RTAD พร้อมดำเนินการลงทะเบียนยานพาหนะ

สำนักงานฝ่ายบริหารการขนส่งทางถนน (RTAD) จะดำเนินการจดทะเบียนรถยนต์ต่อจากวันนี้สำหรับลูกค้าที่ทำการจองทางออนไลน์ที่สำนักงานเซาท์เดกอนก ลูกค้าสามารถนำรถยนต์มาตรวจสอที่บสำนักงาน ในช่วงฤดูฝนพื้นถนนรอบสำนักงานไม่สามารถใช้สัญจรได้ แต่ตอนนี้การบำรุงรักษาถนนเสร็จสมบูรณ์สำนักงานจะกลับมาใช้งานได้เป็นปกติ ค่าปรับที่เกินกำหนดจะผ่อนผันตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายนถึง 31 กรกฎาคมสำหรับผู้ที่ลงทะเบียนที่ถูกต้องตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม 2563 ค่าปรับสำหรับการต่ออายุใบขับขี่จะลดลงขึ้นอยู่กับวันหมดอายุ ส่วนการสอบการขับขี่ใหม่นั้นยังคงถูกระงับไว้ก่อน

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/rtad-resumes-vehicle-registrations.html

บิ๊กตู เข้มทุกกระทรวงใช้งบประมาณตรงตามเป้า

นายกฯ สั่งทุกหัวหน้าส่วนราชการบริหารงบช่วงที่เหลือ พร้อมสั่งสำนักงบประมาณ ทบทวนรายละเอียดคำขอปี 64 ต้องปรับงบหรือเติมงบอะไรมาเพิ่ม เพื่อประคองประเทศ โดยขอให้เร่งรัดขับเคลื่อนการปฏิบัติราชการและการใช้จ่ายงบประมาณในช่วงไตรมาส ที่ 3 – 4 ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดตามแผนปฏิบัติราชการและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 63 โดยขอให้น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้เป็นหลักคิด ในการกำหนดแผนงานและโครงการ ทั้งยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลของข้าราชการและ เจ้าหน้าที่ เพื่อให้พร้อมต่อการทำงานที่ต้องอาศัยการใช้ประโยชน์จากข้อมูลขนาดใหญ่

ที่มา: https://www.dailynews.co.th/economic/778732

ญี่ปุ่นให้เงินมากกว่า 123 พันล้านกีบสำหรับการตอบสนองต่อ Covid-19

รัฐบาลญี่ปุ่นให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุนกว่า 123 พันล้านคิป (1.5 พันล้านเยน) สำหรับการซื้อเครื่องมือแพทย์เพื่อสนับสนุนในการรับมือกับการระบาดของโควิด -19 เงินทุน 1.5 พันล้านเยน (US $ 13.7 ล้าน) จะถูกนำไปใช้ในการจัดหาอุปกรณ์ให้กับรัฐบาลสปป.ลาว การลงนามในครั้งนี้ญี่ปุ่นมีจุดมุ่งหมายในการสนับสนุนสปป.ลาวในความพยายามอย่างต่อเนื่องในการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน สอดคล้องกับแนวคิด“ ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” ซึ่งอุปกรณ์การแพทย์ที่ให้ไว้ภายใต้โครงการนี้คาดว่าจะนำไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพทั่วสปป.ลาวโดยเฉพาะในชุมชนท้องถิ่นที่ระบบการดูแลสุขภาพยังไม่มีประสิทธิภาพ การแพร่กระจายทั่วโลกของ Covid-19 ก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อเศรษฐกิจและผู้คนของทุกประเทศรวมถึงสปป.ลาวและญี่ปุ่น ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความพยายามร่วมกันเพื่อลดผลกระทบของโรคร้ายแรงนี้ทั้งในด้านเศรษฐกิจและระบบสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพ

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Japan_108.php

เวียดนามเผยส่งออกข้าวเพิ่มขึ้น 18.9% ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้

ปริมาณส่งออกข้าวของเวียดนามในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2563 อยู่ที่ 2.9 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 1.41 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 ในเขิงปริมาณ และเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.9 ในเชิงมูลค่า จากรายงานของกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า (MOIT) ระบุว่าสถานการณ์การส่งออกข้าวในปีนี้ เวียดนามมีโอกาสสูงที่แซงไทย เนื่องจากเวียดนามมีความสามารถในการแข่งขันทางด้านราคามากกว่าไทย ทั้งนี้ ในช่วง 4 เดือนแรกปีนี้ ฟิลิปปินส์เป็นผู้นำเข้าข้าวเวียดนามรายใหญ่ที่สุด จำนวน 902,100 ตัน และมูลค่า 401.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.4 และ 26.0 ตามลำดับ จากข้อมูลข้างต้นนั้น เป็นผลมาจากเวียดนามกลับมาส่งออกข้าวอย่างเต็มรูปแบบ ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. เป็นต้นมา ราคาธัญพืชเวียดนามปรับตัวสูงขึ้นระดับสูงสุด แตะเฉลี่ยอยู่ที่ 527 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.4 เมื่อเทียบกับปีก่อน รวมถึงราคาข้าวในช่วง 5 เดือนแรกปีนี้ เฉลี่ยอยู่ที่ 485 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 13 เมื่อเทียบกับปีก่อน

ที่มา : https://vnexplorer.net/vietnams-rice-export-revenue-increased-18-9-in-the-first-five-months-a202047999.html

‘เวียดนาม’ติดท็อป 15 ประเทศเกษตรกรรมชั้นนำโลก

เวียดนามตั้งเป้ายกระดับภาคเกษตรกรรมให้เป็น 1 ใน 15 ประเทศที่มีการพัฒนาด้านการเกษตรระดับโลก ภายในปี 2573 ด้วยการเป็นผู้นำด้านการแปรรูปอาหาร 10 อันดับแรกกของทั่วโลก ซึ่งเป้าหมายดังกล่าวถูกดำเนินงานภายใต้คำสั่งรัฐบาลเวียดนามที่ No25/CT-TTg โดยมีการกำหนดภารกิจและแนวทางในการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตร ป่าไม้ ประมง รวมถึงเครื่องจักรกลทางการเกษตรในสัปดาห์นี้ ในขณะเดียวกัน คำสั่งรัฐบาลยังตั้งเป้าให้เวียดนามเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์การเกษตรชั้นนำของโลกและการแปรรูปเชิงลึก ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี เหวียนซวนฟุก ขอความร่วมมือสำนักงานรัฐมนตรี คณะกรรมการประชาชนในท้องถิ่นให้ดำเนินงานที่ได้รับมอบหมาย เพื่อมุ่งเน้นในการส่งเสริมอุตสาหกรรมแปรรูปและเครื่องจักรกลเกษตร นอกจากนี้ ทางกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนท (MARD) เร่งพิจารณาในการปรับปรุงแผนฉบับก่อนเกี่ยวกับเครื่องจักรกลเกษตรและอุตสาหกรรมแปรรูป เพื่อบูรณาการเข้ากับแผนพัฒนาระดับชาติ จังหวัดและท้องถิ่น

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/vietnams-agriculture-to-be-worlds-top-15-most-developed/174497.vnp

ผลผลิตน้ำตาลเมียนมาต่ำสุดในรอบ 7 ปี

รองประธานสมาคมผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์น้ำตาลและอ้อยเมียนมากล่าวว่าการผลิตอ้อยในเมียนมาคาดว่าจะลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 7 ปี ในปีงบประมาณ 2563-2564 จากความต้องการของตลาดโลกที่ลดลง เมียนมาส่งออกน้ำตาลดิบที่ไม่ผ่านการกลั่นไปยังจีน อย่างไรก็ตามจีนได้เพิ่มภาษีนำเข้าเป็นร้อยละ 85 และปราบปรามผู้ค้าที่ผิดกฎหมายตั้งแต่ปี 2560 ซึ่งนำไปสู่อุปทานส่วนเกินในปัจจุบัน เป็นผลให้การส่งออกน้ำตาลได้ลดลงในช่วงสองปีที่ผ่านมา ในอนาคตคาดว่าเกษตรกรจะลดการปลูกอ้อยอย่างค่อยเป็นค่อยไปในปีงบประมาณ 2553-2564 ที่ลดลงเหลือเพียง 350,000 เอเคอร์ หรือลดลงร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับเจ็ดปีที่ผ่านมาและเป็นสถิติต่ำที่สุด นอกเหนือจากประเทศจีนแล้วมีเพียงไม่กี่ประเทศที่นำเข้าน้ำตาล ส่วนใหญ่ที่ผลิตได้ในตอนนี้จึงถูกนำไปใช้ในการบริโภคภายในประเทศ เมื่อพื้นที่เพาะปลูกลดลงโรงงานจะปิดตัวลงอย่างช้า ๆ และอาจต้องนำเข้าน้ำตาลเพื่อบริโภคแทนเนื่องจากชาวไร่อ้อยจะไม่ปลูกถ้าไม่ทำกำไร

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/myanmar-sugar-production-hit-lowest-level-seven-years.html

พาณิชย์ปรับแผนเจรจาขายข้าวไทยผ่านออนไลน์

กรมการค้าต่างประเทศเผยข้าวไทยยังเป็นที่ต้องการตลาดโลกพร้อมทั้งปรับแผนการเจรจาขายข้าวผ่านระบบออนไลน์ จี้จีนเร่งซื้อข้าวจีทูจีตามสัญญาที่เหลืออีก 3 แสนตัน เพราะหลังจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้การเดินทางไปพบปะกันทำได้ยากขึ้น จึงต้องหันไปใช้ช่องทางออนไลน์ เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ทั้งนี้ ในส่วนของฟิลิปปินส์ กำลังจะเปิดประมูลข้าวจำนวน 3 แสนตัน ซึ่งไทยจะมีการยื่นประมูลด้วยในวันที่ 8 มิ.ย.63 คาดว่าไทยน่าจะแข่งขันประมูลได้ ส่วนมาเลเซีย ยังรอดูสถานการณ์ ขณะที่อินโดนีเซีย ก็เช่นเดียวกัน ยังรอดูสถานการณ์อยู่ แต่มั่นใจว่า หากมีความต้องการซื้อข้าว ไทยจะสามารถขายให้ได้ และกำลังเจรจาผลักดันให้จีนปิดการซื้อขายข้าวจีทูจีในส่วนที่เหลือ 3 แสนตันของสัญญา 1 ล้านตันแรกให้จบ เพราะขณะนี้ รถไฟไทย-จีน สัญญา 2.3 มีความคืบหน้า จะมีการลงนามกันในเร็วๆ นี้ ซึ่งในส่วนของการซื้อข้าวและยางพาราจากไทย ก็ควรจะมีข้อยุติด้วย ความต้องการข้าวจะยังคงมีเข้ามาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ต้องระวังเรื่องการแข่งขันจากคู่แข่ง โดยเวียดนามได้ยกเลิกการห้ามส่งออกข้าวแล้ว และปีนี้ยังตั้งเป้าส่งออกประมาณ 7 ล้านตัน ใกล้เคียงกับไทยที่ตั้งเป้า 7.5 ล้านตัน ส่วนอินเดีย เพิ่มปลดล็อกให้มีการส่งออกได้ ก็จะเป็นคู่แข่งที่สำคัญในตลาดข้าวของไทย

ที่มา: https://www.dailynews.co.th/economic/778630