รัฐบาลสปป.ลาว จะเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตที่สูงขึ้นเกี่ยวกับสินค้าไม่จำเป็น

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้นำเสนอร่างกฎหมายเกี่ยวกับภาษีสรรพสามิต เน้นถึงความจำเป็นที่จะต้องออกกฎหมายเพื่อสะท้อนความเป็นจริงของประเทศและเพื่อให้สอดคล้องกับการรวมกลุ่มระหว่างประเทศ หากกฎหมายใหม่เกี่ยวกับภาษีสรรพสามิตมีผลบังคับใช้ในเดือนม.ค. 63 ภายใต้ร่างกฎหมายภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงจะลดลงจากอัตราปัจจุบันตั้งแต่ 9 ถึง 39 % เป็น 5 ถึง 35 % ภาษีที่เรียกเก็บจากรถจักรยานยนต์ 110 ซีซีจะลดลงจาก 20 %เป็น 5 % ค่าใช้จ่ายที่เรียกเก็บสำหรับการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตลดลงจาก 10 % เป็น 3% รัฐบาลจะเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตที่สูงขึ้นสำหรับการดำเนินธุรกิจกอล์ฟเพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 25% การจัดเก็บภาษีที่เรียกเก็บจากคาสิโนและเกมคาสิโนจะเพิ่มขึ้นจาก 35% เป็น 50 % เนื่องจากรัฐบาลไม่ส่งเสริมการพนันและต้องการควบคุมธุรกิจประเภทนี้

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Govt142.php

รายได้จากภาษีเพิ่มขึ้น 28 %

กรมสรรพากร (GDT) เก็บรายได้จากภาษีมากกว่า 1.3 พันล้านดอลลาร์ ในช่วง 5 เดือนแรกของปี เพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว ในเดือนพ.ค ที่ผ่านมารัฐบาลเก็บภาษีได้ 185.8 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นมากกว่า 38% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว กงวิโบลผู้อำนวยการทั่วไปของ GDT กล่าวว่าการเพิ่มขึ้นของการจัดเก็บรายได้เป็นผลมาจากความทันสมัยของระบบการจัดเก็บภาษีผ่านการนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ เพื่อปรับปรุงการจัดเก็บภาษีและเพิ่มรายได้  เมื่อปีที่แล้ว GDT รวบรวมเกือบ 2.2 พันล้านคน เพิ่มขึ้น 13.3 %เมื่อเทียบกับปี 60 ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาการเติบโตของรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 20 ย้ายจาก 1 พันล้านดอลลาร์ในปี 57 เป็น 1.9 พันล้านในปี 60

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50615716/tax-revenue-up-28-percent/

เวียดนามเป็นคู่ค้ารายใหญ่ในอันดับที่ 9 ของเมียนมา

จากรายงานของรองนายกรัฐมนตรีกระทรวงการวางแผนและการเงินเวียดนาม ในวันอังคารที่ผ่านมา เปิดเผยว่าการค้าระหว่างเมียนมากับเวียดนาม มีมูลค่าระหว่างประเทศกว่า 860 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2561 และทางสถิติด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) พบว่าเวียดนามเป็นนักลงทุนรายใหญ่อยู่ในอันดับที่ 7 ของประเทศทั่วโลกที่มีการลงทุนโดยตรงไปยังเมียนมา โดยมีจำนวนโครงการ 18 โครงการขนาดใหญ่ ด้วยมูลค่าทุนจดทะเบียน 2.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งทางรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศได้หารือกับทางหน่วยงานรัฐบาลของเมียนมาที่เกี่ยวข้อง ระบุว่าเวียดนามต้องการให้เมียนมาอนุมัติการเปิดสินเชื่อของสถาบันการเงินเวียดนามที่ลงทุนในเมียนมา ทางการเมียนมาต้องดำเนินลดมาตรการ/อุปสรรคทางการเงินสำหรับบริษัทเวียดนามที่ลงทุนในเมียนมา ได้แก่ บริษัท  Hoàng Anh Gia Lai (HAGL) และธนาคารเพื่อการลงทุนและพัฒนา (BIDV) เป็นต้น

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/521506/viet-nam-becomes-ninth-largest-trade-partner-of-myanmar.html#HZgwcpxWV6oTogBm.97

ซูจีเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 34 ณ ประเทศไทย

นางอองซานซูจี ประธานพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยแห่งเมียนมา มีกำหนดการเดินทางไปประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดครั้งที่ 34 ของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ณ กรุงเทพมหานคร ตามคำเชิญของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของไทย โดยจะหารือเกี่ยวกับกิจกรรมของทั้ง 10 ประเทศสมาชิกปัจจุบันในการจัดตั้งประชาคมอาเซียนและอนาคต คาดว่างานนี้นางซูจีจะหารือทวิภาคีกับผู้นำอาเซียนคนอื่น ๆ ในระหว่างการประชุมสุดยอด โดยการประชุมสุดยอดอาเซียนนั้นจะจัดขึ้นปีละสองครั้งและหมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพของประเทศสมาชิก

ที่มา : http://www.xinhuanet.com/english/asiapacific/2019-06/18/c_138152505.htm

รัฐบาลสปป.ลาว พยายามแก้ไขปัญหา การขาดดุลงบประมาณ

รัฐบาลคาดการณ์ว่าการขาดดุลงบประมาณของประเทศในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 1.16 ล้านล้านกีบ ทำให้ความตึงเครียดด้านงบประมาณทวีความรุนแรงมากขึ้นเนื่องจากการขาดแคลนรายได้อย่างต่อเนื่อง หากรวมเงินที่ต้องชำระจำนวนเงินที่เป็นหนี้ให้กับเจ้าหนี้ในประเทศและต่างประเทศ จะต้องมีจำนวน 5.87 ล้านล้านกีบเพื่อให้ครอบคลุมความต้องการด้านค่าใช้จ่าย นายกรัฐมนตรีประกาศแผนการของรัฐบาลที่จะแก้ไขปัญหาการขาดดุลโดยระดมเงินทุนเพิ่มเติมจากแหล่งภายในประเทศและต่างประเทศรัฐบาลได้เน้นถึงมาตรการในการเพิ่มการจัดเก็บรายได้และบรรลุเป้าหมายที่ได้รับอนุมัติจากรัฐสภาเพื่อลดปัญหาทางการเงินของฝ่ายบริหาร จะให้ความสำคัญกับการระดมทุนจากแหล่งภายในประเทศรวมถึงพันธบัตรที่ออกโดยธนาคารแห่งสปป.ลาวและการระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ เพื่อรักษาอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจแม้จะมีปัญหาหนี้สินเพิ่มขึ้นของประเทศ

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Govts.php

ราคายางที่ตกทำให้เกิดความกังวล

ราคายางได้ปรับตัวลดลงอย่างมากในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเนื่องจากความต้องการในตลาดต่างประเทศชะลอตัวลงโดยเฉพาะจีน ขณะนี้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์พุ่งขึ้น 1,300 เหรียญ ต่อตันในตลาดท้องถิ่น ซึ่งลดลงกว่า 100 เหรียญ เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ตามตัวเลขจากกระทรวงเกษตร ซึ่งเวียดนามซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดสำหรับการส่งออกยางของกัมพูชาได้เห็นการส่งออกไปยังจีนที่ลดลงอย่างมากเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของจีน และความกังวลในเรื่องของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน สิ่งนี้ส่งผลกระทบต่อประเทศกัมพูชาเนื่องจากการผลิตยางของราชอาณาจักรส่วนใหญ่ถูกส่งไปยังประเทศจีนในการขนส่งทางอ้อมที่ผ่านเวียดนาม โดยภาคเอกชนกำลังเรียกเก็บภาษีที่ลดลงจากการส่งออกยางพารา ตัวเลขจากกระทรวงเกษตรแสดงให้เห็นว่ากัมพูชาส่งออกยางได้ 63,453 ตันในช่วงสี่เดือนแรกของปีเพิ่มขึ้น 23%

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50615296/falling-rubber-prices-causing-concern/