ความเคลื่อนไหวเชิงบวกของอนุพันธ์ในตลาดหลังจากมีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น

ถึงตลาดอนุพันธ์ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ตลาดอนุพันธ์ก็ยังเดินหน้าต่อไปในเชิงบวกเนื่องจากผู้ค้าให้ความสนใจและทำความคุ้นเคยกับตลาดมากขึ้น โดยผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศกัมพูชา (SECC) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลหลักทรัพย์ของกัมพูชากล่าวว่าปริมาณการซื้อขายของตลาดเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยในปี 2562 ปริมาณการซื้อขายสูงถึง 120 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบในปี 2561 มีปริมาณการซื้อขายเพียง 84 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งในปีนี้คาดว่าปริมาณการซื้อขายของตลาดตราสารอนุพันธ์จะสูงถึงประมาณ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ โดย SECC มุ่งมั่นที่จะส่งเสริมตลาด ซึ่งกล่าวว่านักลงทุนบางคนคิดว่าตลาดอนุพันธ์มีความเสี่ยงสูงแต่ก็สร้างผลกำไรมากขึ้น ซึ่งผู้อำนวยการฝ่ายการแลกเปลี่ยนตราสารอนุพันธ์ของกัมพูชา (CDX) กล่าวว่าตลาดตราสารอนุพันธ์ในกัมพูชามีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆทุกปี

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50683840/positive-move-of-derivatives-after-trading-volumes-rise

กาแฟพืชเศรษฐกิจในอนาคต

เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟในเขตคูนแขวงเซี่ยกวงกำลังทำเงินได้ดีจากการเพาะปลูกกาแฟที่มีราคาปรับตัวสูงขึ้นจากอดีต จากข้อมูลของเว็บไซต์ laocoffeeproductprice.la เมล็ดกาแฟอาราบิก้าขายในราคาสูงสุดที่ 3,200 กีบ ต่อกิโลกรัมเพิ่มจากเดิม 1,200 กีบ สาเหตุของการที่ราคาสูงขึ้นมาจากความต้องการสูงจากร้านกาแฟจำนวนมากในเวียงจันทน์และหลวงพระบาง เกษตรกรมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ซื้อซึ่งช่วยให้พวกเขาผลิตกาแฟคุณภาพดีออกมาได้ กาแฟในอนาคตจะเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของปป.ลาวจากการเติบโตที่สูงและระดับราคาสามารถทำให้เกษตรกรมีชีวิตที่ดีขึ้นได้เป็นผลดีต่อประชาชนในประเทศเพราะประชาชนส่วนใหญ่สปป.ลาวทำอาชีพเกษตรกรหากรัฐบาลมีการสนับสนุนจะทำให้กาแฟเป็นพืชที่สำคัญที่จขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ในอนาคตและมีศักยภาพมากพอที่จะแข่งขันกับนานาประเทศต่อไป

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/xieng-khuang-coffee-growers-profiting-quality-crop-112702

เมียนมามีรายได้จากการส่งออกข้าว 280 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

เมียนมามีรายได้จากการส่งออกข้าวมากกว่า 980,000 ตัน มูลค่า 280 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมถึง 10 มกราคมปีนี้ โดยรายรับ 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จำนวน 684,000 ตันไปยัง 55 ประเทศและมากกว่า 78 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากการส่งออกข้าวหักมากกว่า 302,000 ตันไปยัง 46 ประเทศในช่วงเวลาดังกล่าว โดยส่งออกตลาดสหภาพยุโรปและแอฟริกาผ่านเส้นทางการค้าทางทะเล และจีนผ่านทางการค้าชายแดนมูเซ กลุ่มสหพันธ์ข้าวเมียนมา (MRF) แจ้งว่ารายรับมากกว่า 709 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากการส่งออกข้าวมากกว่าสองล้านตันในปี 61-62 ซึ่งในปี 60-59 และทำลายสถิติในประวัติศาสตร์กว่า 50 ปี ในการส่งออกข้าวมากกว่า 3 ล้านตัน

ที่มา: https://elevenmyanmar.com/news/myanmar-earns-us280-m-from-rice-and-broken-rice-export

การประชุมคณะรัฐมนตรีประจำเดือนมกราคม

การประชุมของคณะรัฐมนตรีประจำเดือนมกราคมได้เกิดขึ้นไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยได้มีการพูดคุยกันในหลายๆเรื่องทั้งเรื่องของอนาคตและสถานการณ์การปัจจุบันอย่างเช่นเรื่องมาตราการป้องกันเชื้อไวรัส  coronavirus โดยหนึ่งในหัวข้อที่สำคัญที่ได้มีการพูดคุยกันคือการที่รัฐบาลจะเข้ามาเสริมสร้างบรรยากาศที่ดีในการดำเนินธุรกิจหรือเพื่ออำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจเพื่อเพิ่มการลงทุน นอกจากนี้คณะรัฐมนตรีเรียกร้องให้มีการจัดการด้านราคาอย่างมีประสิทธิภาพในตลาดท้องถิ่นเพื่อให้มั่นใจว่าราคาสินค้าสมเหตุสมผลจากที่ในปัจจุบันกำลังเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ในด้านอุตสาหกรรมมีการเรียกร้องให้มีมาตราสนับสนุนเพิ่มมากกว่าและข้อเสนอที่ดีขึ้นเพื่อดึงดูดให้ต่างประเทศมาตั้งฐานการผลิตที่สปป.ลาว ในช่วงสุดท้ายของการประชุมมีการพูดถึงการเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดความร่วมมือระดับที่ 3 ของลังโคม – แม่โขง (LMC)และการประชุมสุดยอดยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจครั้งที่ 9 – แม่น้ำเจ้าพระยา – เจ้าพระยา – แม่น้ำโขงซึ่งจะจัดขึ้นที่เวียงจันทน์ในเดือนมีนาคม การประชุมดังกล่าวจะทำให้ สปป.ลาวได้ข้อเสนอแนะที่ดีที่ดีในการพัฒนาประเทศต่อไป

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_PM_demands_18.php

รัฐบาลสปป.ลาวคาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโตอย่างมั่นคงในปี 2563

รัฐบาลสปป.ลาวคาดหวังอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศจะขยายตัวที่ 9.5% คิดเป็นมูลค่า 54,080 พันล้านกีบในขณะที่รายรับเฉลี่ยต่อหัวจะอยู่ที่ 6,120 ดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ โดยมีเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายรอบด้านทั้งการเพิ่มการลงทุนจากทั้งภาครัฐและสนับสนุนเอกชนให้มีการลงทุนเพิ่ม ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีการเม็ดเงินลงทุนสูงถึง 16,700 ล้านกีบนอกจากนี้การพัฒนาให้ภาคอุตสหกรรมสำคัญอย่าง ภาคเกษตร พลังงาน อุตสาหกรรมและบริการมีการขยายตัวจะเป็นปัจจัยที่สำคัญเช่นกันในการทำให้ GDP ขยายตัวได้ตามเป้าหมาย เป็นที่น่าจับตามองถึงอนาคตของสปป.ลาวถึงการเติบโตดังกล่าวเพราะหากทำได้ตามเป้าหมายจะเป็นผลต่อสปป.ลาวอย่างมาก ทั้งดานการลดปัญหาความยากจน การเพิ่มงานให้คนในประเทศจากการที่มีการลงทุนสร้างโรงงานมากขึ้น เศรษฐกิจที่ดีจะทำให้สปป.ลาวพัฒนาได้อย่างยั่งยืน

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/vientiane-expects-stable-economic-growth-2020-112703