิ่มมากกว่าครึ่งของแรงงานในอุตสาหกรรม

จากผลการสำรวจของหอการค้าและอุตสาหกรรมฝรั่งเศส – เมียนมา (CCI) พบว่าจาก 500 บริษัทใน 10 อุตสาหกรรมมีการเพิ่มต่าแรงตั้งแต่ 1 – 5% มากกว่า 54% จากบริษัททั้งหมด พบว่าแรงงานในกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 11 – 15% อุตสาหกรรมการเงินเพิ่ม 1 – 5% ด้านสุขภาพ 1 – 10% ส่วนแรงงาน 42% ของแรงงานสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มถึง 6 – 10% ซึ่ง CCI เทียบกับการสำรวจของปีที่แล้วการสำรวจในปีนี้ได้ปรับปรุงการคำนวณ ค่ามัธยฐานและฐานเงินเดือนโดยเฉลี่ยทำให้ผลลัพธ์มีความแม่นยำมากขึ้น และ CCI เผยด้วยว่าการสำรวจเงินเดือนเฉพาะอุตสาหกรรมมากขึ้น เช่น การสำรวจเงินเดือนของอุตสาหกรรมโรงแรมของปี 2562

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/wage-survey-showed-more-half-workers-received-increments.html

รัฐคะยาเตรียมสร้างโรงหลอมเหล็ก

เมียนมาและจีนร่วมมือสร้างโรงหลอมโลหะมูลค่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในหลอยก่อเมืองหลวงของรัฐกะยาทางตะวันออกของเมียนมา ผอ.ฝ่ายการลงทุนและการบริหาร บริษัท (DICA) กล่าวว่า บริษัท ร่วมทุน Global Global Industrial Company (GSIC) ได้รับอนุญาตให้สร้างโรงหลอมโลหะในเขตอุตสาหกรรมหลอยก่อ สามารถสร้างงานได้ถึง 500 ตำแหน่ง ในโรงหลอมซึ่งจะใช้ในการหล่อ ดีบุก ทังสเตน และวุลแฟรม คาดว่าจะเพิ่มมูลค่าให้กับการทำเหมืองในรัฐเนื่องจากโลหะมีค่ามากขึ้นและราคาที่สูงขึ้นของวัตถุดิบ อีกทั้งรัฐบาลยังให้การสนับสนุนโครงการนี้ นับเป็นครั้งที่สองในรัฐคะยาภายหลังจากที่ บริษัท เมียนมาร์โกลเด้นโบนันซ่า ได้รับอนุญาตให้สร้างโรงหล่อ โดยร่วมมือกับ 5 บริษัทในเหมืองแห่งที่ 2 ของรัฐคะยาซึ่งมีรัฐเป็นเจ้าของโดยมี GSIC ร่วมอยู่ด้วย กำลังผลิตทั้งหมดได้ 400 ตัน ตั้งแต่ ต.ค. 61 – มิ.ย. 62 สำหรับการลงทุนอุตสาหกรรมเหล็กนั้นส่วนใหญ่เป็นเพื่อการส่งออกโดยเฉพาะ

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/kayah-state-get-us50-million-metal-refinery.html

สปป.ลาว คาดความต้องการลิฟต์และบันไดเลื่อนเพิ่มขึ้น

Mitsubishi Electric Corporation ยักษ์ใหญ่ด้านอิเล็กทรอนิกส์ของญี่ปุ่นได้ตั้งบริษัท ย่อย ใน สปป.ลาว โดยผ่านการจัดจำหน่ายผ่านตัวแทนท้องถิ่นคือ บริษัท Souvanny Home Center Public ตั้งแต่ปี 56 จากข้อมูลพบว่าความต้องการลิฟต์และบันไดเลื่อนต่อปีจะเพิ่มขึ้นจากประมาณ 180 หน่วยในปีงบประมาณสิ้นสุดในมี.ค. 62 เป็นประมาณ 290 ยูนิตในปี 67 ยอดขายจะเพิ่มขึ้นสูงเป็น 3.82 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่พบว่าสปป.ลาวยังคงเป็นตลาดเล็กเมื่อเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาคอาเซียนซึ่งไทยเป็นผู้นำในด้านรายได้และส่วนแบ่งการตลาด จากรายงานยังระบุว่าการพัฒนาอาคารอัจฉริยะและเมืองสีเขียวสามารถเพิ่มความต้องการลิฟต์ให้เพิ่มมากขึ้น ทั้งเวียงจันทน์ประกาศแผนที่จะพัฒนาเมืองตามวัตถุประสงค์หกประการหรือ“ ฮกสอ” ซึ่งรวมถึงการพัฒนาเพื่อความปลอดภัย ความสะอาด พื้นที่สีเขียว แสงสว่างและความทันสมัย การเติบโตของเมืองขนาดใหญ่ในอาเซียนเป็นแนวโน้มทางการตลาดที่สำคัญ เนื่องจากมีความหนาแน่นของประชากรเพิ่มขึ้น ทำให้ความต้องการใช้ลิฟต์เพิ่มตามไปด้วย

ที่มา: https://laotiantimes.com/2019/07/17/laos-expects-rising-demand-for-elevators-and-escalators/

เวียดนาม สปป.ลาวส่งเสริมความร่วมมือในการประกันเงินฝาก

ระบบการประกันเงินฝากของเวียดนาม (DIV) และกองทุนป้องกันผู้ฝากเงินในประเทศลาว (DPF) ได้จัดให้มีการเจรจาเพื่อทบทวนความร่วมมือในปีที่ผ่านมา ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับแผนการความร่วมมือในอนาคตรวมถึงการแก้ไขบันทึกความเข้าใจที่ลงนามแล้ว DIV แบ่งปันประสบการณ์กับ DPF ในการประสานงานและดำเนินงานร่วมกับธนาคารโลกและปรับปรุงด้านอื่น ๆ เกี่ยวกับผลลัพธ์ของการเป็นหุ้นส่วนกับธนาคารโลก ซึ่ง DPF ต้องการเรียนรู้จากประสบการณ์ของ DIV ในการจัดการเงินทุนการเก็บรวบรวมข้อมูลการจัดการและการจัดเรียงข้อมูลและระบบเครือข่ายภายในและการจัดการทรัพยากรมนุษย์ DPF เสนอให้ทั้งสองฝ่ายยังคงแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการประกันเงินฝากในปี 63 โดยให้ความสำคัญกับการแลกเปลี่ยนข้อมูลและการกำกับดูแลของธนาคารสมาชิก  และ DPF ยังร่วมมือกับ DIV เพื่อจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับการจัดการกองทุนคุ้มครองเงินฝากและสร้างความตระหนักของประชาชนด้วยวิทยากรจาก DIV

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/vietnam-laos-foster-cooperation-in-deposit-insurance/156238.vnp

การส่งออกยางพาราเพิ่มขึ้น 24% ในครึ่งแรกของปี

กัมพูชาส่งออกยางได้ 104,261 ตันในช่วงครึ่งแรกของปีเพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2561 ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายนปีนี้การส่งออกยางมีมูลค่าประมาณ 139 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีการขายยางตันละประมาณ 1,339 เหรียญสหรัฐ ซึ่งการส่งออกจะได้รับการรายงานน้อยกว่าความเป็นจริงเพราะเกษตรกรขายผลผลิตใน Grey market เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษี เนื่องจากการขาดแคลนแรงงานและราคาที่ลดลงในตลาดต่างประเทศเกษตรกรและนักลงทุนปฏิเสธที่จะขยายพื้นที่เพาะปลูก จำนวนเฮกตาร์ที่ใช้สำหรับการทำสวนยางยังคงเหมือนเดิมในช่วงสามปีที่ผ่านมา โดยมีจำนวน 436,357 เฮคเตอร์ ซึ่งเมื่อปีที่แล้วกัมพูชาส่งออกยางได้ 210,000 ตัน สร้างรายได้ประมาณ 300 ล้านเหรียญสหรัฐ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50624770/rubber-exports-up-24-percent-in-first-half-of-the-year/