“เวียดนาม” ปรับลดภาษีเบนซิน 1,000 ดองต่อลิตร

กระทรวงการคลังเวียดนาม เสนอให้ปรับลดภาษีสิ่งแวดล้อมสำหรับน้ำมันเบนซินเหลืออยู่ที่ 1,000 ดองต่อลิตรและเชื้อเพลิงอื่นๆ ราว 30-70% เนื่องจากราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูงขึ้นส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของเวียดนาม กระทรวงฯ จึงได้ร่างมติของคณะกรรมการฝ่ายรัฐสภาเกี่ยวกับการลดภาษีเชื้อเพลิงเพื่อคุ้มครองสิ่งแวดล้อม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเยียวยาประชาชนและธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ ตามร่างมติดังกล่าว ภาษีน้ำมันจะลดลงเหลือ 1,000 ดองต่อลิตร จากเดิมอยู่ที่ 2,000 ดองต่อลิตร, ราคาน้ำมันอากาศยานลดลงเหลือ 1,500 ดองต่อลิตร จากเดิมอยู่ที่ 1,000 ดอง และอื่นๆ หากคณะกรรมการฝ่ายรัฐสภาใช้มตินี้ในเดือนกรกฎาคม อัตราภาษีที่เสนอจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมจนถึงสิ้นปีนี้

ที่มา : https://english.thesaigontimes.vn/gasoline-environment-tax-seen-falling-to-vnd1000-per-liter/

บีโอไอยันลงทุนปี’64 สร้างงาน1.1แสนตำแหน่ง

มีรายงานจาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) แจ้งว่า ในปี 2564 ที่ผ่านมา บีโอไอ ให้การอนุมัติส่งเสริมการลงทุน จำนวน 1,572 โครงการ มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 511,900 ล้านบาท โดยเป็นการอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย จำนวน 768 โครงการ คิดเป็นร้อยละ 49 ของโครงการที่ได้รับอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น มีมูลค่ารวม 315,620 ล้านบาท การอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมการแพทย์ 69 โครงการ เงินลงทุนรวม 60,300 ล้านบาท มีโครงการที่น่าสนใจ เช่น โครงการโปรตีนแอนติเจนและโปรตีนแอนติบอดีตัดแต่งพันธุกรรม โครงการผลิตภัณฑ์เซลล์และยีนบำบัดเพื่อการรักษาโรคในกลุ่ม Car T Cell เป็นต้น พร้อมระบุว่าโครงการที่ได้รับการอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุน ช่วยสร้างงาน 113,562 ตำแหน่ง โดยโครงการในหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มีการจ้างงานเป็นอันดับ 1 คิดเป็นร้อยละ 40 ของการจ้างแรงงาน หรือมีการจ้างงานประมาณ 45,081 ตำแหน่ง

ที่มา: https://www.naewna.com/business/661586

แรงงานข้ามชาติคาดว่าจะส่งเงิน 4.55 ล้านเหรียญสหรัฐต่อเดือนกลับมายังสปป.ลาว

นายพงษ์สายศักดิ์ อินทรรัตน์. กล่าว “คนงานสปป.ลาวจำนวนมากยังคงหางานทำในประเทศอื่นเพื่อหารายได้ให้กับครอบครัวมากขึ้น ชาวลาวที่ทำงานในประเทศอื่น ๆ คาดว่าจะส่งเงินส่งกลับประเทศลาวมูลค่าประมาณ 4.55 ล้านเหรียญสหรัฐ” ซึ่งเป็นช่องทางรายได้ต่างประเทศที่สำคัญ อย่างไรก็ตามผลกระทบจากการพัฒนาโดยรวมของการโอนเงินยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด เงินส่งส่วนใหญ่จะใช้จ่ายในการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคในแต่ละวัน ที่อยู่อาศัย การซื้อที่ดิน และการชำระหนี้ การจ้างงานชาวลาวในประเทศอื่น ๆ มีข้อดีหลายประการทั้งสำหรับคนงานเองและสำหรับลาว แต่ในขณะเดียวกันก็มีปัญหาการขาดแคลนแรงงานในบางภาคส่วนของเศรษฐกิจลาว หากแรงงานยังคงหางานทำในต่างประเทศ รัฐบาลจะต้องกำหนดนโยบายเพื่อขยายตลาดแรงงานลาวไปต่างประเทศเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียน เพื่อรักษาแรงงานให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจที่มีการขยายตัว

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten116_Migrant.php

“เวียดนาม-มาเลเซีย” จับมือส่งเสริมเศรษฐกิจการป่าไม้

เวียดนามและมาเลเซีย ได้ลงนามในบันทึกความร่วมมือ (MOC) เพื่อส่งเสริมกิจกรรมการค้าไม้ของทั้งสองประเทศ โดยผู้มีลงนาม ได้แก่ สมาคมผู้ส่งออกไม้มาเลเซีย (TEAM), สภาเฟอร์นิเจอร์มาเลเซีย (MFC), สมาคมไม้และผลิตภัณฑ์ป่าไม้เวียดนาม (VIFOREST), สมาคมเฟอร์นิเจอร์จังหวัดด่งนาย (BIFA), สมาคมหัตถกรรมและอุตสาหกรรมไม้จังหวัดด่งนาย (DOWA) และสมาคมอุตสาหกรรมไม้แห่งนครโฮจิมินห์ (HAWA) ทั้งนี้ นาย Muhtar Suhaili ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Malaysian Timber Council (MTC) กล่าวว่ามาเลเซียมุ่งที่จะส่งเสริมอุตสาหกรรมไม้อย่างยั่งยืนและได้รับประโยชน์จากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของเวียดนามที่ไหลเข้าไปยังอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และการเข้าถึงตลาดขนาดใหญ่อย่างสหภาพยุโรปผ่านข้อตกลงการค้าเสรี นอกจากนี้ การบันทึกความร่วมมือดังกล่าว สอดคล้องกับข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียนในการลดช่องว่างการพัฒนาของกลุ่มประเทศและยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของภูมิภาค

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/vietnam-malaysia-partner-in-promoting-timber-trade/231349.vnp

“ศก.เวียดนาม” กลับมาฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศ

กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนาม เปิดเผยว่าภาคการท่องเที่ยวกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง จะกระตุ้นความต้องการซื้อสินค้าและการบริโภค ในขณะที่การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มสดใสขึ้น เนื่องจากการฟื้นตัวของภาคการผลิต การกลับมาของแรงงานและรายได้ที่สูงขึ้น รวมถึงประชากรที่ฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากรค่อนข้างสูง กระทรวงฯยังกล่าวเสริมว่าทางหน่วยงานยังต้องติดตามในเรื่องของอุปสงค์และอุปทานอย่างใกล้ชิด การควบคุมราคาสินค้าที่จำเป็นและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อป้องกันการกักตุนและการเก็งกำไร เป็นต้น นอกจากนี้ รายได้จากการค้าปลีกและบริการในเดือนพ.ค. อยู่ที่ 20.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 22.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/domestic-shopping-demand-predicted-to-strongly-rebound/231338.vnp

CDC อนุมัติโครงการการลงทุนในกัมพูชามูลค่าเกือบ 80 ล้านดอลลาร์

สภาเพื่อการพัฒนากัมพูชา (CDC) อนุมัติโครงการการลงทุนใหม่ 6 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวม 79.9 ล้านดอลลาร์ ซึ่งโครงการที่ได้รับอนุมัติใหม่นี้คาดว่าจะสร้างงานให้กับคนในท้องถิ่นเกือบ 2,741 ตำแหน่ง โดยตั้งอยู่ในจังหวัดกัมปงสปือ กัมปงชนัง กันดาล และกรุงพนมเปญ ซึ่งโครงการลงทุนทั้ง 6 โครงการ ครอบคลุมภาคการผลิตกระป๋อง ถุงพลาสติก เฟอร์นิเจอร์ ผ้า การแปรรูปไม้ไผ่ และการประกอบรถยนต์ เป็นสำคัญ โดยการลงทุนดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนในเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาค การเมือง และสังคมของกัมพูชา ในขณะที่ประเทศกำลังฟื้นตัวจากการระบาดของโควิด-19

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501096391/cdc-approves-almost-80-million-investment-projects/

กัมพูชาส่งออกเม็ดมะม่วงหิมพานต์ลดลงกว่าร้อยละ 50

กัมพูชาส่งออกเม็ดมะม่วงหิมพานต์ดิบตั้งแต่ช่วงเดือน มกราคม-พฤษภาคม ปีนี้ ที่ปริมาณ 394,800 ตัน ลดลงกว่าร้อยละ 50.70 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รายงานโดยกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมง (MAFF) โดยทำการส่งออกไปยังเวียดนามมากที่สุดถึง 390,000 ตัน รองลงมาคือไทยจำนวน 1,300 ตัน, อินเดีย 98 ตัน, จีน 13 ตัน และญี่ปุ่น 0.14 ตัน ในขณะที่การส่งออกเม็ดมะม่วงหิมพานต์แปรรูปมีปริมาณรวมอยู่ที่ 274 ตัน ลดลงถึงร้อยละ 69.52 คิดเป็นการส่งออกไปยังจีน 136.68 ตัน, ไทย 108 ตัน, ญี่ปุ่น 20 ตัน และไตหวัน 9.80 ตัน ซึ่งการลดลงของตัวเลขการส่งออกเม็ดมะม่วงหิมพานต์เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศทำให้คุณภาพของถั่วไม่เป็นไปตามข้อกำหนด โดยหากคิดจากปริมาณผลผลิตทั้งหมดมีถั่วที่ผ่านเกณฑ์แค่เพียงร้อยละ 20-22 เท่านั้น

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501095726/50-decline-in-cambodias-cashew-exports/

ไร่องุ่นตัวเมืองนะเมาะ เขตมะกเว ของเมียนมา เริ่มเฟื่องฟู

ชาวสวนเมืองนะเมาะ เขตมะกเว ของเมียนมา เริ่มปลูกองุ่นกันอย่างแพร่หลายและเป็นที่ต้องการเป็นอย่างมากในประเทศ สามารถสร้างรายได้ให้กับชาวสวนเลี้ยงชีพได้เป็นอย่างดี ซึ่งองุ่นสามารถเก็บเกี่ยวหลังจากปลูกได้ 6 เดือน โดยราคาขายจะอยู่ที่  3,500-4,000 viss (viss เท่ากับ 1.6 กิโลกรัม) ทว่าในปีนี้มะม่วง Seintalone หรือมะม่วงเพชรน้ำหนึ่ง ได้เข้าสู่ตลาดเป็นอย่างมากอาจกระทบให้ยอดขายนั้นลดลง ทั้งนี้องุ่นที่ปลูกกันในมียนมามีหลากหลายสายพันธุ์ เช่น พันธุ์อิตาลี, RG, Black Queen, No 3 และ Chun ส่วนที่ปลูกเป็นสายพันธุ์หลักจะเป็น Black Queen และ  Moon Ball ซึ่งราคาขายจะแตกต่างกันไป

ที่มา: https://www.gnlm.com.mm/grape-cultivation-thriving-in-natmauk-town/#article-title

ร้านสะดวกซื้อโตรับโควิด ‘เซเว่น’ครองแชมป์สาขาเยอะสุด

นางสาวจริยา ถ้ำตรงกิจกุล หัวหน้าแผนกพื้นที่ค้าปลีก ซีบีอาร์อี ประเทศไทย เปิดเผยว่า ธุรกิจร้านสะดวกซื้อจะยังคงเป็นโมเดลที่ไปได้ดีในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 และเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดในแง่ของความสะดวก โดยพบว่าร้านสะดวกซื้อที่เห็นอยู่ทั่วทุกหัวมุมถนนที่มีบริการเสริมมากขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ลูกค้าใช้ชีวิตง่ายขึ้น จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (OTCC) ในปี 2564 พบว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี กรุ๊ป) ครองส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุด และเป็นเจ้าของทั้ง 7-Eleven ที่มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 73.60% และ Lotus’s Go Fresh (เดิมคือ Tesco Lotus Express) ที่มีส่วนแบ่งการตลาด 9.45% รองลงมา คือ กลุ่มเซ็นทรัล ซึ่งเป็นเจ้าของ FamilyMart และ Tops Daily ที่มีส่วนแบ่งการตลาดรวมกัน 4.79% ส่วนที่เหลืออีก 12.16% เป็นของผู้เล่นรายอื่นๆ

ที่มา : https://www.naewna.com/business/661354

สภาดิจิทัลฯ เล็งชวนต่างชาติ ลงทุนสตาร์ทอัพไทย เชื่อฟื้นเศรษฐกิจได้

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธาน สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สภาดิจิทัลฯ ขอขอบคุณพันธมิตรทุกรายทั้งภาครัฐและภาคเอกชน หลังจากรัฐบาลได้ประกาศพระราชกฤษฎีกายกเว้นภาษี Capital Gains เป็นเวลา 10 ปี ถือเป็นความสำเร็จก้าวแรกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง เพิ่มขีดความสามารถในการระดมทุนสู่วิสาหกิจเริ่มต้น หรือสตาร์ทอัพได้มากขึ้น โดยคาดว่าจะกระตุ้นการจ้างงานทักษะดิจิทัลขั้นสูงในประเทศ 500,000 ราย ดึงดูดต่างชาติมาลงทุนในประเทศไทยกว่า 10,000 ราย เชื่อมั่นเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าไทยไม่ต่ำกว่า 300,000 ล้านบาทในปี 2568 เร่งเดินหน้าโรดโชว์ และจัดกิจกรรมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนกลุ่มเป้าหมายทั้งไทยและต่างประเทศ รวมทั้งกลุ่มสตาร์ทอัพทันที โดยตั้งเป้าหมายดึงเม็ดเงินลงทุนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 20 ของมูลค่าการลงทุนใน Tech Companies ในภูมิภาคอาเซียน เข้ามาลงทุนกับธุรกิจสตาร์ทอัพไทย มั่นใจจะมีจ้างงานเพิ่มขึ้นกว่า 4 แสนตำแหน่ง และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจโดยรวม 790,000 ล้านบาท

ที่มา: https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7114463