ธนาคารเอซีลีดาในกัมพูชากำหนดมูลค่า IPO ที่กำลังจะเกิดขึ้นแล้ว

ธนาคาร ACLEDA ด้วยความช่วยเหลือของบริษัทหลักทรัพย์ Yuanta (กัมพูชา) จำกัด (มหาชน) (YSC) ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้กำหนดราคา IPO ที่ 4.05 เหรียญสหรัฐ (16,200 KHR) ต่อหุ้นสำหรับนักลงทุน โดยธนาคารระบุว่ากระบวนการสร้างหนังสือเสร็จสมบูรณ์แล้วเมื่อวันเสาร์ที่ 14 มีนาคม 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งมีนักลงทุนที่สนใจกว่า 2,180 คน ในบรรดาจำนวนนักลงทุนที่เข้าร่วมในการทำหนังสือนั้น 95.6% เป็นนักลงทุนภายในประเทศและอีก 4.45% เป็นนักลงทุนชาวต่างชาติ โดยราคาเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนเป็นครั้งแรกได้กำหนดไว้ที่ KHR 16,200 (4.05 เหรียญสหรัฐ) ตามขั้นตอนการสร้างหนังสือและการสมัครสมาชิกที่ได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์กัมพูชา SECC ซึ่งที่รัฐบาลได้ดำเนินการพิจารณาการแพร่ระบาดของ COVID-19 และได้ตัดสินใจขยายระยะเวลาการสมัครสมาชิกเพื่อความปลอดภัยและความสะดวกสบายของนักลงทุนสาธารณะ รวมถึงการนำเสนอทางเลือกออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์ www.acledabank.com.kh หรือ www.acledasecurities.com.kh โดยระยะเวลาการสมัครคือวันที่ 24 มีนาคมถึง 24 เมษายน

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50704309/acleda-bank-sets-ipo-price/

เอกอัครราชทูตเผยสหรัฐฯไม่มีแผนที่จะระงับการนำเข้าเครื่องนุ่งห่มจากเวียดนาม

เอกอัครราชทูตเวียดนามประจำประเทศสหรัฐอเมริกาเผยว่าสหรัฐฯ ไม่มีแผนที่จะระงับการนำเข้าสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มจากเวียดนาม โดยทางสถานทูตได้แจ้งข้อมูลรายละเอียดแก่หน่วยงานสหรัฐฯ และชี้ให้เห็นถึงความเป็นหุ้นส่วนระหว่างสหรัฐอเมริกาและเวียดนาม ด้วยมูลค่าการค้าทั้งสองประเทศอยู่ที่ 77.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2562 ส่งผลให้เวียดนามเป็น 1 ใน 15 คู่ค้ารายใหญ่ที่สุด ทั้งนี้ ในช่วง 2 เดทอนแรกของปีนี้ เวียดนามส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.7 คิดเป็นมูลค่า 10.26 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งตรงกันข้ามกับการส่งออกไปยังตลาดอื่น ๆ ที่มีมูลค่าลดลง ขณะที่ ในปีที่แล้ว เวียดนามส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มไปยังสหรัฐฯ มีมูลค่าราว 15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 45 ของรายรับรวมอุตสาหกรรมสิ่งทอทั้งประเทศ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์โควิด-19 ในสหรัฐฯ อาจใช้เวลายาวนานกว่าที่คาดไว้ ด้วยเหตุนี้ ทางเอกอัครราชทูตแนะนำให้ธุรกิจในประเทศปฏิบัติตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีเวียดนามอย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้ละเมิดข้อกฎหมายทั้งสองประเทศ ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/us-has-no-plan-to-suspend-import-of-vietnamese-garmenttextiles-ambassador/170467.vnp

Covid-19 ไม่มีผลกระทบต่อตลาดส่งออกถั่วเขียวของเมียนมา

ผลกระทบจาก Covid-19 ในตลาดส่งออกถั่วเขียวยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เมียนมายังคงส่งออกถั่วไปยังบางประเทศในยุโรป ยังคงมีการส่งออกถั่วดำไปตลาดอินเดีย ถั่วเขียวไปยังตลาดจีนและบางประเทศในยุโรป กระทรวงพาณิชย์รายงานว่า ปัจจุบันสภาพดังกล่าวเป็นประโยชน์สำหรับทั้งเกษตรกรและพ่อค้า ตั้งแต่วิกฤติปี 2560 เมียนมามีตลาดใหม่ในสหภาพยุโรปญี่ปุ่นและจีน คาดว่าจะไม่มีปัญหาการส่งออกถั่วในอีกหนึ่งหรือสองปีข้างหน้า เนื่องจากตลาดในประเทศจีนและสหภาพยุโรปมีอัตราการเติบโตอย่างมากในช่วงปลายปี 2561 ราคาของถั่วเขียวคุณภาพต่ำมีราคามากกว่า 1.1 ล้านจัตต่อตัน ราคาของถัวเขียวคุณภาพส่งออกอยู่ที่ประมาณ 1.4 ล้านจัตต่อตัน

ที่มา: https://elevenmyanmar.com/news/no-significant-impacts-on-green-gram-export-market

Lockdown ทั่วโลก ทุบรายได้ท่องเที่ยวไทยวูบ 1 ล้าน ล.

ปัจจุบันไวรัสโควิดได้แพร่ระบาดไปอยู่ในทุกประเทศทั่วโลกอย่างรวดเร็ว หลายประเทศประกาศ Lockdown ปิดการเดินทางเข้า-ออกประเทศเป็นการชั่วคราว เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวทั่วโลกอย่างหนัก สำหรับประเทศไทยนั้น พบว่า ในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา (ไวรัสโควิดส่งผลกระทบช่วงปลายเดือนมกราคม) ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 3.81 ล้านคน จากจำนวน 3.72 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้น 2.46% โดยนักท่องเที่ยวจีนยังเป็นกลุ่มที่มีจำนวนสูงสุดอันดับ 1 จำนวน 1.03 ล้านคนลดลง 3.71% รองลงมาคือ มาเลเซีย 3.2 แสนคน ขยายตัวเพิ่มขึ้น 20.31%, รัสเซีย 2.5 แสนคน ขยายตัวเพิ่มขึ้น 11.24% เดือนกุมภาพันธ์มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2.04 ล้านคน จากจำนวน 3.6 ล้านคน หรือลดลง 43.50% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยตลาดจีนซึ่งครองอันดับสูงสุดอันดับ 1 มาตลอดตกลงไปอยู่อันดับ 3 ด้วยจำนวน 1.5 แสนคนลดลง 85.34% ส่วนตลาดที่ขึ้นเป็นอันดับ 1 คือรัสเซีย 2.1 แสนคนเพิ่มขึ้น 12.47% อันดับ 2 คือมาเลเซีย 1.9 แสนคน ลดลง 39.63% จากแนวโน้มดังกล่าวนี้ ถ้าหากการแพร่ระบาดของไวรัสสิ้นสุดในเดือนกรกฎาคมจะส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวตลอดทั้งปีนี้อยู่ที่ 27 ล้านคน หรือหายไปราว 12-13 ล้านคน แต่หากสิ้นสุดกันยายนคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาเที่ยวเมืองไทยในปีนี้น่าจะอยู่ที่ราว 20 ล้านคนหรือหายไปเกือบ 20 ล้านคน และถ้าหากสถานการณ์การแพร่ระบาดลากยาวไปจนถึงสิ้นปี อาจจะลดลงเหลือเพียงแค่ประมาณ 10 ล้านคน หรือหายไปราว 30 ล้านคน ทั้งนี้กระทรวงจะเร่งส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศก่อนทันทีผ่านการผลักดันให้หน่วยงานของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และบริษัทห้างร้านต่าง ๆ ออกสัมมนาข้ามจังหวัด และข้ามภาคต่อไป รายได้ ตปท.วูบ 5-7 แสนล้าน จากการประเมินสถานการณ์ในปัจจุบัน คาดการณ์ว่าในกรณีที่การแพร่ระบาดยุติในเดือนกรกฎาคม ประเทศไทยจะมีนักท่องเที่ยวอินบาวนด์ (ขาเข้า) ลดลงประมาณ 30-40% หรือลดลงประมาณ 11.7-15.7 ล้านคน เหลือเพียง 24-28 ล้านคน จากจำนวน 39.8 ล้านคนในปี 2562 และส่งผลกระทบต่อรายได้ทางด้านการท่องเที่ยวลดลงไปราว 5.44-7.40 แสนล้านบาท หรือเหลือมูลค่ารวมประมาณ 1.19-1.39 ล้านล้านบาทในปีนี้ จากมูลค่า 1.93 ล้านล้านบาทในปีที่ผ่านมาสูญรายได้รวม 1 ล้านล้าน ในขณะที่ตลาดในประเทศนั้น คาดว่าคนไทยจะมีการเดินทางท่องเที่ยวปีนี้ที่ราว 166.84 ล้านคน-ครั้ง โดยคาดว่ารายได้จากการเดินทางภายในประเทศจะลดลง 20-25% หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 2-2.5 แสนล้านบาท หรือเหลือรายได้จากนักท่องเที่ยวภายในประเทศมูลค่าราว 1.08 ล้านล้านบาท ไม่เพียงเท่านี้ ผู้ประกอบการจะได้รับผลกระทบจนอาจมีการปิดตัวอย่างน้อย 5,000-10,000 ราย จากจำนวนผู้ประกอบการทั้งหมดในปัจจุบันราว 50,000 ราย และส่งผลกระทบต่อการจ้างงานจากตำแหน่งงานในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวราว 4 ล้านตำแหน่งงาน ทั้งนี้คาดว่าจะมีผู้ถูกเลิกจ้างงานไม่ต่ำกว่า 25-30% หรือคิดเป็นจำนวน 1-1.2 ล้านตำแหน่งงาน และมีผู้ถูกลดรายได้จากการถูกลดเงินเดือน การพักงานและการลางานโดยไม่รับเงินเดือนรวมกว่า 3 ล้านตำแหน่ง ขณะนี้เอกชนท่องเที่ยวยินดีสนับสนุนรัฐบาล โดย สทท.พร้อมทั้งสมาคมท่องเที่ยว 13 สมาคมมีความเห็นตรงกันว่าพร้อมให้ความร่วมมือในการควบคุมการแพร่ระบาดในระดับสูงสุด โดยพร้อมที่จะลดหรืองดกิจกรรมทางการท่องเที่ยวเป็นเวลา 15-30 วัน และดำเนินมาตรการทางด้านความปลอดภัยสูงสุดตามที่รัฐบาลกำหนด ขณะเดียวกัน ก็อยากให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนของการเยียวยาผู้ประกอบการท่องเที่ยวให้มีความชัดเจนภายในสิ้นเดือนนี้ เนื่องจากกว่า 2 เดือนที่ผ่านมายังไม่มีผู้ประกอบการรายใดเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้เลยแม้แต่รายเดียว

ที่มา: https://www.prachachat.net/tourism/news-435507

งานแฟร์แสดงสินค้าทั่วโลก เลื่อน-ยกเลิกหนีไวรัสร้าย

ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ว่า ทูตพาณิชย์ของไทยที่ประจำในประเทศต่างๆ ทั่วโลก รายงานว่า ประเทศต่างๆ ที่เป็นเจ้าภาพจัดงานแสดงสินค้า หรืองานแฟร์สินค้ากลุ่มต่างๆที่มีกำหนดจัดในปีนี้ รวมถึงงานแฟร์ที่ไทยจะจัดในต่างประเทศ เช่น ในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านได้ยกเลิกแล้ว 13 งาน ทั้งในเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น เยอรมนี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และมีอีก 77 งาน ที่ผู้จัดขอเลื่อนจัดงาน โดยเป็นงานแฟร์ที่จะจัดในจีน ฮ่องกง ไทเป 21 งาน, อิตาลี 13 งาน, เยอรมนี 9 งาน ที่เหลืออยู่ในอาเซียน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป (อียู) โลก และงานแฟร์ที่ไทยเป็นเจ้าภาพจัดในต่างประเทศที่ยกเลิกแล้ว เช่น งานท็อป ไทย แบรนด์ ในเวียงจันทน์, มินิไทยวีก เมืองเซบู เป็นต้น ส่วนงานประเทศอื่นๆเป็นเจ้าภาพ และผู้ประกอบการไทยจะเข้าร่วม เช่น ฟู้ดเดกซ์ เจแปน, เจแปน กอล์ฟแฟร์, โซล ลิฟวิ่ง ดีไซน์ แฟร์, โคเรีย บิวด์ 2020, เจ นิวยอร์ก สปริง เป็นต้น ดังนั้น จะต้องติดตามว่าผู้จัดงาน จะจัดชดเชยในภายหลังหรือไม่ เพราะงานแฟร์มีความสำคัญมากต่อเอสเอ็มอีของไทยที่จะสามารถเจรจาหาลูกค้าในต่างประเทศ  อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า กรมได้ปรับกลยุทธ์การทำงานให้เหมาะสม ทั้งการจัดงานแสดงสินค้าไทยในต่างประเทศ, การเข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติ ในต่างประเทศ โดยใช้วิธีการจัดงานแสดงสินค้าในรูปแบบออนไลน์ เอ็กซิบิชันแทนที่เป็นกิจกรรมที่เพิ่มการส่งออกในรูปแบบใหม่ๆ รองรับกรณีที่ไม่สามารถเดินทางไปพบปะกันได้

ที่มา : https://www.thairath.co.th/news/business/1798436

เวียดนามสามารถตอบสนองความต้องการหน้ากาก

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า ได้รับรองว่าเวียดนามเป็นผู้ส่งออกเสื้อผ้ารายใหญ่ เพื่อตอบสนองความต้องการหน้ากากของผู้คนที่กำลังต่อสู้กับการระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยจากการประชุมในวันที่ 17 มีนาคม ณ กรุงฮานอย ระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า (MoIT) และผู้ประกอบการสิ่งทอ เปิดเผยว่าไฮไลท์สำคัญในการประชุมเกี่ยวกับความต้องการหน้ากากจำนวนมาก เนื่องจากในปัจจุบัน ประชากรชาวเวียดนามและจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในประเทศ ขณะที่ หน้ากากผ้าที่ผลิตในประเทศจะใช้สารต้านเชื้อแบคทีเรียและวัสดุกันน้ำที่เป็นไปตามมาตรฐานของกระทรวงอนามัย รวมถึงเป็นทางเลือกที่ดีในการป้องกันการติดเชื้อ ทั้งนี้ ทางกระทรวงอุตฯ คาดว่าจะมีการจำหน่ายหน้ากากราว 23.2 ล้านชิ้นในตลาดตั้งแต่วันที่ 15-31 มี.ค. และขยายปริมาณจำหน่ายหน้ากากมากกว่า 8.88 ล้านชิ้น ตั้งแต่วันที่ 31 มี.ค.-14 เม.ย. รวมถึงเสนอให้ภาครัฐพิจารณาใช้งบประมาณในการสั่งซื้อหน้ากากจากผู้ผลิตในประเทศ เพื่อที่จะส่งเสริมการผลิตและจำหน่ายแก่สาธารณชน

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/vietnam-able-to-meet-demand-for-face-masks-411461.vov

รัฐบาลเมียนมาเตรียมแผนรับมือผลกระทบ COVID-19 ต่อเศรษฐกิจของประเทศ

นางอองซานซูจีที่ปรึกษาของรัฐบาลเมียนมากล่าวในที่อยู่ทางโทรทัศน์เกี่ยวกับมาตรการที่จะดำเนินการเพื่อป้องกันควบคุมไวรัสหากตรวจพบในเมียนมา โดยรัฐบาลจะลดภาษีและอัตราดอกเบี้ยเพื่อให้ประชาชนได้รับผลกระทบและป้องกันการว่างงาน รักษาโรงงานให้ทำงานและลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ สินเชื่อที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ และยกเว้นภาษีสำหรับธุรกิจที่มีความเสี่ยงอย่างการผลิตเสื้อผ้า, โรงแรมและการท่องเที่ยวและ SMEs ภาษีล่วงหน้า 2% สำหรับสินค้าส่งออกจะถูกยกเลิกไปจนถึงสิ้นปีงบประมาณนี้ ธนาคารกลางของเมียนมาประกาศเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.5%  โดยการร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการรับมือกับวิกฤตการณ์ในครั้งนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญ ขณะนี้คณะทำงานระดับชาติกำลังทำงานในแผนระยะสั้นและระยะยาวเพื่อแก้ไขปัญหาการระบาด หนึ่งในแผนดังกล่าวคือความพยายามที่จะกระตุ้นการค้าและการท่องเที่ยว การสร้างงานใหม่ และการฝึกอบรมสำหรับผู้ว่างงาน โดยการปิดโรงงานหาแหล่งวัตถุดิบอื่น เสริมความแข็งแกร่งของห่วงโซ่อุปทานสำหรับอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับภาค SME

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/govt-preparing-plans-counter-virus-impacts-countrys-economy-state-counsellor-says.html

นายกรัฐมนตรีสปป.ลาวเรียกร้องให้ผู้คนปลูกพืชเลี้ยงสัตว์เพื่อบริโภคเอง

นายกรัฐมนตรีสปป.ลาวเรียกร้องให้ชาวสปป.ลาวเริ่มปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ที่บ้านเพื่อบริโภคในกรณีที่เสบียงอาหารจะหมดไปท่ามกลางการระบาดของโควิด -19 โดยประชาชนควรเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่คาดเดาไม่ได้เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสยังคงเพิ่มขึ้นในประเทศเพื่อนบ้าน ท่ามกลางความกังวลว่าหากมีการหยุดชะงักของการค้าระหว่างประเทศจะทำให้เกิดการขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภคในประเทศโดยเฉพาะอาหารเนื่องจากสินค้าส่วนใหญ่นำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านที่การปิดประเทศอาจกลายเป็นจริง เช่นในประเทศไทย ผู้ประกอบการท่องเที่ยวกำลังเรียกร้องให้รัฐกำหนดให้ปิดประเทศเป็นเวลาสองสัปดาห์เพื่อป้องกันไม่ให้โควิด -19  แพร่กระจายไปยังพื้นที่ต่างจังหวัด สมาพันธุ์ธุรกิจท่องเที่ยวส่วนภูมิภาคแห่งประเทศไทยเสนอให้ปิดการเชื่อมโยงทั้งทางบกและทางอากาศเป็นเวลาสองสัปดาห์หรือไม่เกินหนึ่งเดือนซึ่งเป็นมาตรการเร่งด่วนในการรับมือกับการระบาดของโรค ทั้งนี้ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยแห่งชาติสปป.ลาวกล่าวว่าความกังวลดังกล่าวนั้น ผู้บริโภคสปป.ลาวจะไม่ประสบปัญหาการขาดแคลนอาหารอย่างจริงจัง เขาเสริมว่าชุมชนชนบทในสปป.ลาวมีประเพณีการทำการเกษตรแบบพึ่งพาตนเองมานานซึ่งหมายความว่าผลกระทบของการหยุดชะงักทางการค้าในประเทศจะไม่รุนแรงเท่ากับในประเทศอื่น ๆ

ที่มา : https://laotiantimes.com/2020/03/18/lao-pm-urges-people-to-grow-crops-raise-animals-for-own-consumption/

สายการบินในกัมพูชาอาจจะได้รับผลกระทบอย่างหนักจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง

สายการบินที่จดทะเบียนในกัมพูชาส่วนหนึ่งกำลังเผชิญกับผลกระทบในแบบเดียวกันกับทั่วโลกในด้านการเดินทาง จากการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วของ COVID-19 โดยสายการบินเกือบทั้งหมดได้รายงานเกี่ยวกับจำนวนเที่ยวบินที่ลดลง ในขณะที่นักท่องเที่ยวก็ลดลงอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกันนับตั้งแต่การระบาดเริ่มขึ้นในปลายเดือนธันวาคม 2562 ซึ่งโดยรวมแล้วอุตสาหกรรมการบินกำลังเผชิญกับความปั่นป่วนที่เพิ่มขึ้นหลังจากการระบาดของ Covid-19 ทั่วโลก โดยผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมคาดการณ์การสูญเสียรายได้ในครั้งนี้อาจจะสูงกว่า 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐขึ้นอยู่กับการแพร่ระบาดของไวรัส ซึ่งจากการสำรวจล่าสุดโดย Global Business Travel Association พบว่ากว่า 40% ของบริษัทสมาชิกได้ยกเลิกหรือระงับการเดินทางระหว่างประเทศทั้งหมดและอีกกว่า 95% ได้ยกเลิกหรือระงับการเดินทางไปทำธุรกิจส่วนใหญ่หรือทั้งหมดในประเทศจีน

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50702254/airlines-may-suffer-100b-loss-cambodias-airlines-hit-hard-by-drop-in-tourist-numbers/

ภาคการก่อสร้างของกัมพูชายังคงลอยตัว

ในขณะที่ภาคส่วนต่างๆทั่วโลกกำลังเผชิญกับผลกระทบของ COVID-19 แต่อุตสาหกรรมการก่อสร้างของกัมพูชายังคงมีเสถียรภาพตามข้อมูลจากกระทรวงการจัดการที่ดินการวางผังเมืองและการก่อสร้าง โดยนักวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจได้คาดการณ์ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกจะลดลงกว่า 50% ในปีนี้ แต่โครงการก่อสร้างในกัมพูชายังคงได้รับความนิยมอยู่บ้าง ซึ่งมีโครงการก่อสร้างมากกว่า 500 โครงการที่ขอใบอนุญาตในการดำเนินการ โดยเมื่อเปรียบเทียบในช่วงเวลาเดียวกันในปี 2562 มีการยื่นใบขออนุญาตเพียง 300 โครงการ ซึ่งภาคอุตสาหกรรมการก่อสร้างยังมองว่ามีการเติบโตที่น่าประทับใจในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตามตัวเลขอย่างเป็นทางการจาก MLMUPC โดยการลงทุนไปแตะอยู่ที่ประมาณ 1.1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐในปี 2562 เพิ่มขึ้นเกือบ 90% จากปี 2561 ที่อยู่ที่ 5.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ รวมถึงการตัดสินใจล่าสุดของรัฐบาลในการยกเลิกภาษีตราประทับ 4% สำหรับทรัพย์สินที่อยู่อาศัยที่มีมูลค่าน้อยกว่า 70,000 เหรียญสหรัฐภายในหนึ่งปีตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงมกราคม 2564 เพื่อลดผลกระทบทางการเงินของ COVID-19

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50702356/cambodias-construction-sector-still-buoyant/