อินเดียนำเข้าถั่วดำ 400,000 ตันจากเมียนมา

รัฐบาลอินเดียประกาศเมื่อวันที่ 19 มีนาคมว่าจะซื้อถั่วดำสีดำเพิ่มอีก 400,000 ตันซึ่งรู้จักกันในชื่อ matpe จากเมียนมาในปีงบประมาณ 2563-2564 มีแนวโน้มว่าพวกเมียนมาจะเพิ่มโควต้าการส่งออก จากยอดขาย 250,000 ตันเมื่อปลายปีที่แล้วยังเหลืออีก 40% ที่จะต้องส่งออกไปยังอินเดีย ความต้องการ matpe ยังมีอย่างต่อเนื่องทำให้ราคาอยู่ที่ระหว่าง 900,000 จัต ถึง 1 ล้านจัตต่อตันในขณะที่ราคาของถั่วแระซึ่งอินเดียหยุดการนำเข้าลดลงเหลือ 700,000 จัตต่อตัน ฤดูเก็บเกี่ยวของถั่วดำ อยู่ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงสิ้นเดือนเมษายน

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/india-import-400-000-tonnes-black-gram-myanmar.html

ซูซูกิเตรียมสร้างโรงงานใหม่ในเมียนมา

Suzuki Thilawa Motor Co Ltd บริษัทย่อยของ Suzuki Motor Corp ที่ประกอบและขายรถยนต์ในเมียนมาจะสร้างโรงงานผลิตรถยนต์แห่งใหม่ที่จะทำการเชื่อม พ่นสี และประกอบรถยนต์ในวันนี้ Suzuki Thilawa กำลังประกอบยานพาหนะจากชุดอุปกรณ์กึ่งน็อคดาวน์ (SKD) ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นกล่าวว่ามีแผนที่จะยกระดับการดำเนินการเพื่อประกอบยานยนต์ที่แบบ(CKD) บริษัท จะใช้จ่ายประมาณ 1,200,000,000 เยน (K150 ล้านล้าน) เพื่อสร้างโรงงานซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการภายในเดือนกันยายนปีหน้า โรงงานซึ่งตั้งอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษทิลาว่าทางตะวันออกเฉียงใต้ของย่างกุ้งคาดว่าจะมีกำลังการผลิตปีละ 40,000 คัน ด้วยโรงงานแห่งใหม่นี้จะเป็นการตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของตลาดรถยนต์ในเมียนมา ซูซูกิมีประวัติอันยาวนานในเมียนมาย้อนหลังไปถึงปี 2541 ด้วยการจัดตั้ง บริษัท ร่วมทุนในท้องถิ่นซึ่งเริ่มผลิตรถจักรยานยนต์และรถยนต์ในปี 2542 ปัจจุบัน บริษัท มีโรงงานสองแห่งในเมียนมาตั้งอยู่ในเขตอุตสาหกรรม Dagon ใต้และเขตเศรษฐกิจพิเศษทิลาว่า ที่ผลิตสี่รุ่น – รถบรรทุกขนาดเล็กพกพา, ซีดานกระชับซีดาน, Ertiga MPV และสวิฟท์ย่อยคอมมิชท์ ในปี 2562 ผลิตได้ 13,300 คัน (เพิ่มขึ้น 125% เมื่อเทียบปีต่อปี) และขาย 13,206 หน่วย (เพิ่มขึ้น 128% เมื่อเทียบเป็นรายปี) และมีส่วนแบ่งตลาด 60.3% ในพม่า

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/suzuki-build-new-plant-myanmar.html

น้ำมันดิ่ง-โควิด ทุบยอดส่งออก ก.พ.2563 พลิกเป็นลบ 4.47% จากเดือนก่อนบวก 3.35%

ส่งออกไทยเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ลดลง 4.47% ผลจากราคาน้ำมันลดลง แต่ทั้งนี้ ยังเชื่อมั่นทั้งปี 2563 ว่าการส่งออกไทยยังมีโอกาสขยายตัวเป็นบวกได้ รับปัญหาโควิด-19 ยังประเมินทิศทางผลกระทบส่งออกเร็วไปรอติดตามสถานการณ์สักระยะ การส่งออกไทยเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ลดลง 4.47% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน มูลค่าอยู่ที่ 20,641 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการราคาน้ำมันปรับตัวลดลง และฐานการส่งออกอาวธในช่วงซ้อมรบในปีก่อน แต่หากดูเฉพาะมูลค่าการส่งออกถือว่ามูลค่าการส่งออกของไทยยังทรงตัวดีมีมูลค่าสูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังอยู่ที่ 19,871 ล้านเหรียญสหรัฐ ระหว่างปี 2558-2562 อย่างไรก็ดี หากหักทองคำ น้ำมัน และอาวุธยุทธปัจจัย การส่งออกของไทยในเดือนนี้ยังขยายตัวอยู่ที่ 1.51% ขณะที่ การนำเข้ามีมูลค่า 16,745 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 4.30% ส่งผลให้การค้าไทยเกินดุล 3,897 ล้านเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ดี การส่งออก 2 เดือนแรก (มกราคม-กุมภาพันธ์) ของปี 2563 ไทยส่งออกส่งออกลดลง 0.81% มีมูลค่าอยู่ที่ 40,267 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่งผลให้การค้าไทยเกินดุลอยู่ที่ 2,341 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร หดตัว 3.0% สินค้าที่ยังขยายตัวดี ได้แก่ ยางพารา อาหารสัตว์เลี้ยง สิ่งปรุงรสอาหาร ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป ส่วนสินค้าที่หดตัว เช่น ข้าว ผลจากตลาดสหรัฐและจีน ผัก ผลไม้สด แช่แข็งและแปรรูป หกตัวจากตลาดจีน น้ำตายทราย เป็นต้น ส่วนการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม หดตัว 5.2% สินค้าที่ยังขยายตัวดี เช่น ทองคำ ขยายตัวทุกตลาด เครื่องยนต์สันดาปภายในแบบลูกสูบและส่วนประกอบ เครื่องคอมพิเตอร์และส่วนประกอบ ผลิตภันฑ์ยาง สินค้าที่ส่งออกหดตัว เช่น อาวุธ กระสุน รวมทั้งส่วนประกอบ ซึ่งหดตัวจากตลาดสำหรับ สิงคโปร์ อัญมณีและเครื่องประดับไม่รวมทองคำ สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน โดยจะเห็นได้ว่าราคาน้ำมันโลกผันผวนปรับตัวลดลง เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภันฑ์ เป็นต้น อย่างไรก็ดี สำหรับการส่งออกไปในตลาดสำคัญในช่วงปัญหาโควิด-19 นั้น หดตัวไปในหลายตลาด เช่น สหรัฐ เนื่องจากปีที่ผ่านมาฐานการส่งออกอาวุธสูง แต่ในปี 2563 ลดลง ญี่ปุ่น จีน เป็นต้น อย่างไรก็ดี สำหรับทิศทางการส่งออกในเดือนมีนาคม 2563 แม้อาจจะลอตัวอยู่บ้างแต่เชื่อว่าการส่งออกในครึ่งปีแรก 2563 จะกลับมาขยายตัวดี จากสถารการณ์ของจีนดีขึ้นจะมีผลต่อการเร่งนำเข้าสินค้าโดยเฉพาะในกลุ่มเกษตรและอาหาร และชดเชยจากการส่งออกในตลาดสหรัฐและยุโรป เริ่มชะลอตัวลงจากปัจจัยเรื่องของโควิด-19 ทั้งนี้ หากจะให้การส่งออกของไทยทั้งปี 2563 ต้องการให้ขยายตัวอยู่ที่ 0% ไทยต้องส่งออกเฉลี่ยต่อเดือน 20,598 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือหากต้องการให้โต 2% ไทยต้องส่งออกเฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 21,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

ที่มา: https://www.prachachat.net/economy/news-436313

รัฐบาลมีแผนจะออกมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อลดผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19

รัฐบาลสปป.ลาวจะมีการออกมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 เพื่อลดผลกระทบหรือความเสียหายที่เศรษฐกิจได้รับ ถึงแม้สปป.ลาวจะเป็นประเทศในอาเซียนที่การแพร่ระบาดจะยังไม่หนักเหมือนประเทศต่างๆ ในอาเซียน แต่รัฐบาลก็ตระหนักถึงผลกระทบ เนื่องจากประเทศคู่ค้าที่สำคัญหลายๆประเทศไม่ว่าจะเป็น จีน ไทย สิงคโปร์ ฯลฯ  ทำให้การค้าต้องชะลอตัวลงส่งผลต่อเศรษฐกิจสปป.ลาวโดยรัฐบาลสปป.ลาว ได้จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดูแลเฉพาะด้านเศรษฐกิจในช่วงนี้ขึ้นมาซึ่งจะมีการออกมาตรา 13  อย่างออกมาแก้ปัญหาโดยจะมี การรับรองการจัดการรถไฟลาว – ​​จีน,โครงการก่อสร้างทางด่วน,โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ,การอำนวยความสะดวกในการนำเข้า – ส่งออกสินค้า,การควบคุมค่าครองชีพที่มีแนวโมเพิ่มตัวต่อเนื่องจากราคาสินค้าบริโภคที่มีการปรับตัวสูงขึ้น เป็นต้น อย่างไรก็ตามยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมมากนักเพราะจะต้องมีการประชุมเพื่อหาข้อสรุปอีกครั้งก่อนที่จะประกาศใช้จริง

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Stimulus_58.php

ธนาคารเอซีลีดาในกัมพูชากำหนดมูลค่า IPO ที่กำลังจะเกิดขึ้นแล้ว

ธนาคาร ACLEDA ด้วยความช่วยเหลือของบริษัทหลักทรัพย์ Yuanta (กัมพูชา) จำกัด (มหาชน) (YSC) ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้กำหนดราคา IPO ที่ 4.05 เหรียญสหรัฐ (16,200 KHR) ต่อหุ้นสำหรับนักลงทุน โดยธนาคารระบุว่ากระบวนการสร้างหนังสือเสร็จสมบูรณ์แล้วเมื่อวันเสาร์ที่ 14 มีนาคม 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งมีนักลงทุนที่สนใจกว่า 2,180 คน ในบรรดาจำนวนนักลงทุนที่เข้าร่วมในการทำหนังสือนั้น 95.6% เป็นนักลงทุนภายในประเทศและอีก 4.45% เป็นนักลงทุนชาวต่างชาติ โดยราคาเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนเป็นครั้งแรกได้กำหนดไว้ที่ KHR 16,200 (4.05 เหรียญสหรัฐ) ตามขั้นตอนการสร้างหนังสือและการสมัครสมาชิกที่ได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์กัมพูชา SECC ซึ่งที่รัฐบาลได้ดำเนินการพิจารณาการแพร่ระบาดของ COVID-19 และได้ตัดสินใจขยายระยะเวลาการสมัครสมาชิกเพื่อความปลอดภัยและความสะดวกสบายของนักลงทุนสาธารณะ รวมถึงการนำเสนอทางเลือกออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์ www.acledabank.com.kh หรือ www.acledasecurities.com.kh โดยระยะเวลาการสมัครคือวันที่ 24 มีนาคมถึง 24 เมษายน

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50704309/acleda-bank-sets-ipo-price/

บริษัทจากญี่ปุ่นทำการศึกษาการลงทุนในอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในกัมพูชา

บริษัทจากญี่ปุ่นกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนเพื่อเพาะเลี้ยงปลานิล ซึ่งเป็นปลาสายพันธุ์น้ำจืดในกัมพูชา จากข้อมูลดังกล่าวได้รับการเผยแพร่โดยตัวแทนของ JICA ในประเทศกัมพูชาในระหว่างการประชุมกับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรป่าไม้และการประมงกัมพูชา ซึ่งการลงทุนจะเน้นไปที่การแปรรูปผลิตภัณฑ์ปลาเพื่อการส่งออกไปยังตลาดญี่ปุ่นเป็นหลัก โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรยินดีต้อนรับการลงทุนซึ่งมองว่าจะสร้างงานใหม่และช่วยลดการจับปลาจากทะเลสาบธรรมชาติและแม่น้ำได้ ซึ่งในการประชุม JICA ได้กล่าวสรุปเกี่ยวกับโครงการที่ประสบความสำเร็จในการแปรรูปวัตถุดิบจากผ้าไหมสู่ผลิตภัณฑ์สบู่และแชมพูซึ่งเป็นที่นิยมในประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50704397/japanese-firm-to-conduct-study-on-investment-in-aquaculture-industry-in-cambodia/

กรุงฮานอยอนุมัติจัดตั้งกลุ่มอุตสาหกรรม 2 แห่ง

คณะกรรมการประชาชนฮานอยได้อนุมัติจัดตั้งกลุ่มอุตสาหกรรมด่งลา (IC) และเฟสสองของกลุ่มอุตสาหกรรม Duong Lieu ในเขตชานเมืองฮอย ตี๊ค ซึ่งทางคณะกรรมการฯได้สั่งให้ทางคณะกรรมการประจำเขตฮอย ตี๊ค (Hoai Duc) พิจารณานักลงทุนที่มีความพร้อมทางการเงิน เพื่อพัฒนาโครสร้างพื้นฐานของ 2 กลุ่มอุตสาหกรรม ในขณะเดียวกัน กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้ามีหน้าที่ในการประเมินเอกสารที่เกี่ยวกับการพัฒนาจัดตั้งกลุ่มอุตสาหกรรมและส่งมอบให้กับทางคณะกรรมการประจำจังหวัดต่อไป ทั้งนี้ หน่วยงานท้องถิ่นได้ใช้ความพยายามอย่างมากในการดึงดูดผู้ประกอบการทั้งต่างชาติและในประเทศที่จะเข้าสู่ระบบควบคุมเชิงอุตสาหกรรมในช่วงหลายปี โดยในปัจจุบัน กรุงฮานอยมีกลุ่มอุตสาหกรรมปฏิบัติการจำนวน 70 แห่ง ด้วยพื้นที่มากกว่า 1,600 เฮกตาร์ และจำนวนธุรกิจรวม 3,864 ราย ซึ่งสามารถสร้างงานในท้องถิ่น 60,000 คน

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/hanoi-approves-establishment-of-two-industrial-clusters/170477.vnp

เอกอัครราชทูตเผยสหรัฐฯไม่มีแผนที่จะระงับการนำเข้าเครื่องนุ่งห่มจากเวียดนาม

เอกอัครราชทูตเวียดนามประจำประเทศสหรัฐอเมริกาเผยว่าสหรัฐฯ ไม่มีแผนที่จะระงับการนำเข้าสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มจากเวียดนาม โดยทางสถานทูตได้แจ้งข้อมูลรายละเอียดแก่หน่วยงานสหรัฐฯ และชี้ให้เห็นถึงความเป็นหุ้นส่วนระหว่างสหรัฐอเมริกาและเวียดนาม ด้วยมูลค่าการค้าทั้งสองประเทศอยู่ที่ 77.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2562 ส่งผลให้เวียดนามเป็น 1 ใน 15 คู่ค้ารายใหญ่ที่สุด ทั้งนี้ ในช่วง 2 เดทอนแรกของปีนี้ เวียดนามส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.7 คิดเป็นมูลค่า 10.26 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งตรงกันข้ามกับการส่งออกไปยังตลาดอื่น ๆ ที่มีมูลค่าลดลง ขณะที่ ในปีที่แล้ว เวียดนามส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มไปยังสหรัฐฯ มีมูลค่าราว 15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 45 ของรายรับรวมอุตสาหกรรมสิ่งทอทั้งประเทศ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์โควิด-19 ในสหรัฐฯ อาจใช้เวลายาวนานกว่าที่คาดไว้ ด้วยเหตุนี้ ทางเอกอัครราชทูตแนะนำให้ธุรกิจในประเทศปฏิบัติตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีเวียดนามอย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้ละเมิดข้อกฎหมายทั้งสองประเทศ ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/us-has-no-plan-to-suspend-import-of-vietnamese-garmenttextiles-ambassador/170467.vnp

Covid-19 ไม่มีผลกระทบต่อตลาดส่งออกถั่วเขียวของเมียนมา

ผลกระทบจาก Covid-19 ในตลาดส่งออกถั่วเขียวยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เมียนมายังคงส่งออกถั่วไปยังบางประเทศในยุโรป ยังคงมีการส่งออกถั่วดำไปตลาดอินเดีย ถั่วเขียวไปยังตลาดจีนและบางประเทศในยุโรป กระทรวงพาณิชย์รายงานว่า ปัจจุบันสภาพดังกล่าวเป็นประโยชน์สำหรับทั้งเกษตรกรและพ่อค้า ตั้งแต่วิกฤติปี 2560 เมียนมามีตลาดใหม่ในสหภาพยุโรปญี่ปุ่นและจีน คาดว่าจะไม่มีปัญหาการส่งออกถั่วในอีกหนึ่งหรือสองปีข้างหน้า เนื่องจากตลาดในประเทศจีนและสหภาพยุโรปมีอัตราการเติบโตอย่างมากในช่วงปลายปี 2561 ราคาของถั่วเขียวคุณภาพต่ำมีราคามากกว่า 1.1 ล้านจัตต่อตัน ราคาของถัวเขียวคุณภาพส่งออกอยู่ที่ประมาณ 1.4 ล้านจัตต่อตัน

ที่มา: https://elevenmyanmar.com/news/no-significant-impacts-on-green-gram-export-market

Lockdown ทั่วโลก ทุบรายได้ท่องเที่ยวไทยวูบ 1 ล้าน ล.

ปัจจุบันไวรัสโควิดได้แพร่ระบาดไปอยู่ในทุกประเทศทั่วโลกอย่างรวดเร็ว หลายประเทศประกาศ Lockdown ปิดการเดินทางเข้า-ออกประเทศเป็นการชั่วคราว เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวทั่วโลกอย่างหนัก สำหรับประเทศไทยนั้น พบว่า ในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา (ไวรัสโควิดส่งผลกระทบช่วงปลายเดือนมกราคม) ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 3.81 ล้านคน จากจำนวน 3.72 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้น 2.46% โดยนักท่องเที่ยวจีนยังเป็นกลุ่มที่มีจำนวนสูงสุดอันดับ 1 จำนวน 1.03 ล้านคนลดลง 3.71% รองลงมาคือ มาเลเซีย 3.2 แสนคน ขยายตัวเพิ่มขึ้น 20.31%, รัสเซีย 2.5 แสนคน ขยายตัวเพิ่มขึ้น 11.24% เดือนกุมภาพันธ์มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2.04 ล้านคน จากจำนวน 3.6 ล้านคน หรือลดลง 43.50% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยตลาดจีนซึ่งครองอันดับสูงสุดอันดับ 1 มาตลอดตกลงไปอยู่อันดับ 3 ด้วยจำนวน 1.5 แสนคนลดลง 85.34% ส่วนตลาดที่ขึ้นเป็นอันดับ 1 คือรัสเซีย 2.1 แสนคนเพิ่มขึ้น 12.47% อันดับ 2 คือมาเลเซีย 1.9 แสนคน ลดลง 39.63% จากแนวโน้มดังกล่าวนี้ ถ้าหากการแพร่ระบาดของไวรัสสิ้นสุดในเดือนกรกฎาคมจะส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวตลอดทั้งปีนี้อยู่ที่ 27 ล้านคน หรือหายไปราว 12-13 ล้านคน แต่หากสิ้นสุดกันยายนคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาเที่ยวเมืองไทยในปีนี้น่าจะอยู่ที่ราว 20 ล้านคนหรือหายไปเกือบ 20 ล้านคน และถ้าหากสถานการณ์การแพร่ระบาดลากยาวไปจนถึงสิ้นปี อาจจะลดลงเหลือเพียงแค่ประมาณ 10 ล้านคน หรือหายไปราว 30 ล้านคน ทั้งนี้กระทรวงจะเร่งส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศก่อนทันทีผ่านการผลักดันให้หน่วยงานของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และบริษัทห้างร้านต่าง ๆ ออกสัมมนาข้ามจังหวัด และข้ามภาคต่อไป รายได้ ตปท.วูบ 5-7 แสนล้าน จากการประเมินสถานการณ์ในปัจจุบัน คาดการณ์ว่าในกรณีที่การแพร่ระบาดยุติในเดือนกรกฎาคม ประเทศไทยจะมีนักท่องเที่ยวอินบาวนด์ (ขาเข้า) ลดลงประมาณ 30-40% หรือลดลงประมาณ 11.7-15.7 ล้านคน เหลือเพียง 24-28 ล้านคน จากจำนวน 39.8 ล้านคนในปี 2562 และส่งผลกระทบต่อรายได้ทางด้านการท่องเที่ยวลดลงไปราว 5.44-7.40 แสนล้านบาท หรือเหลือมูลค่ารวมประมาณ 1.19-1.39 ล้านล้านบาทในปีนี้ จากมูลค่า 1.93 ล้านล้านบาทในปีที่ผ่านมาสูญรายได้รวม 1 ล้านล้าน ในขณะที่ตลาดในประเทศนั้น คาดว่าคนไทยจะมีการเดินทางท่องเที่ยวปีนี้ที่ราว 166.84 ล้านคน-ครั้ง โดยคาดว่ารายได้จากการเดินทางภายในประเทศจะลดลง 20-25% หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 2-2.5 แสนล้านบาท หรือเหลือรายได้จากนักท่องเที่ยวภายในประเทศมูลค่าราว 1.08 ล้านล้านบาท ไม่เพียงเท่านี้ ผู้ประกอบการจะได้รับผลกระทบจนอาจมีการปิดตัวอย่างน้อย 5,000-10,000 ราย จากจำนวนผู้ประกอบการทั้งหมดในปัจจุบันราว 50,000 ราย และส่งผลกระทบต่อการจ้างงานจากตำแหน่งงานในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวราว 4 ล้านตำแหน่งงาน ทั้งนี้คาดว่าจะมีผู้ถูกเลิกจ้างงานไม่ต่ำกว่า 25-30% หรือคิดเป็นจำนวน 1-1.2 ล้านตำแหน่งงาน และมีผู้ถูกลดรายได้จากการถูกลดเงินเดือน การพักงานและการลางานโดยไม่รับเงินเดือนรวมกว่า 3 ล้านตำแหน่ง ขณะนี้เอกชนท่องเที่ยวยินดีสนับสนุนรัฐบาล โดย สทท.พร้อมทั้งสมาคมท่องเที่ยว 13 สมาคมมีความเห็นตรงกันว่าพร้อมให้ความร่วมมือในการควบคุมการแพร่ระบาดในระดับสูงสุด โดยพร้อมที่จะลดหรืองดกิจกรรมทางการท่องเที่ยวเป็นเวลา 15-30 วัน และดำเนินมาตรการทางด้านความปลอดภัยสูงสุดตามที่รัฐบาลกำหนด ขณะเดียวกัน ก็อยากให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนของการเยียวยาผู้ประกอบการท่องเที่ยวให้มีความชัดเจนภายในสิ้นเดือนนี้ เนื่องจากกว่า 2 เดือนที่ผ่านมายังไม่มีผู้ประกอบการรายใดเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้เลยแม้แต่รายเดียว

ที่มา: https://www.prachachat.net/tourism/news-435507