เมียนมาอนุญาตนำเข้าหัวหอมหากราคาท้องถิ่นยังสูงอยู่

เมียนมาอนุญาตให้นำเข้าหัวหอมตามนโยบายหากราคาหัวหอมยังคงมนประเทศเพิ่มขึ้น ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ราคาหัวหอมมีความผัน แต่ปีนี้ราคาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ตามนโยบายการนำเข้าหัวหอมจะได้รับอนุญาตให้เข้าเข้าหากราคาหัวหอมสูง และเมียนมาความพยายามรักษาเสถียรภาพของราคาหัวหอม และไม่อนุญาตให้นำเข้าในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวหัวหอมในประเทศ การนำเข้าหัวหอมจะได้รับอนุญาตหากราคาหัวหอมพุ่งสูงขึ้นเท่านั้น ปัจจุบันราคาหัวหอมต่อ viss คือ 550-925 จัต ในวันที่ 4 กันยายน, 700-1,350 จัต ในวันที่ 4 ตุลาคมและ 1,200-2100 จัตในวันที่ 4 พฤศจิกายน และเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายนที่ผ่านมาราคาสูงถึง 2,800-3,100 จัตต่อ viss

ที่มา: https://elevenmyanmar.com/news/onion-import-will-be-allowed-if-onion-price-continues-to-rise-dy-minister

โรงงาน Toyo Ink เริ่มดำเนินการในเมียนมา

พิธีเปิดอย่างยิ่งใหญ่ของโรงงาน Toyo Ink มูลค่า 8.4 ล้านเหรียญสหรัฐจัดขึ้นเขตเศรษฐกิจพิเศษติลาวา (SEZ) ในเมืองสิเรียม เมื่อวันที่ 30 พ.ย. ที่ผ่านมาและจะเริ่มดำเนินการวันที่ 1 ธันวาคม บริษัท ได้รับการยกเว้นภาษีห้าปีจากรัฐบาลเนื่องจากเป็นการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษติลาวา ในปัจจุบันมีพนักงาน 20 คนและใช้เวลาประมาณปีกว่าเพื่อเตรียมโรงงาน บริษัทผลิตหมึกสำหรับอุตสาหกรรมการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์อาหารโดยมีการลงทุนใน 23 ประเทศรวมถึงไทยและอินโดนีเซีย บริษัท ก่อตั้งขึ้นในปี 2529 และมีวัตถุประสงค์เพื่อขยายธุรกิจในเมียนมา พื้นที่ 99% ของ 405 เฮกตาร์ในโซน A ของเขตเศรษฐกิจพิเศษติลาวา ขายไปแล้วและประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ของโซน B ขายไปแล้ว ขณะที่โตโยต้ากำลังสร้างโรงงานประกอบรถยนต์บนพื้นที่ 21 เฮคเตอร์ที่โซน B และวางแผนที่จะเริ่มการผลิตในปี 2564

ที่มา: https://elevenmyanmar.com/news/us84-m-worth-toyo-ink-factory-to-start-run-in-myanmar

รัฐบาลเมียนมาใช้สนธิสัญญายุติการใช้แรงงานเด็ก

รัฐบาลกำลังขอความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรเมียนมา (Pyidaungsu Hluttaw) เพื่อรับรองสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่บังคับให้หยุดการใช้แรงงานเด็ก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานตรวจคนเข้าเมืองและประชากรกล่าวกับที่ประชุมเมื่อวันอังคารเกี่ยวกับประเด็นสำคัญของอนุสัญญาว่าด้วยอายุขั้นต่ำ (138) ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) รวมถึงการยกเลิกการใช้แรงงานเด็ก ภายใต้อนุสัญญา 138 อายุขั้นต่ำของการทำงานคือ 15 ปี แต่ประเทศที่ยังไม่พัฒนาอย่างเมียนมาซึ่งสามารถลดอายุขั้นต่ำไว้ที่ 14 ปี

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/govt-seeks-adopt-treaty-ending-child-labour.html

มัณฑะเลย์ดึงดูดนักท่องเที่ยวกว่าครึ่งล้านคน

10 เดือนแรกของปีนี้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่า 500,000 คน มาเยือนมัณฑะเลย์ และคาดมีจำนวนถึง 600,000 คนในปีนี้ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวมากขึ้นจำเป็นต้องมีการขนส่งที่ดีขึ้นและลดขั้นตอนการขอวีซ่า เนื่องจากเดือนที่เหลือของปีนี้เป็นฤดูท่องเที่ยวจำนวนอาจเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ส่วนใหญ่เป็นชาวจีนเกือบ 400,000 คนตามด้วยชาวสเปน เยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี อเมริกัน และอินเดีย สำหรับมาตรการผ่อนคลายวีซ่ามีผลบังคับใช้ไปเมื่อปีที่แล้วเพื่อความสะดวกในการเดินทางเข้าประเทศสำหรับนักท่องเที่ยวชาวจีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น และมีแผนผ่อนคลายวีซ่าสำหรับชาวตะวันตกอีกด้วย ชาวยุโรปเริ่มให้ความสนใจในการมาเยือนมากขึ้นหลังจากที่เขตโบราณคดีพุกามในมัณฑะเลย์ได้รับยกระดับเป็นมรดกโลกเมื่อต้นปีที่ผ่านมา แม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นแต่สำคัญคือต้องคำนึงถึงคุณภาพของนักท่องเที่ยวด้วย ดังนั้นมัณฑะเลย์จึงต้องการนักท่องเที่ยวที่เชื่อฟังกฎระเบียบและไม่ทำลายสภาพแวดล้อม

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/mandalay-attracts-over-half-million-tourists.html

บริษัทเริ่มใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพผลผลิตการเกษตรในรัฐฉาน

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา AEG Agriculture ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MoU) ร่วมมือกันในการลงทุนกับรัฐฉาน ถือเป็นการเริ่มต้นในการให้บริการเทคโนโลยีแก่การเกษตรในท้องถิ่น ด้วยการใช้ระบบความแม่นยำที่ชาญฉลาด HydroPlant ที่จะให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับสภาพอากาศ สภาพดิน และรายละเอียดอื่น ๆ ที่จำเป็นสำหรับการเพาะปลูก ระบบอัจฉริยะนี้นำเสนอข้อมูลที่เกษตรกรต้องการผ่านสมาร์ทโฟนรวมถึงระบบควบคุมอัตโนมัติ AEG Agriculture ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์บนพื้นที่ 5,000 ไร่ในรัฐฉานด้วยความช่วยเหลือจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ซึ่งสามารถบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เมื่อต้นปีที่ผ่านมา HydroPlant ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในห้าเทคโนโลยีที่เข้าร่วมโครงการ Cohort 3 ของ Phandeeyar Accelerator สตาร์ทอัพรุ่นใหม่ ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นและเติบโตเทคโนโลยีใหม่ๆ ของเมียนมา

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/firms-use-technology-optimise-agriculture-yields-shan.html

มูลค่าการค้าโดยรวมเพิ่มขึ้นราว 590 ล้านเหรียญสหรัฐ

รายงานของกระทรวงพาณิชย์ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.ถึง 15 พ.ย.ของปีงบประมาณนี้มูลค่าการค้ารวมแตะที่ 4.598 ล้านเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้น 587.875 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ขาดดุลการค้าเกือบ 20 ล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็นมูลค่าการส่งออกถึง 2.289 พันล้านเหรียญสหรัฐในขณะที่มูลค่าการนำเข้าแตะ 2.309 พันล้านเหรียญสหรัฐ ดุลการค้าขาดดุลลดลงกว่า 550 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ เกษตร, สัตว์, ทะเล, ป่าไม้, เหมืองแร่, ธุรกิจเสื้อผ้าแบบ Cutting Marking Packaging (CMP) และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ สินค้านำเข้า ได้แก่ สินค้าทุน วัตถุดิบ และวัตถุดิบ CMP มูลค่าการค้าโดยรวมคาดว่าจะสูงถึง 34 พันล้านเหรียญสหรัฐในปีงบประมาณ 62-63 การส่งออกสามารถทำรายได้มากถึง 18 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 62-62 มูลค่าการค้ารวมแตะที่ 34,979 ล้านเหรียญสหรัฐสูงกว่าเป้าหมายที่ 31.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ

ที่มา : https://elevenmyanmar.com/news/total-trade-value-increases-by-around-590-m

นโยบายใหม่ต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมเหล็กเมียนมา

บริษัท ผู้ผลิตเหล็กระหว่างประเทศในเขตเศรษฐกิจพิเศษติลาว่า กำลังมองหาโอกาสเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านการผลิตเหล็กในมีเพียง 50,000 ตัน แต่ยังมีศักยภาพมากเนื่องจากประเทศยังต้องการการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมากซึ่งต้องใช้เหล็ก โอกาสการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) จึงมีแนวโน้มที่ดี คาดเติบโต 7% โดยได้รับการสนับสนุนจากธนาคารโลก ตลาดจะพัฒนาหากมีการสนับสนุนการผลิตเหล็ก ตอนนี้ส่วนใหญ่นำเข้าเป็นหลักซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตในอุตสาหกรรมท้องถิ่น ความต้องการอยู่ที่ประมาณ 2 ล้านถึง 2.5 ล้านตันต่อปี มากกว่า 90 % จากการนำเข้า อีกไม่กี่ปีความต้องการเหล็กจะเพิ่มขึ้นและทำไมต้องนำเข้าทั้งที่ผลิตได้เอง แต่ปัญหาคือการนำเข้าได้รับการยกเว้นภาษีซึ่งทำให้แข่งขันได้ยาก การนำเข้าส่วนใหญ่มาจากเวียดนามซึ่งได้รับการปกป้องด้วยนโยบายและกฎระเบียบ หากนโยบายที่คล้ายคลึงกันถูกนำไปใช้ในการผลิตเหล็กในประเทศจะเพิ่มขึ้นถึงห้าเท่าคือ 50,000, 000 ตันภายในสิบปี หากการผลิตเหล็กเติบโตขึ้นจะสามารถยับยั้งการไหลออกของเงินสำรองต่างประเทศและกลายเป็นผู้ส่งออกเหล็กได้ สามารถเพิ่มการจ้างงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/new-policies-needed-unleash-growth-steel-industry.html

ธนาคารเพื่อการท่องเที่ยวเมียนมาปล่อยสินเชื่อให้สมาคมการท่องเที่ยว

ธนาคารการท่องเที่ยวแห่งเมียนมา (MTB) ประกาศว่าจะเริ่มปล่อยกู้แก่สมาชิกสมาคมการท่องเที่ยวแห่งสหภาพเมียนมา (UMTA) ในเดือนนี้ MTB ประกาศสินเชื่อ SMEs สำหรับสมาชิก UMTA ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทท่องเที่ยวและการท่องเที่ยว อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกันกำหนดไว้ที่ 13% ต่อปีและผู้สมัครจะต้องทำประกันสำหรับสินเชื่อ (CGI) จากเมียนมาประกันภัย จำนวนเงินสูงสุดของสินเชื่ออยู่ที่ 20 ล้านจัต ด้วยเป็นธนาคารที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวจึงมุ่งปล่อยสินเชื่อให้กับภาคนี้ แต่ยังวางแผนที่จะให้การสนับสนุนแก่ภาคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องและธุรกิจอื่น ๆ ในมุมมองนักธุรกิจคิดว่าอัตราเงินกู้สูงเกินไป แต่ก็ประสบปัญหาในการขอสินเชื่อกับธนาคารอื่น จากสถิติของกระทรวงโรงแรมและการท่องเที่ยวมี บริษัทท่องเที่ยวและการท่องเที่ยวมากกว่า 2,500 แห่ง แต่ส่วนใหญ่เป็น SMEs ในขณะเดียวกัน UMTA มีสมาชิกประมาณ 1,000 คน MTB เป็นหนึ่งในห้าธนาคารเฉพาะกิจที่ได้รับอนุญาตจากธนาคารกลางของเมียนมา (CBM) ในปี 60 ก่อตั้งขึ้นโดย บริษัท การท่องเที่ยวสาธารณะ วัตถุประสงค์เพื่อปล่อยสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อช่วยเหลือภาคการท่องเที่ยว

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/bank-provide-tourism-association-members-no-collateral-loans.html

ยอดนักท่องเที่ยวผ่านชายแดนเมียนมามากว่า 1.1 ล้านคน

ตั้งแต่เดือน ม.ค. ถึง 21 พ.ย.62 มีนักท่องเที่ยวมากกว่า 1.1 ล้านคนเดินทางมาเมียนมาผ่านประตูชายแดนท่าขี้เหล็ก นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มาจากประเทศไทย จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาถึงสนามบิน ท่าเรือ และประตูด่านชายแดนระหว่างเดือน ม.ค. ถึงเดือน ก.ย. ของปีนี้เพิ่มขึ้นกว่า 600,000 คนเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ในปี 61 เดือน ม.ค. ถึงเดือ ธ.ค. นักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนกว่า 3.5 ล้านคน และ 3.4 ล้านคนในปี 60 ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ใช้ประตูชายแดนเพื่อเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศ

ที่มา: https://elevenmyanmar.com/news/over-11-m-tourists-visit-myanmar-via-border

รายได้จากการส่งออกทางทะเลมากกว่า 110 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในรอบเดือนนี้

เมียนมามีรายรับมากกว่า 110 ล้านเหรียญสหรัฐจากการส่งออกสินค้าทางทะเลในช่วงเวลาหนึ่งเดือนของปีงบประมาณนี้มากกว่า 18 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันก่อน ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.ถึง 8 พ.ย.ในปี 62-63 มูลค่าการส่งออกทางทะเล 114.582 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในขณะที่ปีที่แล้วมีมูลค่า 95.949 ล้านเหรียญสหรัฐฯ :ซึ่งมากกว่า 18.578 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ปัจจุบันปริมาณของสินค้าทางทะเลรวมถึง ปลา และกุ้งส่งออกน้อยกว่าของประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้นจำเป็นต้องปรับปรุงระบบการทำฟาร์มมากกว่าการใช้วิธีจับตามธรรมชาติ ด้วยความร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญจากอินโดนีเซีย ไต้หวัน และจีน กำลังสร้างฟาร์มปลา โรงงานอาหารปลา และโรงงานห้องเย็นโดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเป้าหมายในการสร้างรายได้สูงถึง 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีแผนที่จะให้สินเชื่อ SME เพื่อช่วยในการจัดหาพื้นที่ฟาร์มเพาะพันธุ์ปลาและกุ้ง

ที่มา: https://elevenmyanmar.com/news/over-110-m-earned-from-marine-export-in-a-month