เมียนมาเดินหน้าระบบใบอนุญาตก่อสร้างอาคารออนไลน์ใหม่ในย่างกุ้งยัง

IFC ซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่มธนาคารโลกได้ให้การสนับสนุนการควบคุมอาคารของคณะกรรมการพัฒนาเมืองย่างกุ้ง (YCDC) ในการปฏิรูประบบใบอนุญาตก่อสร้างและปรับปรุงความสะดวกในการทำธุรกิจในเขตเมือง ระบบใบอนุญาตก่อสร้างอาคารนี้เปิดให้บริการออนไลน์ในวันที่ 1 ก.ค.ไปจนถึงสิ้นปี ระบบนี้คาดว่าจะลดเวลาการดำเนินการสำหรับ 90% ของใบอนุญาตก่อสร้าง 4,000 รายการที่ส่งมาในทุกปีจากเวลาเฉลี่ย 95 วันเป็น 49 วัน ระบบใบอนุญาตสร้างออนไลน์ใหม่มีให้บริการในภาษาอังกฤษและภาษาเมียนมาซึ่งสร้างขึ้นเองสำหรับ YCDC ‘การจัดการกับใบอนุญาตก่อสร้าง’ เป็นหนึ่งใน 10 ตัวชี้วัดที่ใช้ในการกำหนดดัชนีความง่ายในการทำธุรกิจซึ่งขณะนี้ติดอันดับ 171 จาก 190 ประเทศ และเมื่อเทียบกับภาคอื่นภาคการก่อสร้างมีศักยภาพในการสร้างรายได้สูงสุด ระบบใบอนุญาตที่มีประสิทธิภาพโปร่งใสและราคาไม่แพงจะทำให้สภาพแวดล้อมทางธุรกิจเอื้ออำนวยในประเทศ

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/yangon-trials-digital-construction-permit-system.html

อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็นเวลาเก้าเดือนติดต่อกัน

จากตัวเลขของกระทรวงวางแผนและการเงิน เดือน เม.ย.61 ถึงเดือน มิ.ย. 62 อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 1.53% ถึง 3.27% นานถึง 9 เดือนติดต่อกันของปีงบประมาณปัจจุบัน อัตราเงินเฟ้อเมื่อเทียบเป็นรายปีคาดแตะระดับ 4.10% และอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยอยู่ที่ 4.81% ในปี 61-62 อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยที่คำนวณโดยใช้ปี 55 เป็นปีฐานอยู่ที่ 8.08% และอัตราเงินเฟ้อปีต่อปีคิดเป็น 9.51% ในช่วงปลายเดือน มิ.ย. เขตมะกเวมีค่าสูงสุดอยู่ที่ 12.31% รองลงมาคือรัฐมอญ 10.14% และมัณฑะเลย์ 9.99% ในเดือน พ.ย. 55 องค์กรสถิติกลางได้ทำการสำรวจครัวเรือนและการบริโภคของครัวเรือน 32,669 ครัวเรือนใน 82 เมืองทั่วประเทศเพื่อคำนวณดัชนีราคาผู้บริโภคและอัตราเงินเฟ้อ ในอดีตอัตราเงินเฟ้อคำนวณโดยใช้ปี 49 เป็นปีฐาน ปัจจุบันปี 55 ถูกใช้เป็นปีฐานในการคำนวณอัตราเงินเฟ้อ

ที่มา : https://elevenmyanmar.com/news/average-inflation-rate-increases-for-nine-consecutive-months

ธนาคารโลกมองในเชิงบวกเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจในสปป.ลาว

ธนาคารโลกมองในเชิงบวกเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจในสปป.ลาวซึ่งคาดว่าจะฟื้นตัวเป็น 6.5% ในปี 62 เพิ่มขึ้นจาก 6.3% ในปี 61 แม้จะมีการเข้มงวดด้านการคลังอย่างต่อเนื่อง แต่คาดว่าการเบิกจ่ายจะได้รับแรงหนุนจากการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่รวมถึงรถไฟจีน – สปป.ลาว อีกทั้งจะได้รับแรงหนุนจากภาคบริการที่ยืดหยุ่น นำโดยการเติบโตของการค้าส่งและค้าปลีกที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง ในขณะเดียวกันรัฐบาลสปป.ลาวยังคงมุ่งมั่นที่จะรวมงบการเงินเพื่อควบคุมภาระหนี้สาธารณะในระยะปานกลาง สิ่งนี้จะส่งผลให้การขาดดุลการคลังลดลงจาก 4.4% ของ GDP ในปี 61 ถึง 4.3% ในปี 62 อย่างไรก็ตามสปป.ลาวมีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นหนี้และมีมาตรการหลายอย่างที่จะต้องดำเนินการเพื่อจัดการกับสถานการณ์นี้  สิ่งสำคัญที่จะต้องปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจเพื่อสนับสนุนการพัฒนาภาคเอกชนรวมถึงการเติบโตของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมาตรการเหล่านี้สามารถช่วยรักษาสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจมหภาคที่มั่นคง ส่งเสริมการสร้างงานและลดความยากจนและความไม่เท่าเทียม

ที่มา : http://www.xinhuanet.com/english/2019-08/13/c_138305713.htm

สปป.ลาวต้องการส่งออกทางรถไฟบรรทุกสินค้ามายังประเทศไทยมากขึ้น

บริการรถไฟบรรทุกสินค้าข้ามพรมแดนที่เปิดตัวใหม่ระหว่างสปป.ลาวและไทยต้องการการขนส่งสินค้าจาก      สปป.ลาวมากขึ้นเพื่อลดความไม่สมดุลของการค้า รถไฟสามารถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์เข้าและออกได้ 10 ถึง 20 ตู้ทุกวัน แต่จำนวนผู้ส่งออกน้อยกว่าจำนวนผู้นำเข้า นี่เป็นปัญหาที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องจัดการด้วยการทำงานร่วมกัน ซึ่งการมีบริการรถไฟบรรทุกสินค้าเป็นสิ่งที่ดีต้นทุนการขนส่งจะลดลงเพราะบริษัท สามารถส่งออกสินค้าได้มากขึ้น แต่บริการนี้จะต้องมีสินค้าจำนวนมากสำหรับการจัดส่งแบบสองทาง อีกทั้งความไม่สมดุลของการขนส่งสินค้าที่เข้าและออกจากสปป.ลาวเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย มีสินค้าจำนวนมากถูกนำเข้ามาในสปป.ลาว แต่มีการส่งออกไปนอกประเทศเพียงเล็กน้อยซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจขนส่งสินค้า

ที่มา : http://www.xinhuanet.com/english/2019-08/13/c_138305734.htm

รัฐมนตรีขอให้ บริษัท ญี่ปุ่นพิจารณาตลาดในประเทศ

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทองขอนกระตุ้นให้ธุรกิจญี่ปุ่นพิจารณาการลงทุนในภาคการท่องเที่ยวของกัมพูชา ซึ่งในการพับหารือกับเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวกล่าวว่าจำนวนนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยทางกัมพูชากล่าวว่าต้องการลงทุนบนโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น เพื่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกและเป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี ซึ่งในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 มีนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นมาเยือนกัมพูชาประมาณ 100,000 คนเพิ่มขึ้น 3% จากปี 2561 โดยปีที่แล้วโครงการลงทุนของญี่ปุ่น 6 โครงการมีมูลค่ากว่า 800 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยกัมพูชาตั้งเป้าที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นมากกว่า 300,000 คนต่อปีภายในปี 2563 และการค้าระหว่างกัมพูชากับญี่ปุ่นมีมูลค่าสูงถึง 1 พันล้านเหรียญสหรัฐในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 เพิ่มขึ้นถึง 16.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากรายงานล่าสุดขององค์การการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (Jetro)

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50633272/minister-asks-japanese-firms-to-consider-local-market/

แผนการเพาะปลูกตามสัญญาที่เพิ่มขึ้นในกัมพูชา

กระทรวงเกษตรกล่าวว่าเกษตรกรและผู้ค้าเริ่มตระหนักถึงประโยชน์ของข้อตกลงในการทำการเกษตร โดยตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงกรกฎาคมมีการเซ็นสัญญาในภาคการผลิตข้าวถึง 60 โครงการ ซึ่งมากกว่าในช่วงเดี่ยวกันของปีที่แล้วถึง 20 โครงการ โดยการทำสัญญาระหว่างผู้ซื้อและเกษตรกรที่จะทำการส่งมอบพืชผลในอนาคตตามวัน เวลารวมถึงกำหนดจำนวน คุณภาพและราคาไว้ล่วงหน้า ซึ่งปีนี้ผู้ผลิตข้าวได้ลงนามข้อตกลงกับสหกรณ์การเกษตรจาก 10 จังหวัด โดยลำดับความสำคัญคือการเพิ่มจำนวนการทำสัญญาทั่วประเทศเพราะเมื่อมีการทำสัญญาดังกล่าวเกิดขึ้นเกษตรกรจะได้รับการรับประกันว่าจะมีผู้ซื้อมารอรับซื้อพืชผลทางการเกษตรจากเกษตรกรแน่นอน ภายใต้ข้อตกลงข้างต้น รวมถึงการจัดหาผู้ค้ารายใหม่เพื่อเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย และเป็นการเพิ่มมูลค่าของสินค้าทางการเกษตรภายในกัมพูชา

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50633015/contract-farming-schemes-on-the-rise-ministry/