สปป.ลาว-เวียดนามร่วมมือเพื่อช่วยธุรกิจในสปป.ลาว
สปป.ลาวและเวียดนามได้รับอนุญาตให้เริ่มต้นเส้นทางการบินใหม่ระหว่างประเทศในขณะเดียวกันได้ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรค COVID-19 เอกอัครราชทูตเวียดนามประจำประเทศเวียดนามเหงียนบาหังเป็นประธานการสัมมนาชุมชนธุรกิจชาวเวียดนามที่อยู่ในลาวเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม โดยมีจุดประสงค์ในการหารือแนวทางแก้ปัญหาอุปสรรคที่ธุรกิจเผชิญจากการระบาดของโรค COVID-19 ในที่ประชุมยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการให้การสนับสนุนซึ่งกันและกัน การแบ่งปันข้อมูลที่หลากหลายและประสบการณ์โดยละเอียดในหมู่ชุมชนธุรกิจในช่วงเวลานี้ นอกจากนี้ธุรกิจต้องเริ่มปลี่ยนวิธีการจัดการกิจกรรมทางธุรกิจโดยใช้ประโยชน์จากการพัฒนาอุตสาหกรรม 4.0 รวมถึงตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงสู่เศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคต สำหรับระยะกลางและระยะยาวที่สปป.ลาวจะมีโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งตามทางเดินเหนือ – ใต้และตะวันออก – ตะวันตกเสร็จสิน เพื่อเชื่อมต่อจีน สปป.ลาว เวียดนามและไทยจะเปิดโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ มากมายซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีในการเริ่มต้นวางรากฐานที่แข็งแกร่งของภาคธุรกิจ เพื่อความสามารถด้านการแข่งขันของธุรกิจในอนาคต
นักลงทุนชาวเวียดนามในสปป.ลาวหารือถึงมาตรการรับมือกับ COVID-19
เอกอัครราชทูตเวียดนามประจำประเทศเวียดนามกล่าวในการประชุมร่วมกับสมาคมธุรกิจเวียดนามเพื่อความร่วมมือและการลงทุนในประเทศสปป.ลาว (BACI) เมื่อวันอาทิตย์ที่เวียงจันทน์ เพื่อหารือเกี่ยวกับมาตรการรับมือกับการระบาดของ COVID-19 ซึ่งเศรษฐกิจสปป.ลาวชะลอตัวลงด้วยความเสี่ยงของการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อและหนี้สาธารณะอันเนื่องมาจากผลกระทบของไวรัส อีกทั้งรัฐบาลสปป.ลาวได้ใช้มาตรการหลายอย่างเพื่อกระตุ้นการลงทุนการผลิตและธุรกิจเพื่อสนับสนุน บริษัทต่างๆ ประเทศกำลังเร่งปฏิรูปและการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนต่างประเทศธุรกิจการเงินและการธนาคาร นอกจากนี้โครงการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญบางโครงการเกือบจะแล้วเสร็จ การปรับปรุงระบบโครงสร้างพื้นฐานจะสร้างโอกาสที่สำคัญสำหรับองค์กรต่างๆกระตุ้นให้บริษัทเวียดนามเตรียมพร้อมที่จะรับโอกาสดังกล่าว อีกทั้งยังเรียกร้องให้บริษัทเวียดนามในสปป.ลาวปรับปรุงรูปแบบการจัดการองค์กรและใช้โซลูชันออนไลน์เพื่อรับมือกับการระบาดใหญ่ของ COVID-19 และพัฒนาแผนการลงทุนและการผลิตหลังการระบาดใหญ่ ซึ่งปัจจุบันเวียดนามมีโครงการในสปป.ลาว 413 โครงการด้วยทุนจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 4.22 พันล้านเหรียญสหรัฐ
แขวงไชยสมบูรณ์เปิดตัวการศึกษาความเป็นไปได้เพื่อการพัฒนาการเกษตรและการท่องเที่ยว
แขวงไชยสมบูรณ์ไฟเขียวให้กับบริษัทในท้องถิ่นเพื่อทำการศึกษาความเป็นไปได้สำหรับการพัฒนาการเกษตรและการท่องเที่ยวที่ ‘Phakatai’ ในหมู่บ้าน ‘Phasangobsouk’ เมือง ‘Anouvong’ การศึกษาความเป็นไปได้สำหรับทั้งสองจะใช้เวลาประมาณ 18 เดือน พิธีลงนามบันทึกความเข้าใจสำหรับโครงการจัดขึ้นระหว่างแผนกวางแผนและการลงทุนจังหวัดและบริษัทท้องถิ่น โครงการนี้จะช่วยให้ชาวบ้านได้รับประโยชน์จากปศุสัตว์และผักมากขึ้นและดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาในจังหวัดมากขึ้นนอกจากนี้แขวงไชยสมบูรณ์ มีกำหนดจะเปิดแหล่งท่องเที่ยวใหม่เพื่อดึงดูดผู้เข้าชมมากขึ้นในจังหวัด โดยภาคที่เกี่ยวข้องให้ความเห็นเกี่ยวกับการศึกษาความเป็นไปได้สำหรับการพัฒนาการท่องเที่ยวที่เขา Phou Bia ภายใต้โครงการ KPG และผู้พัฒนาคาดว่าจะใช้เงินประมาณ 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐในการพัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยวพร้อมกับวางมาตรการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม มีการนำเสนอรายงานที่ประชุมของกรมสารสนเทศวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของจังหวัดเกี่ยวกับการพัฒนาเว็บไซต์ใหม่ในแขวงไชยสมบูรณ์ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวในภูมิภาคตามมาตรฐานสากลพร้อมกับให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการพัฒนาชนบทอย่างเพียงพอ เมื่อดำเนินการแล้วจะกลายเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวหลักของภูมิภาคซึ่งสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ยังจะสร้างงานให้กับคนในท้องถิ่นได้มากขึ้น
ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Xaysomboun_133.php
สปป. ลาวเตรียมให้บริการออกใบรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์
เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 2563 ศูนย์ข้อมูลข่าวสารทางด้านการค้าของ สปป. ลาวได้เผยแพร่ข้อตกลงว่าด้วยการดำเนินกิจการลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ ลงวันที่ 29 พ.ค. 2563 โดยจะมีการให้บริการออกใบรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์เพื่อส่งเสริมการดำเนินกิจการให้มีความเป็นระเบียบ ถูกต้อง ได้มาตรฐาน ทันสมัย และปลอดภัย โดยลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์เป็นตัวอักษร เครื่องหมาย สัญลักษณ์ ตัวเลข เสียง หรือสิ่งอื่นที่สร้างขึ้นในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อบ่งบอกและยืนยันตัวตนของผู้ลงลายมือชื่อและความถูกต้องของข้อมูล โดยหน่วยงานออกใบรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์มี 2 ระดับ คือ
- หน่วยงานออกใบรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National Root Certificate Authority) เป็นหน่วยงานให้บริการออกใบรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์แก่ผู้ออกใบรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์รายย่อย ซึ่งศูนย์อินเทอร์เน็ตแห่งชาติเป็นผู้รับผิดชอบ
- หน่วยงานออกใบรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์รายย่อย (Sub – Certificate Authority) ให้บริการ 4 ประเภท ได้แก่
- บริการออกใบรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ทั่วไป (Public Certificate Authority)
- บริการออกใบรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ (Government Certificate Authority)
- บริการออกใบรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่างชาติ (Foreigner Public Certificate)
- บริการออกใบรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ภาคเอกชน (Private Certificate Authority)
บริการออกใบรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์จะประกอบด้วยการบริการยืนยันลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Digital Certificate) บริการยืนยันระบบแม่ข่าย (Secure Sockets Layer) บริการประทับเวลา (Time Stamp) และบริการอื่น ๆ ตามที่กระทรวงไปรษณีย์ โทรคมนาคม และการสื่อสาร สปป. ลาวกำหนด โดยนิติบุคคลหรือองค์กรที่ประสงค์จะดำเนินธุรกิจให้บริการออกรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ทั่วไปต้องขอใบอนุญาตจากกระทรวงไปรษณีย์ฯ และขอใบรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์จากผู้ออกใบรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ โดยต้องเตรียมเอกสาร ดังนี้ (1) ใบรับรอง (2) ประวัติผู้บริหาร (3) ประวัติเจ้าหน้าที่เทคนิคและใบรับรองการศึกษา (4) สำเนาใบทะเบียนวิสาหกิจหรือใบรับรองการก่อตั้ง (5) ใบรับรองที่ตั้งสำนักงาน (6) บทวิพากษ์เศรษฐกิจและแผนด้านเทคนิค (7) กฎระเบียบการให้บริการ (8) ใบรับรองสถานะทางการเงินจากธนาคารแห่งสปป. ลาว และเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
เงื่อนไขการพิจารณาออกใบอนุญาตให้บริการออกใบรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ทั่วไป คือ ต้องมีทุนจดทะเบียนขั้นต่ำ 10 พันล้านกีบ (1.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ไม่อยู่ในระหว่างการถูกอายัติทรัพย์สิน อยู่ในกระบวนการฟ้องล้มละลายหรือถูกศาลพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายตามกฎหมายของ สปป. ลาว และไม่เคยถูกยกเลิกหรือถอนใบอนุญาตจากกระทรวงไปรษณีย์ฯ มาก่อน โดยกระทรวงไปรษณีย์ฯ จะพิจารณาออกใบอนุญาตให้บริการออกใบรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ทั่วไปภายใน 45 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับคำร้องและเอกสารครบถ้วนและถูกต้อง ในกรณีคำร้องถูกปฏิเสธ กระทรวงไปรษณีย์ฯ จะแจ้งเหตุผลให้ผู้ยื่นคำร้องทราบภายใน 10 วันทำการ
สำหรับอายุของใบอนุญาตการให้บริการออกใบรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ทั่วไปมีอายุ 3 – 5 ปี โดยสามารถต่ออายุได้ สำหรับใบอนุญาตบริการออกใบรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐมีอายุ 1 – 3 ปี ใบอนุญาตบริการออกใบรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่างประเทศมีอายุไม่เกิน 3 ปี และใบอนุญาตบริการออกใบรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์เฉพาะมีอายุไม่เกิน 5 ปี
กลยุทธ์ Belt and Road ของจีนและสปป.ลาว
แม้จะมีการระบาดของ Covid-19 เกือบทั่วโลก แต่จีนยังคงผลักดันโครงการ Belt and Road (BRI) อย่างต่อเนื่อง สปป.ลาวถือเป็นประเทศที่จีนให้การช่วยเหลือที่สำคัญของจีนตามกลยุทธ์ BRI เพื่อเป็นการตอบแทนรัฐบาลจีนพวกเขามีความต้องการพื้นฐาน 3 ประการคือการสนับสนุนนโยบายจีนในประเด็นต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านการลงทุนจีนเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในสปป.ลาวมีโครงการขนาดใหญ่ต่างๆที่จีนไม่ว่าจะเป็นพลังงานน้ำการเกษตรการทำเหมืองและการก่อสร้าง การก่อสร้างทางรถไฟที่มีแผนจะเสร็จสิ้นโครงการในเดือนธันวาคม 2564 เส้นทางรถไฟยาว 414 กิโลเมตรทอดตัวจากเขตเหนือสุดของประเทศลาว Boten ติดกับประเทศจีนสู่เมืองหลวงเวียงจันทน์ อีกหนึ่งโครงการสำคัญของ BRI ที่รัฐบาลลาวเข้าร่วมคือการก่อสร้างเขื่อนที่ใหญ่ที่สุดลำดับที่เจ็ดในแม่น้ำโขง เขื่อนไซยะบุรีและดอนสะโฮงที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบันจะถูกรวมเข้ากับเขื่อน Sanakham 684 เมกะวัตต์พร้อมวันที่โครงการจะแล้วเสร็จในปี 2571 กลยุทธ์ BRI จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านเศรษฐกิจของสปป.ลาวให้สามารถเติบโตไปไดในสถานการณ์ที่เลวร้ายในปัจจุบัน
ที่มา : https://www.thestatesman.com/opinion/chinas-bri-strategy-laos-1502897886.html
สปป.ลาวตรวจสอบมาตรฐานคุณภาพของหน้ากากอนามัยที่โรงงานในท้องถิ่น
รองนายกรัฐมนตรีดร.สอนไซ สีพันดอน ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการวางแผนและการลงทุนได้ตรวจสอบโรงงานผลิตหน้ากาก 2 แห่งในนครหลวงเวียงจันทน์ โดยขอความร่วมมือในการรักษามาตรฐานการผลิตและปฏิบัติตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งได้เยี่ยมชมโรงงานผลิตหน้ากากในหมู่บ้านดงนาทอง เมืองศรีโคตรบอง และได้รับบทสรุปในการดำเนินงานของโรงงานและขั้นตอนการผลิต ทั้งนี้ยังสนับสนุนให้ทั้ง 2 โรงงานมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงระบบการผลิตและทำให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์เป็นไปตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้ประชาชนสามารถมีหน้ากากอนามัยในราคาไม่แพงและเชื่อถือได้ โรงงานที่ 1 ถูกสร้างขึ้นเมื่อต้นปีนี้และใช้อุปกรณ์การผลิตล่าสุดจากประเทศจีน ปัจจุบันโรงงานแห่งนี้อยู่ระหว่างการทดลองผลิต พนักงาน 8 คน สามารถผลิตหน้ากากอนามัยได้มากถึง 400,000 หน้ากากต่อวัน โรงงานแห่งนี้มุ่งเน้นไปที่การจัดส่งทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศและกำลังรอใบอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุข โรงงานแห่งที่ 2 ได้ติดตั้งเครื่องจักรที่ทันสมัยจากประเทศไทยและกำลังดำเนินการทดลองผลิตและคาดว่าจะเปิดตัวภายใต้แบรนด์ NNUP ในปลายเดือนนี้ โรงงานสามารถผลิตหน้ากากอนามัยได้ 80 ชิ้นต่อ 1 นาทีและคาดว่าจะขาย 30%ในสปป.ลาวและ 70% สำหรับการส่งออก
ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_DPM_132.php