ไทยถูกหวยสงครามการค้า 26 รายการขี่ม้าขาวดันส่งออกโค้งสุดท้ายปีนี้

“พาณิชย์” เผยผลวิเคราะห์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนต่อการค้าไทยในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ และรอบใหม่ที่เริ่ม 1 ก.ย.ที่ผ่านมา พบไทยมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นทั้ง 2 ตลาด ซึ่งสินค้าที่ส่งออกได้ดี ทดแทนสินค้าจีนในสหรัฐฯ และทดแทนสินค้าสหรัฐฯในจีน มีกว่า 26 รายการ แนะไทยเร่งส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ให้ได้เพิ่มมากขึ้น เพิ่มยอดส่งออกโค้งสุดท้ายของปีนี้ ซึ่งผลกระทบจากสงครามการค้า ทำให้สหรัฐฯ นำเข้าจากจีนลดลงจากสัดส่วน 20.51% ใน 6 เดือนของปีที่ผ่านมาเหลือ 18.02% ในช่วงเดียวกันของปีนี้ โดยสินค้าของไทยที่มีศักยภาพในการส่งออกทดแทนในตลาดสหรัฐฯและจีน ภายใต้มาตรการตอบโต้ที่สหรัฐฯขึ้นภาษีจีน 250,000 ล้านเหรียญ และจีนตอบโต้สหรัฐฯ มูลค่า 110,000 ล้านเหรียญ ที่มีผลบังคับใช้แล้ว พบว่าสินค้าไทยที่ส่งออกไปทดแทนสินค้าจีนในตลาดสหรัฐฯเพิ่มขึ้น เช่น ปลานิลแช่แข็ง กุ้งและปลาหมึกแช่แข็ง เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ (ที่ไม่ใช่น้ำผักและผลไม้) และสินค้าที่ไทยส่งออกไปทดแทนสินค้าสหรัฐฯ ในตลาดจีน เช่น น้ำแอปเปิ้ล น้ำผึ้ง แป้ง ผงที่ทำจากพืช กระดาษแข็ง เครื่องแก้วสำหรับใช้ในครัวเรือนหรือรวมทั้งสองตลาดกว่า 26 รายการ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/news/business/market-business/1679366

ไทยหล่นดัชนีแข่งขันโลก

คณบดีคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ได้ประกาศดัชนีขีดความสามารถทางการแข่งขันระดับโลกของสภาเศรษฐกิจโลก วัดความสามารถทางการแข่งขันจาก 141 ประเทศทั่วโลก พบว่าในปีนี้ประเทศไทยมีค่าดัชนีความสามารถทางการแข่งขันดีขึ้นจาก 67.5 คะแนนในปีที่ผ่านมา มาที่ 68.1 คะแนนในปีนี้ แม้คะแนนจะดีขึ้น แต่อันดับของไทยก็ลดลง 2 อันดับมาอยู่ที่ 40 จากปีที่ผ่านมาที่อยู่อันดับ 38 เนื่องจากมีประเทศอื่นๆที่ทำคะแนนได้ดีกว่าและขยับแซงหน้าไทย ทำให้อันดับของไทยลดลง ขณะที่ประเทศอื่นๆในอาเซียนพบว่า มาเลเซียอยู่ในอันดับที่ 27 ของโลก หล่นลงมา 2 อันดับ อินโดนีเซีย หล่นลงมา 5 อันดับ รั้งที่ 50 ของโลก ขณะเดียวกันก็ได้ยกให้สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีศักยภาพการแข่งขันทางธุรกิจสูงที่สุดของโลก แซงหน้าสหรัฐฯจากปีที่แล้ว จากความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน ตลาดแรงงาน และการพัฒนาระบบการเงิน ส่วนรองลงมาประกอบด้วย สหรัฐฯ ฮ่องกง เนเธอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น เยอรมนี สวีเดน สหราชอาณาจักร และเดนมาร์ก ตามลำดับ ขณะที่เวียดนามพบว่าเป็นประเทศในอาเซียนที่มาแรงที่สุด แซงขึ้นมา 10 อันดับ ขึ้นจากอันดับที่ 77 ของปีก่อนมาอยู่ที่อันดับ 67 ของโลก.

ที่มา : https://www.thairath.co.th/news/business/market-business/1679351

รายงาน : บริษัทอาหารและเครื่องดื่มเวียดนาม 10 อันดับแรกในปี 2562

จากรายงานทางการเวียดนาม ณ วันที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมา เปิดเผยว่าบริษัทอาหารและเครื่องดื่มเวียดนามที่มีชื่อเสียง 10 บริษัท โดยบริษัทที่ได้รับการประเมินจะจัดอันดับตามหลักเกณฑ์ 3 หลัก ดังนี้ ความสามารถทางการเงินตามรายงานการบัญชี และความน่าเชื่อถือของการเข้าถึงสื่อ เช่น สื่อโฆษณา เป็นต้น รวมไปถึงผลการสำรวจเกี่ยวกับความพึงพอใจจากการที่ลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทดังกล่าว ซึ่งจากการสำรวจผู้บริโภคในเดือนกันยายนที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าแบรนด์สินค้าที่ได้รับความนิยมสูงสุดที่ผู้บริโภคเลือก ได้แก่ Vissan (อาหารสด), Cai Lan (เครื่องเทศและน้ำมันไว้ทำอาหาร), Heineken (เบียร์และไวน์), Vinamilk (นม) และ Acecook (อาหารกระป๋องและบรรจุภัณฑ์) เป็นต้น ในขณะเดียวกัน ตามรายงานดังกล่าว ระบุว่าการสื่อสารมีส่วนสำคัญในการเชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค ทำให้ผู้บริโภคสามารถรับรู้แบรนด์ที่มีชื่อเสียงได้ดีขึ้น และทำการตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น แต่ผู้ประกอบการอาหารและเครื่องดื่มเวียดนามส่วนใหญ่ระมัดระวังในการใช้สื่อ เพราะว่าขาดการควบคุมข้อมูล

ที่มา : https://en.nhandan.com.vn/business/item/7999802-vietnam-report-top-10-food-beverage-companies-in-vietnam-2019.html

“WEF” จัดขีดแข่งขันเวียดนามปี 62 ดีขึ้น ก้าวกระโดด 10 อันดับ

จากรายงานของสภาเศรษฐกิจโลก (The World Economic Forum : WEF) เปิดผลการจัดอันดับความสามารถทางการแข่งขันระดับโลก ปี 2562 ระบุว่าเวียดนามก้าวมาอยู่ในอันดับที่ 67 ของโลก สามารถทำคะแนนรวมได้ 61.5 คะแนน จากทั้งหมด 100 คะแนน แสดงให้เห็นว่าประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ และพร้อมสำหรับการเป็นศูนย์กลางค้าในภูมิภาค ในขณะเดียวกัน เวียดนามอยู่ในความเสี่ยงต่ำที่สุดของด้านการก่อการร้าย และมีเสถียรภาพทางด้านอัตราเงิน ในส่วนของสถานการณ์ความตึงเครียดทางการเมืองและการค้านั้น จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก และเกิดภาวะชะลอตัวทางการค้า นอกจากนี้ ประเทศสิงคโปร์มีความสามารถในการแข่งขันสูงที่สุดในโลก ได้คะแนน 84.8 คะแนน ซึ่งสามารถล้มแชมป์เก่า คือ สหรัฐอเมริกาได้ และจากรายงานดังกล่าว แนะนำให้สิงคโปร์จำเป็นต้องส่งเสริมผู้ประกอบการ และพัฒนาทักษะเพิ่มมากขึ้น

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/vietnam-up-10-places-in-global-competitiveness-index/161767.vnp

ความเสียหายจากน้ำท่วมในนาข้าวปีนี้ผลกระทบน้อยกว่าปีที่แล้ว

ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรปศุสัตว์และการชลประทาน (MOALI) ระบุว่าพื้นที่นาข้าวกว่า 600,000 เอเคอร์ถูกน้ำท่วมขังในช่วงฤดูมรสุมในปีนี้ ซึ่งมีพื้นที่ทั้งหมด 130,000 เอเคอร์หรือ 21% ที่ได้รับความเสียหาย ในพื้นที่ที่เสียหายในปีนี้มีพื้นที่กว่า 30,000 เอเคอร์เหมาะสำหรับการเพาะปลูกในช่วงฤดู จากข้อมูลของ MOALI คาดว่าผลผลิตข้าวในปีนี้จะลดลง 700,000 ตัน  การเพาะปลูกข้าวมากกว่า 70% อยู่ในช่วงฤดูมรสุม ความเสียหายส่วนใหญ่เกิดขึ้นในพื้นที่พะโคและอิรวดี แต่ความเสียหายของปีนี้น้อยกว่าเมื่อปีที่แล้ว ในปี 61 พื้นที่นาข้าวมากกว่า 1,300,000 เอเคอร์ถูกน้ำท่วมเสียหายกว่าครึ่งหนึ่งของพื้นที่

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/less-flood-damage-local-paddy-fields-year-moali.html

ปี 61 – 62 เมียนมาส่งออกข้าวถึง 691 ล้านเหรียญสหรัฐ

เมียนมามีรายรับมากกว่า 691 ล้านเหรียญสหรัฐจากการส่งออกข้าวและข้าวหัก 2.29 ล้านตัน ใน 11 เดือนของปี 61-62 โดย 73% ของการส่งออกทั้งหมดผ่านทางทางทะเล การส่งออกข้าว 1.792 ล้านตันไปยัง 65 ประเทศคิดเป็น 559.894 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ยังส่งออกข้าวหัก 498,000 ตันไปยัง 41 ประเทศและมีรายได้ 132.139 ล้านเหรียญสหรัฐ ด้านการส่งออกข้าวไปยังตลาดอียูและแอฟริกาผ่านทางการค้าทางทะเลและจีนผ่านการค้าชายแดนมูเซเป็นหลัก ปริมาณส่งออกข้าวประมาณ 3.6 ล้านทำลายสถิติการส่งออกมากที่สุดในรอบห้าสิบปีเพราะมีการเปิดตลาดใหม่มากขึ้น สหพันธ์ข้าวเมียนมา (MRF) กำลังจัดการกับปัญหาที่ราคาตลาดที่ต่ำในปีนี้ เกษตรกรกำลังเผชิญกับความลำบากในการมีไซโล ระบบอบแห้งข้าวเปลือกและยานพาหนะที่จะใช้บรรทุกข้าว ก่อนหน้านี้มีเพียง 11 บริษัทที่ส่งออกข้าวไปจีนแต่ปัจจุบันมีมากกว่า 40 บริษัท

ที่มา: https://elevenmyanmar.com/news/myanmar-earns-us691-m-from-rice-export-in-2018-19-fy

สปป.ลาวและเวียดนามวางแผนร่วมกันเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว

สปป.ลาวและเวียดนามวางแผนที่จะร่วมกันส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อดึงดูดผู้เข้าชมให้มากขึ้น ซึ่งสปป.ลาวและเวียดนามวางแผนที่จะส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่านกิจกรรมต่าง ๆ และได้พูดคุยถึงความเป็นไปได้สำหรับโปรแกรมการท่องเที่ยว และพิจารณาวิธีการปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกและขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองและตกลงที่จะตรวจสอบสิ่งอำนวยความสะดวกผู้เข้าชมที่เว็บไซต์ท่องเที่ยวเพื่อให้แน่ใจว่าเพียงพอ นอกจากนี้ยังมีการพูดคุยกันคือทัวร์กลุ่มที่เดินทางจากสปป.ลาวไปยังเวียดนามและในทางกลับกันการสร้างผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวใหม่โฆษณาเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและวิธีดึงดูดการลงทุนเพื่อปรับปรุงเว็บไซต์ท่องเที่ยว ซึ่งข้อมูลจากกระทรวงแถลงข่าว วัฒนธรรม และท่องเที่ยวระบุว่ามีนักท่องเที่ยวมากกว่า 2.2 ล้านคนที่มาเที่ยวสปป.ลาวในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้เพิ่มขึ้นประมาณ 5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Laos224.php

Lao Telecom ทดสอบเทคโนโลยี 5G

 บริษัท ลาวเทเลคอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด ได้เริ่มทดสอบเทคโนโลยี 5G ใหม่ ซึ่งฉลาดกว่า เร็วกว่าและมีประสิทธิภาพมากกว่า 4G และตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้ดียิ่งขึ้น ระบบสื่อสารไร้สายได้พัฒนาอย่างรวดเร็วและใช้กันอย่างแพร่หลายในชีวิตประจำวัน  ซึ่งการทดสอบเทคโนโลยี 5G นี้เป็นขั้นตอนที่สำคัญสำหรับบริษัท เช่นเดียวกับผู้ใช้ที่มีความกระตือรือร้นที่จะอัปเกรดและเป็นไปตามมาตรฐานสากล สำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมไอซีทีซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการผลักดันการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมและบูรณาการกับมาตรฐานระดับภูมิภาคและระดับสากล ลาวเทเลคอมได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษในการปรับปรุงการทดสอบ 5G เป็นความพยายามล่าสุดของบริษัทในการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาสู่ประชาชนสปป.ลาว ไม่เพียงแต่ปรับปรุงชีวิตประจำวันเท่านั้น แต่ยังช่วยยกระดับธุรกิจและทำให้เศรษฐกิจแข็งแกร่งขึ้นด้วยการอัพเกรดครั้งนี้จะช่วยให้ผู้คนและธุรกิจสามารถเชื่อมโยงภูมิภาคและระหว่างประเทศได้

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/lao-telecom-tests-5g-technology-105838

นักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาเยือนกัมพูชาในช่วง 8 เดือนเพิ่มขึ้น 33%

กัมพูชาดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวจีนกว่า 1.7 ล้านคนในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2562 เพิ่มขึ้น 33% จากช่วงเดียวกันของปีที่จากรายงานล่าสุดของกระทรวงการท่องเที่ยวกัมพูชา โดยรายงานแสดงให้เห็นว่ากัมพูชายังคงเป็นแหล่งที่นักท่องเที่ยวชาวจีนนิยมเข้ามาท่องเที่ยวมากที่สุดคิดเป็นกว่า 39% ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาเยือนกัมพูชาทั้งหมดในช่วงเดือนมกราคมถึงสิงหาคมปีนี้ ซึ่งหวังว่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวจีนประมาณ 2.6 ล้านคนภายในปี 2562 และเพิ่มขึ้นเป็น 8 ล้านคนภายในปี 2573 ซึ่งจากรายงานแสดงให้เห็นว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 4.36 ล้านคนเดินทางไปกัมพูชาในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้น 10.4% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยการท่องเที่ยวเป็นหนึ่งใน 4 ภาคที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งเมื่อปีที่แล้วกัมพูชาได้ทำการต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติกว่า 6.2 ล้านคนซึ่งรวมถึงชาวจีน 2 ล้านคนมีรายได้รวมจากภาคการท่องเที่ยวถึง 4.35 พันล้านเหรียญสหรัฐ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50649196/1-7-million-chinese-tourists-visit-kingdom-in-8-months-up-33-pct/

กัมพูชากระโดด 12 จุดในการสำรวจความยั่งยืนด้านพลังงานโลก

การจัดอันดับของกัมพูชาในการสำรวจความยั่งยืนด้านพลังงานทั่วโลกล่าสุดได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างมากซึ่งบ่งชี้ว่าความพยายามของกัมพูชาในการแก้ปัญหาด้านพลังงานและการจัดหาพลังงานที่เพียงพอต่อความต้องการ โดยดัชนีพลังงาน Trilemma 2019 ที่เพิ่งรายงานออกมาว่ากัมพูชาได้รับการจัดอันดับที่ 105 จาก 128 ประเทศ คิดเป็น 12 จุดเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ซึ่ง ETI ได้รับหน้าที่จาก WEC และ บริษัท ที่ปรึกษาด้านการจัดการระดับโลก โดย Oliver Wyman จัดอันดับประเทศในด้านความสามารถในการจัดหาพลังงานที่ยั่งยืนของระบบพลังงานในแต่ละประเทศ ซึ่งจัดลำดับจากสามมิติ ได้แก่ ความมั่นคงด้านพลังงาน ความเท่าเทียมด้านพลังงานและความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งกัมพูชาดูเหมือนจะแก้ปัญหาการขาดแคลนพลังงานเรื้อรังบางส่วนโดยการซื้อพลังงานเพิ่มเติมจากประเทศสปป.ลาว เวียดนามและไทย โดยภายในปี 2563 รัฐบาลมีเป้าหมายที่จะผลิตพลังงานแสงอาทิตย์คิดเป็น 15% ของการผลิตพลังงานทั้งหมด รวมถึงกำลังมองหาศักยภาพด้านพลังงานลมอีกด้วย ซึ่งในเดือนพฤษภาคมปีนี้ บริษัท บลูเซอร์เคิลได้ทำการศึกษาความเป็นไปได้สำหรับโครงการสร้างกังหันลมในกัมพูชา

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50649231/cambodia-jumps-12-spots-in-global-energy-sustainability-survey/