Startups เมียนมา สนใจนักลงทุนต่างชาติ

ความสนใจในการเริ่มต้นธุรกิจของพม่าเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากนักลงทุนที่หวังเก็งกำไร เมื่อวานนี้สถาบันการเงินของเยอรมนี ทั้ง DEG และ agRIF ซึ่งเป็นกองทุนที่มุ่งเน้นผลกระทบซึ่งจัดหาเงินทุนให้กับตัวกลางทางการเงินที่กำหนดเป้าหมายไปยังกลุ่มเกษตรกรรายย่อยและประชากรในชนบท ร่วมลงทุนกันใน Rent 2 Own (Myanmar) Ltd (R2O) มูลค่า 6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยครอบคลุมหนึ่งในสามของยอดขายมอเตอร์ไซค์ภายในประเทศ

ที่มา: : https://www.mmtimes.com/news/myanmar-startups-draw-international-investor-interest.html 

เวียตเจ็ทแอร์เซ็นสัญญาซื้อเครื่องบิน A321 50 ลำ ด้วยเม็ดเงิน 6.5 พันล้านเหรียญ จาก Airbus

เวียตเจ็ทแอร์ เป็นสายการบินของประเทศเวียดนาม เซ็นสัญญาซื้อเครื่องบินพาณิชย์ A321 จำนวน 50 ลำจากบริษัท Airbus ไปเมื่องานแสดงเครื่องบินที่ Farnborough ประเทศอังกฤษที่ผ่านมาเพื่อเป็นการรองรับการเติบโตของเส้นทางการบินระหว่างภูมิภาคและเอเชียแปซิฟิก สัญญายังระบุถึงอะไหล่และชิ้นส่วนที่ประกอบที่ทันสมัยสำหรับ A321 คาดว่าเครื่องบินทั้ง 60 ลำ คือ A320 และ A321 สามารถบินได้มากกว่า 385 เที่ยวบินต่อวัน ผู้โดยสารกว่า 65 ล้านคนใน 103 เส้นทางทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ที่มา: https://english.vietnamnet.vn/fms/business/211374/vietjet-signs-contract-to-buy-50-airbus-aircraft.html

เวียดนามส่งออกข้าวมากกว่า 5 ล้านตัน ใน 10 เดือนแรกของปีนี้

กรมแปรรูปและพัฒนาตลาดส่งออกผลิตภัณฑ์เกษตรสังกัดกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบทได้เผยว่าปริมาณการส่งออกข้าวของเวียดนามในเดือนตุลาคมอยู่ที่ 2 แสน 6 หมื่น 4 พันตัน มูลค่า 136 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ปริมาณการส่งออกข้าวในรอบ 10 เดือนที่ผ่านมาบรรลุ 5.2 ล้านตัน มูลค่า 2.6พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 ด้านปริมาณและร้อยละ 14 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2017 จีนยังคงเป็นตลาดส่งออกข้าวรายใหญ่เป็นอันดับแรกของเวียดนาม โดยครองส่วนแบ่งตลาดถึงร้อยละ 24 ส่วนมูลค่าการส่งออกข้าวในตลาดต่างๆ เช่น อินโดนีเซีย อิรัก ฟิลิปปินส์และมาเลเซียก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ที่มา: : http://www.xinhuanet.com/english/2018-11/05/c_137583281.htm

มูลค่าการส่งออกของเวียดนามใน 10 เดือนที่ผ่านมาสูงเกิน 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

กระทรวงอุตสาหกรรมและพาณิชย์เผยว่า ในเดือนตุลาคมนี้มูลค่าการส่งออกสินค้าของเวียดนามได้กว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2017 และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศมีมูลค่ากว่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มูลค่าการส่งออกรวมใน 10 เดือนที่ผ่านมามากกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ14 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2017 สินค้าหลักในการส่งออกยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เช่น โทรศัพท์มือถือ เสื้อผ้าสำเร็จรูป อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และรองเท้า เป็นต้น ส่วนสินค้าเกษตรและสัตว์น้ำเพิ่มขึ้นก็ตาม แต่มูลค่าการส่งออกได้ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนเพราะราคาต่ำ

ที่มา: http://www.xinhuanet.com/english/2018-11/05/c_137583281.htm

ดอลลาร์นิยม ปรากฏการณ์ที่กัมพูชาต้องก้าวข้าม

จากการขยายตัวของเศรษฐกิจ 7% ต่อปี ทำให้กัมพูชาเลื่อนสถานะจากประเทศรายได้ต่ำเป็นประเทศรายได้ปานกลางระดับต่ำ ในปี 2559 ดูเหมือนจะมีเสถียรภาพ แต่พบว่าการใช้เงินหลักที่หมุนเวียนในประเทศ 90 – 90% จะเป็นเงินดอลล่าร์สหรัฐ ทีเริ่มใช้มาตั้งแต่ยุคงสิ้นสุดยุคเขมรแดงในปี 2522 ส่งผลให้เงินสกุลท้องถิ่นอย่างเงินเรียล (Riel) ไม่เป็นที่นิยมมากนัก ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือ ดึงเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ รักษาอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำ ข้อเสียคือรัฐบาลมีเครื่องมือทางการเงินน้อยเมื่อเจอปัจจัยเสี่ยงภายนอก ปัจจุบันพยายามส่งเสริมให้ใช้เงินเรียลมากขึ้น เช่น การจ่ายเงินเดือนของราชการ การให้ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินมียอดสินเชื่อที่เป็นเงินเรียลไม่ต่ำว่า 10% เพื่อปล่อยสินเชื่อเป็นเงินเรียลมากขึ้นและให้มีผลบังคับใช้ภายในสิ้นปี 2562 นี้

ที่มา: http://www.exim.go.th/doc/adn/49815_0.pdf

23 มกราคม 2561

ส่องธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในกัมพูชา : โตไม่หยุด…ฉุดไม่อยู่

เศรษฐกิจกัมพูชาถือว่าร้อนแรงมากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานี้ โดยโตเฉลี่ย 7% ส่งผลต่อธุรกิจก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ที่ยอดเติบโตพุ่งสูงขึ้นจากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นทำให้มีการขยายเมืองสร้างที่อยู่อาศัย ที่สำคัญคือระบบโครงสร้างพื้นฐานโดยรัฐให้เอกชนเข้ามาลงทุนหรือการลงทุนร่วมกันในหลายๆ โครงการ และโครงการใหญ่อย่างการก่อสร้างทางพิเศษทั่วประเทศภายใต้แผน Expressway Master Plan ทั้งนี้ยังอนุญาตให้ต่างชาติถือหุ้นได้ร้อยละ 100 ในบริษัทที่รับงานก่อสร้างในกัมพูชา ในปี 2561 พบว่าในพนมเปญคาดว่าจะมีการก่อสร้างคอนโด 22,366 ยูนิต รวมทั้งศูนย์การค้าและโรงแรมก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ซึ่งการยายตัวดังกล่าวโอกาสทางธุรกิจของนักลงทุนไทยไม่ว่าจะเป็น การจำหน่ายวัตถุดิบการก่อสร้าง การตกแต่งภายใน เฟอร์นิเจอร์ตกแต่ง การเข้าไปประมูลรับงานเองหรือการรับช่วงต่อล้วนเป็นโอกาสที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

ที่มา: http://www.exim.go.th/doc/newsCenter/48325.pdf

วันที่ 9 มกราคา 2560

ชำระเงินค่ำสินค้ำวิธีไหน เหมาะกับการค้ำไทยและ สปป.ลาว

เศรษฐกิจ สปป.ลาว ขยายตัวสูงเฉลี่ยกว่าร้อยละ 7 ต่อปีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ทำให้มีพลังในการบริโภคมากขึ้นและสินค้าไทยเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคที่นิมมากที่สุดเพราะชายแดนที่ติดกันมีการคมนาคมขนส่งสะดวกขึ้น และไทยครองอันดับหนึ่งจากการนำเข้าของสปป.ลาวมาตลอดและเกือบทั้งหมดเป็นการค้าผ่านชายแดน ซึ่งในปัจจุบันการชำระเงินซื้อขายสินค้ามีอยู่ 2 รูปแบบคือ 1.แบบไม่ผ่านระบบธนาคาร เช่น การใช้เงินสด จะเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เงินบาทไทย ส่วนเงินกีบไม่เป็นที่นิยมมากนักเพราะไม่ค่อยมีเสถียรภาพ และการชำระเงินผ่านนายหน้า (โพยก๊วน) นิยมในแถบชายแดนเฉพาะกลุ่ม SME โดยผ่านคนกลางและค่าธรรมเนียมที่ไม่สูง 2.แบบผ่านธนาคาร เช่น การชำระเงินผ่านบัญชีธนาคาร ชาวสปป.ลาวสามารถข้ามมาเปิดบัญชีเงินบาทประเภทผู้ไม่มีถิ่นฐานในไทย และการชำระเงินเงินในรูปแบบการค้าระหว่างประเทศสากล ส่วนใหญ่จะเป็นการค้ามูลค่าสูง

ที่มา: http://www.exim.go.th/doc/newsCenter/49554.pdf

มีนาคม 2561

เมียนมาดึงดูดการค้า-การลงทุนต่างชาติ

นับตั้งแต่รัฐบาลพลเรือนขึ้นสู่อำนาจเมื่อปี 2559 ด้านเศรษฐกิจมีการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ เพื่อส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ นโยบายส่งเสริมให้เอื้อต่อการลงทุน อาทิ นโยบายเศรษฐกิจ 12 ประการ ที่มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและทั่วถึง และกฎหมายส่งเสริมการลงทุนใหม่ 2 ฉบับ ได้แก่ (1) กฎหมายการลงทุนเมียนมา (Myanmar Investment Law) ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีแตกต่างกันไประดับการพัฒนาของพื้นที่ และ (2) กฎหมายบริษัทเมียนมา (Myanmar Companies Law) อนุญาตให้ต่างชาติสามารถถือหุ้นได้ร้อยละ 35 และอำนวยความสะดวกการจัดตั้งบริษัทผ่านระบบออนไลน์ ปัจจุบันการลงทุนของต่างชาติมีมูลค่าถึง 7.685 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ เช่น ในสาขาเชื้อเพลิง พลังงาน การผลิต การขนส่ง ฯลฯ โดยชาติที่เข้ามาลงทุนมากที่สุด ได้แก่ จีน สิงคโปร์ และไทยตามลำดับ

ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

เวียดนามลงทุนไฮสปีด

ปัจจุบันรัฐบาลเวียดนามอยู่ระหว่างศึกษาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าทั้งแบบยกระดับและใต้ดินภายใน 2 ใหญ่อย่างฮานอยและโฮจิมินห์ เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจร สำหรับแผนลงทุนในระยะแรกช่วงปี 2561-2573 ของทั้งสองเมืองอยู่ที่ 5.38 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังมีแผนศึกษาความเหมาะสมเพื่อลงทุนก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง 350 กม./ชม.ซึ่งจะเป็นเส้นทางจากเหนือไปใต้ช่วงฮานอย-โฮจิมินห์ ระยะทางรวม 1,570 กม. ขนาดราง 1.45 เมตร วงเงินลงทุน 1.75 ล้านล้านบาท หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ และเป็นการจัดผังเมืองใหม่ โดยเส้นทางดังกล่าวเป็นหนึ่งในเส้นทางสายไหมที่จะเชื่อมจากปักกิ่ง-หนานหนิงของจีน

ที่มา: https://www.posttoday.com/aec/column/569664