ผู้ค้าข้าวเมียนมาวอนรัฐบาลเจรจากับจีน

พ่อค้าข้าวจากพม่าขอให้รัฐบาลเจรจากับรัฐบาลยูนนาน เนื่องจากข้าวประมาณ 50,000 ตันที่ยังติดค้างรอการส่งออกไปยังจีนเนื่องจากตอนนี้รัฐบาลจีนจะไม่ออกใบอนุญาตสำหรับข้าวหักและข้าวเมล็ดยาวให้กับเมียนมา และอยากให้รัฐบาลเจรจาราคาที่เหมาะสม โควต้าส่งออกข้าวและและลงนาม MoU เพื่อส่งออก การส่งออกสินค้าเกษตรไปยังจีนนั้นมีแค่พืช 5 ชนิด ได้แก่ ข้าว มะม่วง แตงโม แตงกวา และพลัม เท่านั้นเพราะถ้านอกเหนือจากนี้ถือว่าผิดกฎหมายไม่สามารถนำเข้าจีนได้

ที่มา: https://elevenmyanmar.com/news/rice-traders-ask-govt-to-negotiate-with-chinese-traders

26/3/2562

Sea Lion เปิดตัวคลังสินค้ามูลค่า 10 ล้านเหรียญสหรัฐ

Sea Lion ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพ อุปกรณ์ทางการแพทย์ การศึกษาด้านเทคนิคและระบบอัตโนมัติทางได้เปิดศูนย์กระจายสินค้ามูลค่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทานให้มีประสิทธิภาพและเพื่อตอบสนองความต้องการและพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไปใน Kyan เขตอุตสาหกรรม Sitt Thar เมือง South Dagon ของย่างกุ้ง โดยมีพื้นที่มากกว่า 6,870 ตารางเมตรบนพื้นที่ทั้งหมด 8.7 เอเคอร์ ซึ่งออกแบบโดย Civil Tech International Co Ltd จากประเทศไทย ใช้เวลาออกแบบ 13 เดือน ขั้นตอนต่อไปคือการสร้างโรงงานผลิตและเปิดตัวผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพที่มีคุณภาพราคาไม่แพงในเมียนมา

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/sea-lion-launches-us10-million-storage-logistics-facility.html

26/3/2562

พาณิชย์ไทย เผยการค้าชายแดน-ผ่านแดน 2 เดือน มูลค่ากว่า 2 แสนล้าน เพิ่มขึ้น 0.92%

การค้าชายแดน-ผ่านแดนไทย 2 เดือนปี 62 มูลค่าทะลุ 2 แสนล้าน เพิ่ม 0.92% มาเลเซียนำโด่งเป็นคู่ค้าชายแดน ส่วนจีนตอนใต้ที่หนึ่งด้านการค้าผ่านแดน คาดแนวโน้มการค้าโตต่อเนื่อง หลังสปป.ลาว เลิกใช้ใบอนุญาตนำเข้าวัสดุก่อสร้าง มาเลย์เปิดด่าน 24 ชั่วโมง ตั้งกรรมการร่วมแก้อุปสรรคการค้ากับกัมพูชา และเมียนมาเปิดสะพานมิตรภาพ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยบวกจากการที่กรมฯ ได้จัดกิจกรรมส่งเสริมและกระตุ้นเศรษฐกิจตามแนวชายแดนและเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การเปิดตัวโครงการ YEN-D Season V อย่างเป็นทางการ โดยคาดว่ากิจกรรมเหล่านี้จะกระตุ้นเศรษฐกิจตามเมืองชายแดนและเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษขยายตัวมากขึ้น อย่างไรก็ตาม กรมฯ เชื่อมั่นว่าในปี 2562 จะสามารถขยายมูลค่าการค้าชายแดนและผ่านแดนได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ คือ 1.6 ล้านล้านบาท หรือขยายตัว 15% อย่างแน่นอน

ที่มา: https://mgronline.com

26/3/2562

4 กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจเมียนมา

การปฏิรูปเศรษฐกิจ ริเริ่มแผนการพัฒนาเมียนมาอย่างยั่งยืนและจัดตั้งคณะกรรมการการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลขึ้นในปี 2561 การลงทุน ตั้งเป้าหมายส่งเสริมการลงทุนที่โปร่งใส มีประสิทธิภาพ และเอื้อต่อการลงทุน ในสาขาโครงสร้างพื้นฐาน ภาคเกษตร ปศุสัตว์ การประมง การศึกษา สาธารณสุข การท่องเที่ยว โลจิสติกส์ การผลิตสินค้าในประเทศทดแทนการนำเข้า อุตสาหกรรมการส่งออก และการจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมใหม่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ร่วมกับ ADB และ JICA ปรับปรุงคุณภาพทางหลวงเพื่อเชื่อมโยงพื้นที่เมืองและชนบท พัฒนาระบบไฟฟ้า โครงการพลังงานน้ำและโครงการแสงอาทิตย์ 2561 การส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เพิ่มจำนวนโรงแรม ยกเว้นการตรวจลงตราให้นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ กำหนดมาตรการออก Visa on Arrival ให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีน จึงเป็นที่มาของผู้ประกอบการที่จะเข้าไปดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะใน 4 ประเด็นหลักที่คาดว่ารัฐบาลจะให้ความสำคัญต่อไปในอนาคต เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง

ที่มา: https://www.bangkokbanksme.com/article/28721

19 กุมภาพันธ์ 2562

เมียนมาดึงนักลงทุนร่วมสำรวจก๊าซรวมถึงธุรกิจ LPG และ CNG

กระทรวงพลังงานและไฟฟ้าได้เชิญนักลงทุนที่สนใจในการสำรวจก๊าซธรรมชาติและลงทุนในธุรกิจ LPG และ CNG โดยจะมีการเปิดประมูลเพื่อเปิดให้บริการน้ำมันและก๊าซ 33 แห่ง โดยมี 15 แห่งในต่างประเทศและอีก 18 แห่งบนฝั่ง ซึ่งแผนกำลังดำเนินการจะมีประโยช์กับภาคอุตสาหกรรมและครัวเรือน และว่าจะสามารถจำหน่ายก๊าซแอลพีจีกระจายไปยัง 1 ล้านครัวเรือนในปี 2020

ที่มา: https://elevenmyanmar.com/news/investors-to-be-invited-to-boost-lpg-cng-businesses

25/3/2562

เมียนมาหนุนปลูกกาแฟส่งออกทดแทนฝิ่น

สัปดาห์ที่แล้วสำนักงานยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) และ Malongo บริษัท กาแฟจากฝรั่งเศสได้เปิดตัวกาแฟ Shan Mountain Coffee คุณภาพสูงจากเมียนมา ซึ่งทำการปลูกในรัฐฉานภายใต้การสนับสนุนของ UNODC เพื่อทดแทนการปลูกฝิ่นที่เคยปลูกสูงถึง 90% ที่ผ่านมาเป็นผู้ส่งออกฝิ่นรายใหญ่ของโลกรองจากอัฟกานิสถาน UNODC ได้ร่วมมือกับ Malongo ในการส่งเสริมเกษตรกรปลูกกาแฟเพื่อสร้างรายได้ที่ยั่งยืน โดยการรับซื้อ 600 ตันต่อปี ในราคา 8 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลกรัม ปี 2561 พบว่าพื้นที่ปลูกฝิ่นลดลงลง 12% และสามารถผลิตกาแฟมากกว่า 8000 ตันในแต่ละปี

ที่มา:
https://www.mmtimes.com/news/myanmar-try-growing-exporting-more-coffee-alternative-opium.html

26/3/2562

รวบรวมคำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจในกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เวียดนาม)

https://www.ditp.go.th/ditp_web61/article_sub_view.php?filename=contents_attach/168642/168642.pdf&title=168642&cate=945&d=0

ที่มา: กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ 

จับตาเศรษฐกิจเมียนมาร์ เมื่อแบรนด์หรูตบเท้าเข้ามาลงทุน

เมียนมาเหมือนหลายประเทศกำลังพัฒนาที่ยังมีช่องว่างระหว่างชนชั้น กลุ่ม HNWI หรือ high net worth individual เริ่มเปิดตัวมากขึ้น คือผู้ที่มีทรัพย์สินเป็นเงินสดหรือเงินลงทุนมากกว่า 1 ล้านดอลลาร์ บริษัทที่ปรึกษาแห่งหนึ่งในเมียนมาระบุเศรษฐีเหล่านี้เมีเชื้อสายจีนเสียเป็นส่วนใหญ่ และมักมีสายสัมพันธ์กับผู้นำทางทหาร กับนักธุรกิจในแวดวงค้าอัญมณี หรืออุตสาหกรรมตัดไม้ขนาดใหญ่ หลังการเลือกตั้งเมื่อปี 2012 เศรษฐกิจก็เริ่มกระเตื้องอันเป็นผลจากการไหลเข้าของเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์เฟื่องฟู เศรษฐกิจที่โตปีละ 7% ทำให้ธุรกิจค้าปลีกในประเทศโตไปด้วย อย่างไรก็ตามการผุดขึ้นของห้างสรรพสินค้าดูเน้นไปที่ผู้บริโภคระดับรากหญ้าและชนชั้นกลางมากกว่า ส่วนกลุ่มเศรษฐีก็ยังนิยมบินไปช้อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมที่ต่างประเทศ เช่น ไทย ฮ่องกง สิงคโปร์ หรือไม่ก็ยุโรป เนื่องจากนาฬิกาและรถยนต์เป็นสิ่งที่แสดงฐานะทางสังคม ช่วงไม่กี่ปีมานี้ แบรนด์สินค้าหรูได้ให้ความสนใจและเริ่มเข้ามาบุกเบิก เช่น นาฬิกาแฟรงก์ มุลเลอร์ ตามด้วยร้าน Swiss Time Square ซึ่งเป็นศูนย์รวมนาฬิกาหรูหลากหลายยี่ห้อ และยังมีค่ายรถยนต์ที่มาเปิดโชว์รูม เช่น จาร์กัวร์ แลนด์โรเวอร์ บีเอ็มดับบลิว และเมอร์เซเดสเบนซ์ ยังไม่นับรวมเครื่องสำอางแบรนด์ไฮเอนด์ที่เข้ามาทำตลาด ธุรกิจเหล่านี้ไม่ได้ตอบสนองเฉพาะกลุ่มเศรษฐี หากยังรวมถึงกลุ่มชาวเมียนมาโพ้นทะเลที่เคยอพยพไปตั้งรกรากในต่างประเทศแล้วกลับมาดำเนินธุรกิจในบ้านเกิด และชนชั้นระดับกลางค่อนไปทางสูงซึ่งเป็นกลุ่มใหม่และกำลังเพิ่มจำนวนขึ้น สำหรับผู้ประกอบการไทยลองประเมินดูว่านอกจากอสังหาริมทรัพย์ และบริการทางการแพทย์ (โรงพยาบาลเอกชน) เรามีสินค้าหรือบริการอะไรที่พอจะดึงดูดลูกค้ากระเป๋าหนักจากเมียนมาได้บ้าง 

ที่มา: https://www.smethailandclub.com/aec-1924-id.html

ธุรกิจร้านอาหารไทย ในเมียนมา (2)

การทำธุรกิจร้านอาหารสมัยนี้หรือที่ต่างประเทศ จำเป็นต้องรอบรู้ และใช้หลักการคิดแบบคนรุ่นก่อนไม่ได้ที่อาศัยความอดทน ขยัน ทำงานกันเป็นครอบครัว ซึ่งระบบเก่าไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ในยุคปัจจุบัน แนวคิดคือต้องแบ่งต้นทุนออกเป็นสองส่วนคือ หนึ่งต้นทุนคงที่ คือไม่ว่าคุณจะขายมากขายน้อย ต้นทุนนั้นก็จะเท่าเดิม แล้วนำมาหารจากมูลค่าการขาย เช่น ค่าเช่าร้านค้า หากจ่ายเดือนละหนึ่งหมื่นบาท รายรับจากการขายเดือนละหนึ่งแสนบาท คิดเป็น 10% ถ้าขายได้สองแสนบาท ค่าเช่าจะเหลือแค่ 5% เท่านั้น ต้นทุนอีกประเภทคือต้นทุนผันแปร ต้นทุนนี้จะแปรผันตามยอดขาย ยิ่งขายดี ยิ่งต้องจ่ายเยอะ เช่น ต้นทุนวัตถุดิบอาหารสด (Food Costs) เมื่อขายดีขึ้นเราต้องซื้อวัตถุดิบอาหารสดมากขึ้นเป็นตามไปด้วย หลังจากนั้นต้องควบคุมค่าใช้จ่ายให้ได้และตั้งสมมติฐานว่ายอดขายได้ 100% ปัจจัยค่าใช้จ่ายดังต่อไปนี้ 1) ค่าวัตถุดิบอาหารสด ต้องประมาณ 30-35% หากน้อยไปอย่าชะล่าใจ นั่นหมายความว่า เราเอาสินค้าไม่ได้คุณภาพมาบริการลูกค้าแล้วลูกค้าจะไม่กลับมาอีก 2) ค่าเช่าร้าน จะต้องอยู่ประมาณ 10-15% โดยประมาณ อย่าสูงกว่านี้ 3) ค่าแรงงาน ควรจะประมาณ 15-20% ส่วนนี้ต้องรวมค่าแรงคนในครอบครัวไปด้วย 4) ค่าภาษี ควรจะเตรียมไว้ 10% 5) ค่าน้ำค่าไฟ ควรจะมีไว้ 5% 6) ค่าใช้จ่ายจิปาถะ เช่น ค่าของแตกหัก ค่าเสื่อมราคาเครื่องมือ อยู่ที่ 10% 7) ค่าต้นทุนการเงิน หากไม่กู้มาเราเสียโอกาสในดอกเบี้ยเงินฝากไป หากกู้มาเราก็ต้องจ่าย ดังนั้นควรมี 5% รวมแล้วประมาณ 85-100% ดังนั้นหากคุมงบไม่ได้ไปต่อไม่ได้อย่างแน่นอน

ที่มา: https://www.posttoday.com/aec/news/570552

ธุรกิจร้านอาหารไทยในเมียนมา (1)

พูดถึงอาหารไทยในเมียนมานั้น แม้จะมีชายแดนอยู่ติดกับไทยแต่อาหารจะแตกต่างจากอาหารไทย โดยได้รับอิทธิพลจากอินเดียมากกว่าไทย ในอดีตจะหาทานอาหารไทยในย่างกุ้งยากมาก จะมีร้านอยู่ไม่เกินสิบร้านที่ให้บริการอาหารไทยแท้ๆ เช่น ร้านสีลม ร้านไพลิน ร้านบางกอก เป็นต้น ปัจจุบันมีร้านอาหารไทยเปิดกันกันเยอะมาก เพราะมีทัวร์จากไทยเข้าไปไหว้พระมากกว่าแต่ก่อนเยอะ ส่วนด้านการลงทุน โดยมากที่นี่จะตกม้าตายกันที่ค่าเช่าร้านเพราะค่าเช่าที่นี่แพงมาก หากรายได้ไม่ดีจริงอยู่ไม่ได้แน่นอน ซึ่งถ้าจะทำร้านอาหารควรจะทำให้มีคลาสหรือการเจาะตลาดผู้บริโภคระดับบนไปเลย เมื่อดูเรื่องกำลังซื้อของผู้บริโภคที่นี่จะแบ่งระดับได้อย่างชัดเจน คนรวยจะรวยมาก คนจนก็จนติดดินมากด้วยเช่นกัน ดังนั้นควรเจาะกลุ่มเป้าหมายระดับสูง เริ่มจากการตกแต่งร้านต้องสวยงาม มีห้อง VIP ไว้คอยต้อนรับแขกมีระดับ อาหารดูดี ตกแต่งจานอย่างสวยงาม วัตถุดิบมีคุณภาพ รสชาติอร่อย และสุดท้ายบริการต้องดี ชาวเมียนมาเวลาจะเชิญผู้เขียนไปทานข้าวมักจะเป็นร้านอาหารไทยที่มีระดับ อีกย่างที่ต้องคอยระวังคือ ไม่ควรทำบุฟเฟต์ เพราะคนเมียนมาจะทานเยอะมาก ผู้เขียนเคยทำร้านอาหารหมูกระทะ ขายดีมาก มีลูกค้า 200-300 คนต่อวัน แต่ยิ่งขายเยอะ ยิ่งเจ๊งเร็ว เพราะเวลาเติมไลน์อาหารลงทั้งของคาวของหวาน ปรากฏว่าชาวเมียนมาทานหมดทุกอย่าง จนต้องปิดกิจการไปเลย

ที่มา: https://www.posttoday.com/aec/news/569820