ตั้งวอร์รูมกู้วิกฤตส่งออก เจาะ 5 ตลาดเป้าหมาย-เร่งค้าชายแดน

ภายหลังจากช่วงครึ่งปีแรกส่งออกไทยติดลบ 2.91% จากพิษสงครามการค้า และอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าอย่างหนักในรอบ 6 ปี กลไกการทำงานรัฐ-เอกชน ที่เรียกว่า “คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนด้านการพาณิชย์ หรือ กรอ.พาณิชย์” ตามนโยบายของ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ก็ได้เริ่มประชุมครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 14 ส.ค.ที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบในการตั้งคณะกรรมการวอร์รูม (War Room) เพื่อทำหน้าที่ติดตามประเมินสถานการณ์และวางแนวทางเจาะตลาดเป้าหมาย รวมถึงสินค้าเป้าหมายในแต่ละตลาดอย่างเร่งด่วนให้เห็นผลชัดเจนเป็นรูปธรรมภายใน 3-6 เดือน สำหรับตลาดมี 5 ตลาดหลัก คือ ตลาดกลุ่มอาเซียน และกลุ่ม CLMV จีน อินเดีย และตลาดตะวันออกกลาง เช่น ตลาดอิรัก ซึ่งที่เป็นตลาดสำคัญในการส่งออกข้าว รวมไปถึงกาตาร์ จอร์แดน คูเวต เป็นต้น ผลักดันและเพิ่มมูลค่าการค้าชายแดน ลดอุปสรรค ด้านสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เสนอให้ผลักดันการส่งออกควบคู่กับการตั้งวอร์รูม ผลักดันการเปิดตลาดและเจรจาการค้า เน้นเปิดตลาดใหม่ และฟื้นตลาดเดิมที่ซบเซา ขณะที่ นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้ยื่น 6 ข้อเสนอสมุดปกขาว ประกอบด้วย 1.การเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชน 2.เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเอกชน ยกระดับเอสเอ็มอี สินค้า บริการ ให้มีคุณภาพและมาตรฐานสากล 3.การพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ 4.สนับสนุนโครงการที่สำคัญของภาครัฐให้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง 5.เสริมสร้างธรรมาภิบาล และความรับผิดชอบต่อสังคม และ 6.ยกระดับทักษะความรู้และคุณภาพชีวิตทรัพยากรมนุษย์

ที่มา: https://www.prachachat.net/economy/news-361651

“ตลาดอี-คอมเมิร์ซเวียดนาม” มีโอกาสติดอยู่ในอันดับที่ 3 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

จากรายงานของฟอรั่มตลาดออนไลน์ ณ กรุงฮานอย ในวันที่ 14 สิงหาคมที่ผ่านมา เปิดเผยว่าตามรายงาน E-Business Index 2019 ที่ร่างโดยสมาคมอี-คอมเมิร์ซเวียดนาม ระบุว่าในปี 2561 ขนาดตลาดอี-คอมเมิร์ซเวียดนาม มีมูลค่ากว่า 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และคาดว่าภายในปี 2558-2561 จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 25 ต่อปี (CAGR) ด้วยมูลค่าของตลาดอี-คอมเมิร์ซจะพุ่งสูงขึ้นราว 33 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2568 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการดำเนินธุรกิจส่วนใหญ่ในรูปแบบนี้จะอยู่ในบริเวณเมืองใหญ่ ได้แก่ นครโฮจิมินห์ ฮานอย บิ่นห์เยือง และด่งนาย เป็นต้น นอกจากนี้ ต้องส่งเสริมผู้ประกอบการท้องถิ่นให้เกิดการพัฒนาทางด้านการทำธุรกิจในโลกออนไลน์ เพื่อให้สามารถแข่งขันธุรกิจได้ณ 1.5 ล้านคัน ลดลงร้อยละ 5.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/vietnams-ecommerce-market-may-rank-third-in-southeast-asia/157865.vnp

เวียดนามลงนามข้อตกลงการค้าการลงทุนกับประเทศอุรุกวัย

จากรายงานของสำนักงานส่งเสริมการค้า ภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรมเวียดนาม เปิดเผยว่าในวันพุธที่ผ่านมา ได้มีการลงนามทางด้านการค้าและการลงทุนระหว่างเวียดนามกับอุรุกวัย ซึ่งข้อตกลงดังกล่าว ถือว่าเป็นหลักฐานในการส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าระหว่างประเทศมากขึ้น ในขณะที่ ผู้อำนวยการส่งเสริมการค้าเวียดนาม หวังว่าทางหน่วยงานส่งเสริมการค้าของทั้งสองประเทศจะดำเนินการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ในการทำธุรกิจ เพื่อให้ผู้ประกอบการทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์มากขึ้น โดยจากตัวเลขสถิติการค้าระหว่างประเทศ ในปี 2561 พบว่ามูลค่าการค้าทวีภาคี (เวียดนาม-อุรุกวัย) อยู่ที่ 140 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 19 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งสินค้าส่งออกสำคัญของเวียดนาม ได้แก่ รองเท้า เครื่องนุ่งห่ม อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/524040/viet-nam-uruguay-ink-trade-investment-agreement.html#DdedxK2OyjooOXE6.97

เวิลด์แบงก์ช่วยแบงก์พาณิชย์เมียนมาเปลี่ยนการดำเนินธุรกิจ

ตามรายงานของธนาคารประชาชนพม่า (MCB) International Finance Corporation (IFC) ซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่มธนาคารโลกจะช่วยให้ธนาคารเอกชนเมียนมาดำเนินโครงการเพื่อเปลี่ยนการดำเนินธุรกิจ IFC และ MCB ได้ลงนามในข้อตกลงซึ่งจะเพิ่มการเข้าถึงทางการเงินซึ่งจะเสริมความแข็งแกร่งให้แก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) และกลุ่มลูกค้ารายย่อยและเป็นการส่งเสริมการดำเนินการของธนาคารให้ดีขึ้น จากดัชนีในปี 60 มีประขากรเพียง 26% ที่มีบัญชีธนาคาร ส่วน 7% ของ SMEs ที่มีวงเงินสินเชื่อหรือสินเชื่อและมากกว่า 56% ของวิสาหกิจไม่มีบัญชีออมทรัพย์หรือการตรวจสอบบัญชี การปฏิรูปธนาคารของรัฐบาลในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา IFC และ MCB กำลังสร้างสภาพแวดล้อมที่มั่นคงและแข็งแกร่งซึ่งจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นของนักลงทุน ปัจจุบันมีธนาคารของรัฐ 4 แห่ง, ธนาคารเอกชน 24 แห่งและธนาคารต่างประเทศ 13 แห่งที่ให้บริการ และธนาคารกลางอนุญาตให้ธนาคารเอกชนใหม่อีก 4 แห่งmujเปิดบริการในเดือนพฤษภาคม 61

ที่มา : http://www.xinhuanet.com/english/2019-08/15/c_138311046.htm

อุตสาหกรรมการก่อสร้างหวังลดภาษี

อุตสาหกรรมการก่อสร้างหวังจะได้รับการลดภาษีจากการเรียกร้องไปเมื่อปีที่แล้วแต่ไม่ได้รับการอนุมัติ ซึ่งตัดสินใจที่จะไม่ลดภาษีได้สร้างแรงกดดันให้กับอุตสาหกรรมที่ประสบปัญหาการชะลอตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์นับตั้งแต่ปี 57 คณะกรรมการกลางผู้ประกอบการก่อสร้างของเมียนมากล่าวว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์จำเป็นต้องได้รับการผ่อนปรนเพื่อให้ธุรกิจต่างๆ สามารถดำเนินโครงการต่างๆได้มากขึ้น โดยภาษีที่เสนอคือ 3% สำหรับการซื้อทรัพย์สินที่มีมูลค่าระหว่าง 1 จัต ถึง 100 ล้านจัต 5% สำหรับมูลค่าตั้งแต่ 100 ล้านจัต ถึง 300 ล้านจัต 10% สำหรับมูลค่าตั้งแต่ 300 ล้านจัตถึง 3 พันล้านจัตและ 30% สำหรับทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงกว่า 3 พันล้านจัต ด้านเลขาธิการสมาคมบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ของเมียนมาร์กล่าวว่าภาษีน่าจะเหมาะสำหรับผู้ที่มองหาที่พักอาศัยเป็นครั้งแรก จึงควรลดภาษีในครั้งแรกเพื่อเป็นทางเลือกในการผ่อนระยะยาว ซึ่งการลดภาษีเป็นเวลาสองถึงสามปีจะช่วยกระตุ้นตลาด สามารถนำรายได้จากภาษีให้กับรัฐบาลและช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจดีขึ้น อีกทั้งจะช่วยให้สามารถลงทุนได้มากขึ้นและเพิ่มทุนสำหรับการลงทุนและการขยายธุรกิจ

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/construction-industry-hoping-less-taxes.html

ถ้ำเขาลาวจะเปิดอีกครั้งหลังจากสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกเสร็จ

ถ้ำเขาลาวในหมู่บ้านน้ำอิง จังหวัดหลวงน้ำทาจะเปิดให้บริการอีกครั้งในปลายปีหลังจากถูกปิดเป็นเวลา 5 เดือนเพื่อให้สามารถสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับนักท่องเที่ยวได้ โดยทำการติดตั้งทางเดินและแสงสว่างภายในถ้ำ และยังมีศูนย์ข้อมูลร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกและห้องจัดแสดงศิลปะ ซึ่งถ้ำแห่งนี้อยู่ห่างจากเมืองหลักในเขตเวียงภูคาประมาณ 12 กม. และมีทางเข้าออกที่สะดวกสบาย เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวในช่วงฤดูหนาว โดยจังหวัดนี้มีโรงแรม 10 แห่ง ,รีสอร์ท 95 แห่ง ร้านอาหาร 178 แห่งและสถานบันเทิง 9 แห่ง นอกจากนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติอีก 55 แห่ง ตามข้อมูลของกระทรวงสารสนเทศวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวสปป.ลาว ซึ่งในช่วง 6 เดือนแรกของปีมีจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเยือนถึง 3 แสนคน ขณะที่ในปีที่แล้วมีนักท่องเที่ยวมาเยือนอยู่ที่ 755,530 คน

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/kaolao-cave-soon-reopen-after-new-facilities-built-102036

สหพันธ์ข้าวกัมพูชายืนยันความมุ่งมั่นที่จะส่งออกข้าวให้ได้ 1 ล้านตันต่อปี

คณะกรรมการใหม่ของสหพันธ์ข้าวกัมพูชาได้ประกาศที่จะขยายการส่งออกข้าวของประเทศให้สูงถึง 1 ล้านตันต่อปีภายในปี 2565 โดยจะเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของข้าวกัมพูชาให้เป็นแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักทั่วโลก และพัฒนาอุตสาหกรรมให้มีความเป็นธรรมโปร่งใสให้เกิดความยังยืน ซึ่งในปีที่แล้วมียอดส่งออกเพียง 620,000 ตัน ทางสมาคมจึงมีแนวคิดที่จะขยายไปสู่ตลาดใหม่และสร้างความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรม ไปจนถึงการทำสัญญาการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างผู้ผลิตและผู้ค้า โดยการส่งออกข้าวสารของประเทศเพิ่มขึ้น 3.7% ในช่วง 7 เดือนแรกของปี แตะระดับ 308,013 ตัน ซึ่งจีนยังคงเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของกัมพูชาโดยทำการนำเข้ากว่า 123,361 ตัน ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงกรกฎาคมเพิ่มขึ้น 40%

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50633658/crf-reaffirms-commitment-to-1m-tonne-rice-export-goal/

ตลาดหลักทรัพย์กัมพูชาขยายเวลาการซื้อขาย

ตลาดหลักทรัพย์กัมพูชาได้ขยายเวลาทำการในการซื้อขายเพื่อเพิ่มปริมาณการซื้อขาย โดยตลาดจะเปิดทำการ 7 ชั่วโมงต่อวันตั้งแต่ 8:00 น. – 15:00 น. จากแต่ก่อนที่เปิดทำการซื้อขายเพียง 3.5 ชั่วโมง ซึ่งเฉลี่ยแล้วมีการซื้อขายหุ้นมูลค่ากว่า 500,000 เหรียญสหรัฐทุกวันในช่วงไตรมาสที่ 2 จำนวนบัญชีซื้อขายได้เพิ่มขึ้นจาก 5,577 ในปี 2013 เป็น 21,471 ในขณะนี้ โดยปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเปลี่ยนชั่วโมงการซื้อขายคือการเพิ่มความสะดวกสบายให้กับนักลงทุน รวมถึงส่งเสริมให้มีการซื้อขายหลักทรัพย์มากขึ้นและเป็นการเพิ่มสภาพคล่องในตลาด ซึ่งเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงจะช่วยดึงดูดนักลงทุนมากขึ้นและเป็นการช่วยพัฒนาตลาดให้มีศักยภาพที่ดีขึ้น

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50633659/csx-extends-trading-hours/

กระทรวงพลังงานเร่งศึกษาเปิดสัมปทานแหล่งสำรวจปิโตรฯใหม่

รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน เปิดเผยภายหลังการประชุมมอบนโยบายด้านพลังงาน โดยการเปิดประมูลสัมปทานแหล่งสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบใหม่ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการในปี 63 ส่วนปัญหาพื้นที่ทับซ้อนแหล่งขุดเจาะก๊าซธรรมชาติ ไทย กัมพูชา จะเร่งทำให้แล้วเสร็จก่อนปี 65 โดยจะดำเนินภารกิจในการใช้พลังงานสร้างเศรษฐกิจฐานราก และเดินหน้าเรื่อง “พลังงานชุมชน” ที่อยู่ระหว่างการศึกษา โดยมีเป้าหมายลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน และมีนโยบายเปิดกว้างให้กับนักลงทุน หรือผู้ประกอบการ เอสเอ็มอี ในการร่วมลงทุนร่วมกับชุมชน รวมถึงนโยบายผลักดันสินค้าเกษตรสร้างมูลค่าเพิ่ม ได้แก่ ไบโอแก๊ส ไบโอแมส ที่อยู่ระหว่างการจัดทำแผนให้สอดรับกับนโยบายการผลิต ทั้งนี้ในมิติที่ 2 กระทรวงฯ จะเน้นสร้างการเป็นผู้นำด้านพลังงานอาเซียนโดยจะทำหน้าที่เป็นผู้เชื่อมต่อกับผู้เชี่ยวชาญบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก ให้ได้โนวฮาวที่ดี และเข้มแข็ง เพื่อยกระดับด้านพลังงานในระดับสากล ไม่เฉพาะแค่ใน CLMV เพื่อให้เติบโตเร็วขึ้น

ที่มา : https://www.mitihoon.com/2019/08/15/129235/

ตั้ง “วอร์รูม” อุ้มส่งออก เพื่อผลักดันการค้าของไทยขยายตัว

รมว.พาณิชย์ เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนด้านการพาณิชย์ ว่าที่ประชุมได้พิจารณาการรับมือสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนที่ยังยืดเยื้อส่งผลกระทบต่อการค้า การลงทุนทั่วโลก รวมถึงไทย โดยเห็นชอบร่วมกันให้จัดตั้งวอร์รูม เพื่อติดตามสถานการณ์การค้าและการส่งออกรวมถึงเสนอแนวทางรับมือทั้งเชิงรุก เชิงรับ เพื่อผลักดันให้การค้าของไทยยังขยายตัวได้ต่อไป สำหรับการเร่งรัดการส่งออกได้จัดตั้งคณะทำงานเจาะตลาด เพื่อเร่งรัดการส่งออกแบบเร่งด่วนในระยะเวลา 3-6 เดือน โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศจะหารือกับเอกชน เพื่อจัดทำแผนขยายตลาด เป็นรายสินค้า บริการ และตลาดแต่ละประเทศให้มีความชัดเจนว่าจะทำอะไร อย่างไร เพื่อให้ส่งออกได้เพิ่มขึ้น โดยมีเป้าหมายใน 5 ตลาดหลัก คือ CLMV เพราะเป็นตลาดที่มีศักยภาพใกล้กับไทย นอกจากนี้ ยังมีจีนเป็นตลาดศักยภาพสูงมากสามารถเพิ่มมูลค่าไปยังเมืองและมณฑลต่างๆ ที่สินค้าไทยยังเข้าไม่ถึงได้อีก, อินเดีย และเอเชียใต้ เป็นตลาดใหม่ที่มีโอกาส มีกำลังซื้อสูง, อาเซียน เป็นตลาดที่ต้องเจาะเพิ่ม, ตะวันออกกลาง ที่บางตลาดสามารถฟื้นขึ้นมาได้ ขณะเดียวกันจะเร่งรัดเพิ่มมูลค่าการค้าชายแดน

ที่มา : https://www.thairath.co.th/news/business/market-business/1638090