อุตสาหกรรมนำหรือสกัดทรัพยากรธรรมชาติจะเป็นแรงกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ของกัมพูชา

รัฐบาลกล่าวว่าอุตสาหกรรมสกัดเป็นเส้นทางหลักทางเศรษฐกิจ โดยการพัฒนาทางเศรษฐกิจของกัมพูชาส่วนใหญ่ได้แรงหนุนจากการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ การท่องเที่ยว เสื้อผ้าและภาคการเกษตร ซึ่งรัฐบาลกำลังมองหาความหลากหลายในอุตสาหกรรม โดยภาคการผลิตจะกลายเป็นแรงหลักในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สำคัญ กล่าวโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเหมืองแร่และพลังงาน ในระหว่างการประชุมฟอรั่มอุตสาหกรรมสกัดครั้งที่ 8 ณ กรุงพนมเปญ ซึ่งอุตสาหกรรมนี้จะเป็นแรงหลังของเศรษฐกิจกัมพูชา ที่จะสร้างแหล่งรายได้ใหม่และสร้างงานให้กับชุมชนท้องถิ่น ซึ่งบริษัท KrisEnergy จากสิงคโปร์คาดว่าจะเริ่มการสกัดน้ำมันได้ในปีหน้า โดยรายได้จากน้ำมันที่สกัดในกัมพูชาจะถูกนำไปใช้ในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานและปรับปรุงด้านการศึกษา ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการเหมืองแร่และพลังงานกล่าวว่ารายได้จากภาคเหมืองแร่และน้ำมันสามารถแบ่งออกเป็นสองส่วนคือรายได้จากภาษีและที่ไม่ใช่ภาษี โดยรายได้ที่มิใช่ภาษีหมายถึงค่าธรรมเนียมใบอนุญาตสัญญาเช่าที่ดินและค่าสิทธิที่จ่ายให้กับรัฐบาล

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50663802/extractive-industry-to-become-new-economic-driver-ministry/

บริษัทจากสหรัฐเร่งการลงทุนในกัมพูชา

การพบกันระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กัมพูชาขอให้สหรัฐฯเร่งการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเกษตรกรรม การผลิตอัญมณี การผลิตไฟและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งตัวแทนสถานทูตสหรัฐฯกล่าวว่าในไม่ช้าจะมีการจัดเวทีที่มุ่งเน้นภาคเกษตร โดยเป้าหมายของการจัดงานคือการช่วยเหลือและสนับสนุนการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในกัมพูชา ภายในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า ซึ่งนักการทูตสหรัฐฯกล่าวกับทางรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ว่า บริษัท General Electrics ได้แสดงความตั้งใจที่จะลงทุนในภาคพลังงานของกัมพูชา โดยโฆษกประจำสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกากำลังส่งเสริมธุรกิจของสหรัฐฯให้แสวงหาโอกาสการลงทุนในกัมพูชารวมทั้งเชื่อมโยงบริษัทกัมพูชาเข้ากับธุรกิจในสหรัฐฯ ซึ่งสหรัฐฯให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯกับกัมพูชา โดยวางแผนที่จะติดตามกิจกรรมนี้โดยเชิญ บริษัท ชั้นนำบางหลายแห่งของสหรัฐฯไปยังกัมพูชาในเดือนกุมภาพันธ์เพื่อสำรวจโอกาสทางการค้าและการลงทุนในภาคเกษตรกรรมของกัมพูชา

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50663745/us-companies-urged-to-invest-in-cambodia/

เวียงจันทน์มั่นใจจะมีนักท่องเที่ยวลาว-จีน มาเที่ยวในปี 62 ถึง 2 ล้านคน

เจ้าหน้าที่เวียงจันทน์มีความมั่นใจว่าจะมีนักท่องเที่ยวจำนวน 2 ล้านคน สำหรับการเยี่ยมชมสปป.ลาว – ​​จีนในปี 62 ซึ่ง ผอ.ฝ่ายข้อมูลสารสนเทศวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของนครหลวงเวียงจันทน์กล่าวว่าเจ้าหน้าที่ของเมืองร่วมมือกับภาคเอกชนพยายามดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มากขึ้น โดยการสร้างและปรับปรุงสถานที่ท่องเที่ยวในเวียงจันทร์ เช่น การซ่อมแซมพิพิธภัณฑ์หอพระเกตุและเจดีย์หลวง ทำให้มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวเวียงจันทร์ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้มีผู้เข้าชมมากกว่า 1.5 ล้านคน โดยปัจจัยที่ทำให้เวียงจันทร์มีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นกว่าเดิมนั้น นอกจากการร่วมมือกันในการสร้างและปรับปรุงสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว อีกสาเหตุที่สำคัญคือเป็นจุดหมายปลายทางที่มีนักท่องเที่ยวมากที่สุดในประเทศ และเป็นศูนย์กลางสำหรับการเดินทางทั่วประเทศและยังต่อไปประเทศอื่น ๆ เข้าถึงตัวเมืองได้ง่ายจากทั้งทางอากาศหรือทางบก ก็ล้วนแล้วแต่สะดวกสบายต่อนักท่องเที่ยว จึงทำให้เวียงจันทร์เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญและมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีในอนาคต  ทั้งนี้มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวสปป.ลาวในช่วง 6 เดือนแรกมากถึง 2.2 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันในปีที่แล้วถึง 5 %

ที่มา: http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Vientiane_on_256.php

การจัดฝึกอบรมหลักสูตรประเมินโครงการเพื่อให้ผู้หญิงในชนบทมีทักษะการทำงานในสปป.ลาว

สหภาพสตรีสปป.ลาวและกระทรวงความเสมอภาคทางเพศและครอบครัวสาธารณรัฐเกาหลี ได้ร่วมมือกันจัดฝึกอบรมอาชีพให้สตรีสปป.ลาวเพื่อพัฒนาโอกาสในการทำงาน โครงการฝึกอบรมนี้ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงความเสมอภาคทางเพศและครอบครัวสาธารณรัฐเกาหลี ดำเนินการโดย the Dorundorun Asia Women Bridge การประชุมครั้งนี้จะรายงานความคืบหน้าของโครงการและความท้าทายที่เราเผชิญในอนาคตรวมทั้งหารือเกี่ยวกับปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทักษะของผู้หญิงและวิธีการสร้างความสามารถ ซึ่งโครงการฝึกอบรมสายอาชีพเริ่มขึ้นในปี 59 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้หญิงมีทักษะที่จำเป็นในการหางาน หลักสูตรนี้มุ่งเป้าไปที่ผู้หญิงด้อยโอกาสในชนบทที่พยายามหางานทำและหาเลี้ยงชีพ ล่าสุดผู้หญิง 57 คนที่ด้อยโอกาสจากทั่วประเทศได้เรียนรู้ทักษะในด้านการทำอาหาร การตัดเย็บและการเสริมความงาม

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Course_256.php

เวียดนามตั้งเป้า GDP ขยายตัว 7% ในปี 2564-2568

จากข้อมูลของศูนย์ข้อมูลและวิเคราะห์เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (NCIF) คาดการณ์ว่าเวียดนามจะมีอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศเวียดนาม (GDP) ที่ระดับร้อยละ 7 ต่อปี ในช่วงปี 2564-2568 สำหรับเศรษฐกิจมหภาคอยู่ในระดับทรงตัว อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ 3.5-4.5 ต่อปี และผลิตภาพแรงงานจะขยายตัวร้อยละ 6.3 ต่อปี โดยข้อตกลงการค้าเสรีสหภาพยุโรป-เวียดนาม (EVFTA) คาดว่าจะมีผลกระทบเขิงบวกมากกว่าความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) เนื่องมาจากมีกลุ่มประเทศที่ลงนามข้อตกลงการค้าเสรีกับเวียดนามอยู่แล้ว ซึ่งทั้ง 2 ของความตกลงการค้าเสรีดังกล่าวนั้น จะส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงานอย่างมาก โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมที่ต้องใช้แรงงานมาก ได้แก่ เสื้อผ้า สิ่งทอ และรองเท้า  เป็นต้น นอกจากนี้ เขตการค้าเสรีจะช่วยให้เวียดนามปรับปรุงนโยบายและสภาพแวดล้อมในการทำธุรกิจ

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/vietnams-gdp-expected-to-expand-7-in-20212025-406577.vov

อุตสาหกรรมน้ำตาลเวียดนาม ดิ่งลงอย่างมาก

จากข้อมูลของสมาคมอ้อยและน้ำตาลเวียดนาม (VSSA) เปิดเผยว่าปัจจุบันเวียดนามมีจำนวนธุรกิจน้ำตาลกว่า 40 แห่ง และในช่วงปี 2560-2561 มีโรงงานผลิตน้ำตาลทั้งประเทศจำนวน 37 โรงงาน ผลผลิตน้ำตาลรวมทั้งสิ้น 1.47 ล้านตัน ขณะเดียวกัน ในปี 2561-2562 มีผลผลิตน้ำตาล 1.17 ล้านตัน สำหรับพื้นที่ปลูกอ้อมในประเทศลดลงร้อยละ 30-60 เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากขาดแคลนวัตถุดิบในการป้อนเข้าสู่โรงงาน ประกอบกับเกษตรกรเลิกปลูกอ้อย เพราะว่ายิ่งเกษตรกรเพาะปลูกมากเท่าไหร่ก็ยิ่งขาดทุนมากเท่านั้น จึงหันไปปลูกพืชชนิดอื่นแทน ทั้งนี้ อุตสาหกรรมน้ำตาลเวียดนามได้รับความกดดันจากการฉ้อโกงทางการค้าและการลักลอบนำเข้าจากประเทศไทย ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมน้ำตาลเวียดนามอย่างมาก และเป็นเวลายาวนาน โดย 1 ใน 3 ของโรงงานได้ปิดตัวลง และพื้นที่ไร่อ้อยหลายแห่งถูกทิ้งไว้ ซึ่งผู้ประกอบการโรงงานน้ำตาลต้องการแรงสนับสนุนจากภาครัฐบาลมากยิ่งขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาการลักลอบสินค้า และการปลอมแปลง เพื่อที่ว่าเพิ่มความสามารถในการแข่งขันสินค้าต่างประเทศในตลาดเวียดนามได้

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/vietnams-sugar-industry-in-serious-decline-406612.vov

ยอดนักท่องเที่ยวผ่านชายแดนเมียนมามากว่า 1.1 ล้านคน

ตั้งแต่เดือน ม.ค. ถึง 21 พ.ย.62 มีนักท่องเที่ยวมากกว่า 1.1 ล้านคนเดินทางมาเมียนมาผ่านประตูชายแดนท่าขี้เหล็ก นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มาจากประเทศไทย จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาถึงสนามบิน ท่าเรือ และประตูด่านชายแดนระหว่างเดือน ม.ค. ถึงเดือน ก.ย. ของปีนี้เพิ่มขึ้นกว่า 600,000 คนเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ในปี 61 เดือน ม.ค. ถึงเดือ ธ.ค. นักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนกว่า 3.5 ล้านคน และ 3.4 ล้านคนในปี 60 ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ใช้ประตูชายแดนเพื่อเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศ

ที่มา: https://elevenmyanmar.com/news/over-11-m-tourists-visit-myanmar-via-border

รายได้จากการส่งออกทางทะเลมากกว่า 110 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในรอบเดือนนี้

เมียนมามีรายรับมากกว่า 110 ล้านเหรียญสหรัฐจากการส่งออกสินค้าทางทะเลในช่วงเวลาหนึ่งเดือนของปีงบประมาณนี้มากกว่า 18 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันก่อน ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.ถึง 8 พ.ย.ในปี 62-63 มูลค่าการส่งออกทางทะเล 114.582 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในขณะที่ปีที่แล้วมีมูลค่า 95.949 ล้านเหรียญสหรัฐฯ :ซึ่งมากกว่า 18.578 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ปัจจุบันปริมาณของสินค้าทางทะเลรวมถึง ปลา และกุ้งส่งออกน้อยกว่าของประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้นจำเป็นต้องปรับปรุงระบบการทำฟาร์มมากกว่าการใช้วิธีจับตามธรรมชาติ ด้วยความร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญจากอินโดนีเซีย ไต้หวัน และจีน กำลังสร้างฟาร์มปลา โรงงานอาหารปลา และโรงงานห้องเย็นโดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเป้าหมายในการสร้างรายได้สูงถึง 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีแผนที่จะให้สินเชื่อ SME เพื่อช่วยในการจัดหาพื้นที่ฟาร์มเพาะพันธุ์ปลาและกุ้ง

ที่มา: https://elevenmyanmar.com/news/over-110-m-earned-from-marine-export-in-a-month