แขวงไชยบุรีส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชนในการขยายการชลประทาน

เจ้าแขวงไชยบุรีได้ลงนามอนุมัติให้บุคคลและบริษัทเอกชนในการสร้างและดำเนินโครงการชลประทานเชิงพาณิชย์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการส่งเสริมการผลิตของเกษตรกร การใช้น้ำเพื่อการเกษตรในแขวงไชยบุรี ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเกษตรกรกลายเป็นผู้ผลิตผลการเกษตรรายใหญ่ ซึ่งปัจจุบันปลูกข้าวและผักเพื่อส่งออกไปยังประเทศไทยและจีน หน่วยงานฯ สนับสนุนการลงทุนภาคเอกชนในการก่อสร้างและขยายการชลประทานควบคู่ไปกับเงินทุนสาธารณะซึ่งขณะนี้มีอยู่จำกัด ทั้งนี้เฉพาะบริษัทเอกชนที่มุ่งมั่นที่จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมน้ำตามข้อบังคับของแขวงเท่านั้นที่จะได้รับอนุญาตให้ลงทุนและดำเนินโครงการชลประทานเชิงพาณิชย์ ตามมาตราที่ 12 กำหนดค่าธรรมเนียมน้ำที่เกษตรกรต้องจ่ายให้กับผู้ประกอบการพาณิชย์เอกชนที่ไม่มีอำนาจกำหนดอัตราโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ นอกจากการส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชนในเครือข่ายการชลประทานไชยบุรี ได้จัดตั้งกองทุนเพื่อการก่อสร้างและขยายการชลประทานในแขวง เงินสำหรับกองทุนเพื่อการพัฒนาระบบชลประทานจะมาจากค่าน้ำประปาเงินช่วยเหลือจากบุคคลผู้บริจาคภาคเอกชนและดอกเบี้ยจากเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Xayaboury139.php

แขวงไชยสมบูรณ์เปิดตัวการศึกษาความเป็นไปได้เพื่อการพัฒนาการเกษตรและการท่องเที่ยว

แขวงไชยสมบูรณ์ไฟเขียวให้กับบริษัทในท้องถิ่นเพื่อทำการศึกษาความเป็นไปได้สำหรับการพัฒนาการเกษตรและการท่องเที่ยวที่ ‘Phakatai’ ในหมู่บ้าน ‘Phasangobsouk’ เมือง ‘Anouvong’ การศึกษาความเป็นไปได้สำหรับทั้งสองจะใช้เวลาประมาณ 18 เดือน พิธีลงนามบันทึกความเข้าใจสำหรับโครงการจัดขึ้นระหว่างแผนกวางแผนและการลงทุนจังหวัดและบริษัทท้องถิ่น โครงการนี้จะช่วยให้ชาวบ้านได้รับประโยชน์จากปศุสัตว์และผักมากขึ้นและดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาในจังหวัดมากขึ้นนอกจากนี้แขวงไชยสมบูรณ์ มีกำหนดจะเปิดแหล่งท่องเที่ยวใหม่เพื่อดึงดูดผู้เข้าชมมากขึ้นในจังหวัด โดยภาคที่เกี่ยวข้องให้ความเห็นเกี่ยวกับการศึกษาความเป็นไปได้สำหรับการพัฒนาการท่องเที่ยวที่เขา Phou Bia ภายใต้โครงการ KPG และผู้พัฒนาคาดว่าจะใช้เงินประมาณ 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐในการพัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยวพร้อมกับวางมาตรการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม มีการนำเสนอรายงานที่ประชุมของกรมสารสนเทศวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของจังหวัดเกี่ยวกับการพัฒนาเว็บไซต์ใหม่ในแขวงไชยสมบูรณ์ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวในภูมิภาคตามมาตรฐานสากลพร้อมกับให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการพัฒนาชนบทอย่างเพียงพอ เมื่อดำเนินการแล้วจะกลายเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวหลักของภูมิภาคซึ่งสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ยังจะสร้างงานให้กับคนในท้องถิ่นได้มากขึ้น

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Xaysomboun_133.php

บริษัทจากญี่ปุ่นสองแห่งมองหาโอกาสทางการเกษตรในกัมพูชา

NIPPON Express และ Xamato Green แสดงถึงความสนใจหลังจากได้เห็นการลงทุนที่มีศักยภาพในภาคเกษตรกรรมของกัมพูชา โดยแผนดังกล่าวถูกเปิดเผยในระหว่างการประชุมเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนำโดยประธาน บริษัท และผู้อำนวยการทั่วไปของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งกล่าวว่าบริษัทกำลังดำเนินโครงการลงทุนเกี่ยวกับผักและผลไม้ในประเทศกัมพูชา โดยเสริมว่าบริษัทกำลังวางแผนที่จะดำเนินการและบรรจุภัณฑ์เพื่อการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์สนับสนุนการลงทุนโครงการอย่างมั่นคง โดยกล่าวว่าโครงการการลงทุนนี้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ดึงดูดการลงทุนดังกล่าวในภาคเกษตรกรรม ซึ่งให้คำมั่นว่าจะเร่งงานในบันทึกความเข้าใจเพื่อลงนามในไม่ช้าเพื่อให้บริษัทสามารถเริ่มดำเนินโครงการได้โดยเร็ว โดยเสริมว่าโครงการลงทุนนี้จะช่วยลดการนำเข้าผักและผลไม้จากตลาดต่างประเทศได้อย่างแน่นอน ขณะเดียวกันก็ช่วยเพิ่มผลิตภัณฑ์แปรรูปเพื่อการส่งออกและสร้างรายได้ให้กับคนในท้องถิ่น

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50726611/two-japanese-firms-eye-agricultural-opportunities/

เศรษฐกิจเดือนก.พ.ทรุด ท่องเที่ยว-เกษตร-อุตฯพัง

นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในเดือนก.พ.63 มีสัญญาณชะลอตัวชัดเจนจากผลกระทบการแพร่ระบาดไวรัสโควิด ส่งผลให้การท่องเที่ยวชะลอตัวลงมาก โดยมีชาวต่างชาติเดินทางเข้าไทยที่ 2.06 ล้านคน ลดลงไป 42.8% โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากจีนติดลบหนัก 84.9% นักท่องเที่ยวเกาหลีใต้ลบ 72.6% นักท่องเที่ยวฮ่องกงลบ 54.8% นักท่องเที่ยวมาเลเซียติดลบ 39.6% เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัส ส่วนการผลิตภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรกรรมมีสัญญาณชะลอตัวจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและปัญหาภัยแล้ง สะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรชะลอตัวลงติดลบ 4.5% ต่อปี จากการลดลงของผลผลิตในหมวดพืชผลสำคัญ เช่นเดียวกับภาคอุตสาหกรรมที่ชะลอตัวลงเช่นกัน สะท้อนจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมคิดลบ 5.2% ต่อปี หลังการผลิตในหมวดยานยนต์ น้ำตาล และเม็ดพลาสติกปรับลดลง ด้านการบริโภคภาคเอกชนในภาพรวมมีสัญญาณทรงตัว แม้การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มกลับมาขยายตัว 4.6% ต่อปี แต่ปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่งติดลบ 15.4% และปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ปรับตัวลดลง 3.7 ต่อปี ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนชะลอตัว โดยการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนติดลบ 10.2% และปริมาณจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ติดลบ 18.1% ต่อปี สำหรับการส่งออกในเดือนก.พ.ที่ผ่านมา การส่งออกติดลบ 4.5% ต่อปี จากก่อนหน้าขยายตัว 3.3% ต่อปี ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่ลดลง

ที่มา: https://www.dailynews.co.th/economic/765965

มูลค่าผลผลิตทางการเกษตรของนครโฮจิมินห์ เพิ่มขึ้น 4.3% ในช่วงไตรมาสแรก

จากข้อมูลของกรมเกษตรและพัฒนาชนบทประจำจังหวัด เผยว่ามูลค่าผลผลิตทางการเกษตรกรรมของนครโฮจิมินห์ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2563 เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว นี้เป็นสัญญาในทิศทางที่เป็นบวกท่ามกลางสถานการณ์ไวรัสโควิดแพร่ระบาด ด้วยเหตุนี้ ภาคเกษตรกรรมของเมืองได้เตรียมการรองรับอุปทานอาหารในท้องถิ่น ทั้งนี้ เป้าหมายของโครงการระดับประเทศที่จะส่งเสริมให้พื้นที่อาคารในชนบทได้มีการออกแบบใหม่ เพื่อที่จะเข้าสู่เฟสใหม่ โดยภายในกลางเดือนมี.ค. แต่ละชุมชนของเมืองมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 18.9 จาก 19 ของเกณฑ์การประเมินขั้นก้าวหน้า เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันขอปีที่แล้ว ในขณะที่ แต่ละเขตมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 7.8 จาก 9 ของเกณฑ์การประเมินขั้นก้าวหน้า เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/hcm-citys-agricultural-production-value-up-43-percent-in-q1/170535.vnp

ธุรกิจภาคเกษตรร่วมมือภาครัฐหาแนวทางลดอุปสรรคการดำเนินธุรกิจ

วันที่ 6 มีนาคมได้มีการจัดงาน 2020 Business Forum (LBF) โดยภายในตัวแทนธุรกิจภาคเกษตรของสปป.ลาวได้จัดการเจรจากับหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งชาติสปป.ลาว (LNCCI) เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจภาคเกษตร ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาผู้แทนอุตสาหกรรมกล่าวว่ายังมีปัญหาที่ยังไม่ได้แก้ไขอีกมากรวมถึงความยุ่งยากของเอกสารที่ต้องใช้ในการนำเข้าวัตถุดิบและส่งออกสินค้าสำเร็จรูปถือเป็นอุปสรรคที่ทำให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปได้อย่างยากลำบาก อย่างไรก็ตามรัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาการเกษตรเพื่อบรรลุยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในปี 2568 ทั้งนี้คาดว่าผลของการประชุมในงานดังกล่าวจะทำให้รัฐบาลทราบถึงปัญหาของการดำเนินธุรกิจภาคเกษตรมากขึ้นและจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดมากขึ้นเพื่อสร้างบรรยายกาศที่ดีในการดำเนินธุรกิจ  

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/lao-agribusiness-sector-raise-challenges-business-forum-115299

รัฐบาลสปป.สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเกษตรเพื่อผลผลิตที่มั่นคง

คณะกรรมการป้องกันและควบคุมภัยพิบัติแห่งชาติกำลังช่วยเหลือเกษตรกรทั่วประเทศโดยการวิจัยและพัฒนาพันธุ์พืชที่มีความยืดหยุ่นต่อสภาพอากาศในสปป.ลาวโดยเฉพาะความทดทานในช่วงฤดูแล้ง โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2562 ปริมาณน้ำลดลงร้อยละ 41 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้วทำให้สปป.ลาวจะต้องเผชิญกับสภาพอากาศแห้งแล้งเร็วขึ้น ทำให้อาจส่งผลกระทบต่อปริมาณผลผลิตเกษตรจากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะมีพื้นที่เพาะปลูกในช่วงนี้ 384,300 เฮกตาร์ ซึ่งจากความแห้งแล้งดังกล่าวผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมคาดว่าจะนำมาซึ่งความแห้งแล้งและอุทกภัยที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ โดยผลผลิตอาจลดลง 10% ในปี 2563 และ 30% ในปี 2593 ดังนั้นการทำการศึกษาและวิจัยเพื่อพัฒนาการเกษตรจึงเป็นสิ่งที่สปป.ลาวกำลังผลักดันและให้การสนใจอย่างยิ่งตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (2559-2563)เพื่อความมั่นคงด้านอาหารภายในประเทศและประสิทธิภาพการผลิตภาคเกษตร

ที่มา  : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Farmers_43.php

ชาวเกษตรกรจังหวัดจ่าวิญ เก็บปูทะเลเพื่อช่วงเทศกาลเต็ตและกำไรเพิ่มสูงขึ้น

ชาวเกษตรกรในลุ่มแม่น้ำโขงของจังหวัดจ่าวิญ (Tỉnh Trà Vinh) กำลังเข้าสู่การเก็บเกี่ยวปูทะเลในช่วงเทศกาลเต็ต (ปีแห่งจันทรคติ) และจะได้กำไรสูงถึง 1,300-1,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อเฮกตาร์ เนื่องจากความต้องการเพิ่มสูงขึ้นในช่วงเทศกาลจะมาถึงตรงกับวันที่ 25 มกราคม โดยชาวเกษตรกรในจังหวัดดังกล่าวเป็นหนึ่งในผู้เพาะพันธ์ปูทะเลรายใหญ่ที่สุดของบริเวณปากแม่น้ำโขง ซึ่งแหล่งเพาะพันธ์ส่วนใหญ่อยู่ในบริเวณชายฝั่ง Cau Ngang, Duyen Hai และ Chau Thanh และเมือง Duyen Hai เป็นต้น ทั้งนี้ ผู้ประกอบการเพาะพันธ์ปูแห่งหนึ่ง ระบุว่าเกษตรกรผู้เลี้ยงปูส่วนใหญ่ได้กำไรสูงในปีที่แล้ว เนื่องจากราคาปรับตัวสูงขึ้น และราคารับซื้อจะอยู่ที่ 6.5–14 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลกรัม รวมไปถึงราคาของปูทะเลมีเสถียรภาพมากกว่ากุ้งกุลาดำและกุ้งขาขาว นอกจากนี้ กรมการเกษตรและพัฒนาชนบทในจังหวัดได้ส่งเสริมชาวเกษตรกรบริเวณชายฝั่งให้เพาะพันธ์ปูทะเล และการหมุนเวียนของปูทะเลและกุ้งที่อยู่ในบ่อน้ำเดียวกันเพื่อลดความสูญเสีย รวมไปถึงการให้ความรู้ในการพัฒนาฟาร์มขั้นสูงและวิธีการที่เหมาะสมต่อการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/tra-vinh-farmers-harvest-mud-crab-for-tet-earn-high-profit/167541.vnp

การส่งออกสินค้าเกษตรของเวียดนามไปยังจีน อาจต้องเผชิญกับอุปสรรค

กระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบทเวียดนาม (MARD) ร่วมมือกับคณะกรรมการประชาชนจังหวัดกว่างนิง (Quang Ninh) ได้เข้าร่วมประชุมที่เมืองหม่งกาย ในวันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา เพื่อส่งเสริมการส่งออกสินค้าเกษตร ป่าไม่และประมงของเวียดนามไปยังตลาดจีน ซึ่งในจังหวัดกว่างนิงได้รับการพิจารณาให้เป็น “ประตู” ในการเชื่อมต่อการค้าระหว่างเวียดนามและจีน ส่งผลให้เกิดการขยายตัวของมูลค่าการค้าทวีภาคีประมาณ 100 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตั้งแต่ต้นปีนี้ โดยในจังหวัดดังกล่าว จะได้รับการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานการขนส่ง และพัฒนาระบบการขนส่งชายแดน แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในหลายๆด้าน แต่ประเทศจีนก็มีระบบการตรวจสอบข้อกำหนดในการนำเข้าสินค้าอย่างเข็มงวด รวมถึงกฎหรือข้อระเบียบใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบย้อนกลับถึงถิ่นกำเนิดสินค้าและการติดฉลากผลิตภัณฑ์ เป็นต้น ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจอย่างมาก ทั้งนี้ รองผู้อำนวยการหน่วยงานด้านการแปรรูปและพัฒนาตลาดสินค้าเกษตรเวียดนาม ระบุว่าให้เรียกร้องผู้ประกอบการเวียดนามพยายามปรับตัวต่อการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นระบบการผลิตสินค้า ใบรับรองที่รัฐบาลจีนกำหนดไว้ในการนำเข้าสินค้า เป็นต้น

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/agricultural-exports-to-china-face-barriers-406985.vov

กัมพูชาเข้าร่วมโครงการความร่วมมือด้านการเกษตรของเวียดนาม

กัมพูชาส่งผู้แทนเข้าร่วมโครงการของเวียดนามที่พยายามกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับภาคเกษตรกรรมของเวียดนามและสปป.ลาว โดยประกอบด้วยเจ้าหน้าที่กระทรวงเกษตร ผู้เชี่ยวชาญการเกษตรและเกษตรกรเป็นผู้แทนประเทศกัมพูชาในการเข้าร่วมโครงการ นอกจากนี้ บริษัท กัมพูชาที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการเกษตรก็มีตัวแทนจาก บริษัท เวียดนามและสปป.ลาวด้วย ซึ่งมีบูธจำหน่ายผลิตภัณฑ์การเกษตรกว่า 225 รายการจากทั้งสามประเทศ ตามรายงานใน Nhan Dan Online โดยผู้เข้าร่วมในโปรแกรมได้แบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับการพัฒนาการเกษตร การทำฟาร์มและกิจกรรมในชนบท ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อเสริมสร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและมิตรภาพระหว่างประชาชนของทั้งสามประเทศในขณะที่ส่งเสริมการสนับสนุนซึ่งกันและกันในหมู่เกษตรกรในการทำธุรกิจและบริโภคสินค้าเกษตร โดยมีรายงานว่าข้อตกลงความร่วมมือหลายประการจัดทำเพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้เทคโนโลยี และยังขาดแคลนเทคโนโลยีการเกษตรขั้นสูงในสามประเทศ แต่ข้อจำกัดเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ในไม่ช้าโดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาการเกษตรมากขึ้น

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50665907/cambodia-joins-vietnamese-programme-for-agri-cooperation/