เรือคอนเทนเนอร์กว่า 600 ลำมามาถึงและมีการค้าขายที่ท่าเรือย่างกุ้งในปี 2566

การท่าเรือเมียนมาร์ (MPA) ระบุว่า ในปี 2566 ตลอดทั้งปีมีเรือมากกว่า 600 ลำเดินทางมาถึงท่าเทียบเรือระหว่างประเทศย่างกุ้งเพื่อทำการค้า โดย MPA ได้ขยายการเดินทางตู้คอนเทนเนอร์มากขึ้นเพื่อตอบสนองข้อกำหนดในการส่งออกและนำเข้า ทั้งนี้ เรือขาเข้าตลอดทั้งปี 2566 ตั้งแต่เดือน มกราคม-ธันวาคม มีเรือเข้าเทียบท่าทั้งสิ้น รวม 629 ลำ ซึ่งประกอบด้วย สายการเดินเรือระหว่างประเทศ ได้แก่ Sealand Maersk Asia, SITC, MSC, Samudera, Ever Green, PIL, BLPL, RCL, Land and Sea, CMA-CGM, COSCO, IAL, ONE, Ti2 Container และ BAY เป็นต้น อย่างไรก็ดี การท่าเรือเมียนมาร์ ได้แจ้งให้ผู้ส่งออกและผู้นำเข้าของเมียนมาร์ทราบว่ามีเรือ 49 ลำจะเข้าเทียบท่าที่ท่าเรือย่างกุ้งในเดือนมกราคม 2567 นอกจากนี้ ท่าเรือย่างกุ้งให้บริการด้วยท่าเทียบเรือ 27 ท่าซึ่ง สามารถรองรับเรือที่ มีความยาวได้ถึง 200 เมตรและมีน้ำหนัก 3,000 ตัน ท่าเรือติลาวามีท่าเทียบเรือ 19 ท่าซึ่งสามารถ รองรับเรือที่ มีความยาวสูงสุด 250 เมตรและน้ำหนัก 3,500 ตัน

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/over-600-container-ships-arrive-and-trade-at-yangon-port-in-2023/#article-title

เขตการค้าเมียวดีมีมูลค่าการค้ากว่า 8.985 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วง 18 วันของเดือนธันวาคม

ตามรายงานสถิติของกระทรวงพาณิชย์เมียนมาร์ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคมถึง 18 ธันวาคม เขตการค้าเมียวดีสามารถส่งออกมูลค่า 1.976 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และการนำเข้ามูลค่า 7.009 ล้านเหรียญสหรัฐฯ รวมมูลค่าการค้า 8.985 ล้านเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ดี ตามการรายงานของกระทรวงฯ พื้นที่การค้าข้ามพรมแดนระหว่างทั้งสองประเทศ (เมียนมาร์-ไทย) ได้ให้ความสำคัญกับกระบวนการตรวจสอบสินค้าเพื่อความสะดวกในการส่งออกโดยเฉพาะสินค้าประมงผัก หัวหอม และพริก ที่เน่าเสียง่าย และปัจจุบันผลิตภัณฑ์อาหารของไทยมีการใช้กันอย่างแพร่หลาย ส่งผลให้ความต้องการเพิ่มขึ้น ตลอดจนการส่งออกวัตถุดิบอาหาร ทั้งนี้ ในบรรดาสินค้าส่งออกทั้งหมดของเมียนมาร์ พริก หัวหอม และผลิตภัณฑ์ CMP เป็นสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกมากที่สุด ด้านสินค้านำเข้ามากที่สุด ได้แก่อะไหล่รถจักรยานยนต์ กระดาษพิมพ์ สบู่ วัสดุเหล็กและเหล็กกล้า แบตเตอรี่แห้ง ชุดผ้าฝ้าย ยางและท่อยาง เครื่องจักรและอุปกรณ์

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/myawaddy-trade-zone-made-us8-985million-trade-over-18-days-of-december/

ไทยตั้งเป้ารายได้จากการท่องเที่ยว 3.5 ล้านล้านบาท ในปี 2567

รัฐบาลมุ่งเน้นส่งเสริมภาคการท่องเที่ยว เพื่อสร้างรายได้
3.5 ล้านล้านบาท ในปี 2567 ส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวตลอดทั้งปี โดยข้อมูลในปี 2566 ประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวมากกว่า 27 ล้านคน นับตั้งแต่เดือนมกราคมถึงธันวาคม 2566 พบว่า มีจำนวนนักท่องเที่ยวสูงถึง 27.25 ล้านคน นักท่องเที่ยวที่สำคัญมาจากมาเลเซีย จีน เกาหลีใต้ อินเดีย และรัสเซีย ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวในลำดับต้นๆ ของตัวเลขนักท่องเที่ยวในปีที่ผ่านมา สำหรับปี 2567 รัฐบาลมีเป้าหมายที่จะเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวโดยเน้นสถานที่ยอดนิยมและไม่ค่อยมีคนรู้จัก โดยตั้งเป้ารายได้แบ่งเป็นการท่องเที่ยวในประเทศ 1 ล้านล้านบาท และการท่องเที่ยวต่างประเทศ 2.5 ล้านล้านบาท การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และหอการค้าไทยกำลังส่งเสริมจังหวัดแพร่ ลำปาง และนครสวรรค์ ในด้านศักยภาพการท่องเที่ยวที่ยังไม่ได้ใช้ ททท. เน้นย้ำถึงผลกระทบเชิงบวกของนโยบายปลอดวีซ่าสำหรับประเทศต่างๆ เช่น คาซัคสถาน จีน และรัสเซีย โดยมีแผนจะขยายสิทธิประโยชน์ให้กับนักท่องเที่ยวจากประเทศเหล่านี้ นอกจากนี้ ผู้ประกอบการการท่องเที่ยวยังเรียกร้องให้รัฐบาลให้การสนับสนุนเพิ่มเติม เน้นย้ำถึงความสำคัญทางเศรษฐกิจของการท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาค เช่น นครราชสีมา ซึ่งขึ้นชื่อในสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นมรดกโลกถึงสามแห่ง

ที่มา: https://thainews.prd.go.th/en/news/detail/TCATG240101171841247

รัฐบาล สปป.ลาว ‘ตั้งเป้าลดปัญหาเงินเฟ้อในปี 2567’

รายงานล่าสุดจากสำนักงานสถิติลาวเผยว่า ในเดือนธันวาคม 2566 อัตราเงินเฟ้อ สปป.ลาว อยู่ที่ 24.4% แม้ว่าจะปรับลดลงเล็กน้อยจาก 25.24% ในเดือนก่อน โดยเงินเฟ้อใยหมวดหมู่โรงแรมและร้านอาหารมีราคาเพิ่มขึ้นสูงสุดเมื่อเทียบเป็นรายปีที่ 35.9% ตามมาด้วยหมวดเสื้อผ้าและรองเท้า การรักษาพยาบาล และของใช้ในครัวเรือน สาเหตุหลักเกิดจากเงินกีบที่อ่อนค่าลง ผลผลิตในประเทศปรับลดลง มูลค่าการนำเข้าที่สูง และความยากลำบากในการควบคุมราคาในตลาดท้องถิ่น ทำให้ความพยายามของรัฐบาลในการควบคุมราคาสินค้ายังเผชิญกับความท้าทาย ส่งผลให้ราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจที่กำลังดำเนินอยู่ ธนาคารแห่งลาว (BOL) ให้คำมั่นที่จะใช้นโยบายการเงินเข้มงวด โดยมุ่งเน้นที่การรักษาเสถียรภาพของค่าเงินกีบ ซึ่งเป็นมาตรการสำคัญในการควบคุมต้นทุนสินค้าและบริการ ซึ่งสอดคล้องกับแผนของรัฐบาลที่จะลดอัตราเงินเฟ้อลง 9% ในปี 2567 ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 26-27 ธันวาคม 2566 นายกรัฐมนตรี สอนไซ สีพันดอน ได้สั่งการให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องปรับปรุงระบบการจัดเก็บรายได้ให้ทันสมัย ​​ระบุแหล่งรายได้ใหม่ และลดการรั่วไหลทางการเงิน นอกจากนี้ ยังมุ่งมั่นที่จะปรับปรุงกฎระเบียบด้านเงินตราต่างประเทศ เพิ่มรายได้จากการส่งออก และดึงดูดการลงทุนเพื่อรักษาเสถียรภาพของมูลค่าเงินกีบและลดอัตราเงินเฟ้อ

ที่มา: https://laotiantimes.com/2023/12/29/government-targets-lower-inflation-rates-in-2024/