สมาคมการข้าวกัมพูชาจะพบกับสหภาพยุโรปเพื่อหารือเกี่ยวกับภาษี

สหพันธ์ข้าวกัมพูชาหารือกับสหภาพยุโรปเกี่ยวกับภาษีส่งออกข้าว โดยเมื่อปีที่แล้ว EC กล่าวว่าการนำเข้าข้าว Indica จากกัมพูชาและเมียนมาที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในสหภาพยุโรปทำให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจต่อผู้ผลิตในยุโรป โดยจากการตัดสินใจของ EC ทำให้ข้าวจากกัมพูชาและเมียนมาถูกเก็บภาษีที่ 175 ยูโรต่อตันในช่วงปีแรก ในปีที่สองและปีที่สามภาษีจะลดลงเป็น 150 ยูโรและ 125 ยูโรต่อตันตามลำดับ ซึ่งในช่วงไตรมาสแรกของปี 2562 กัมพูชาส่งออกข้าวไปยังสหภาพยุโรปถึง 93,000 ตัน โดยกระทรวงเกษตรกล่าวว่าการเก็บภาษีศุลกากรได้สร้างแรงกดดันต่อราคาข้าวกัมพูชาในสหภาพยุโรปซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการแข่งขันอย่างรุนแรง ซึ่งทางภาครัฐของกัมพูชายังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมข้าวโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการช่วยผู้ผลิตลดต้นทุนการผลิตแปรรูปและต้นทุนโลจิสติกส์เพื่อให้มีความสามารถในการแข่งขันที่ดีขึ้น โดยการส่งออกข้าวของกัมพูชาเพิ่มขึ้น 3.7% ไปแตะที่ระดับ 3 แสนตัน

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50637283/rice-association-to-meet-with-eu-to-discuss-tariffs/

รัฐบาลสปป.ลาว , เอฟเอโอ ทบทวนตัวชี้วัดเส้นทางสู่การพัฒนาการเกษตรที่ยั่งยืน

เจ้าหน้าที่ของรัฐและเจ้าหน้าที่องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) กำลังประชุมเพื่อหารือเกี่ยวกับการเกษตรโภชนาการและการถือครองที่ดินและใช้เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ในสปป.ลาว ผู้เชี่ยวชาญด้านสถิติจากสำนักงานใหญ่ FAO และสำนักงานภูมิภาค FAO สำหรับเอเชียและแปซิฟิกนำเสนอประเด็นที่สำคัญเกี่ยวกับกระบวนการจัดทำดัชนีชี้วัดของ SDG และการประเมินตัวชี้วัด 21 ตัวในอนาคตภายใต้การดูแลของ FAO การประชุมเชิงปฏิบัติการจะทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าใจถึงตัวชี้วัด SDG ที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรได้ดีขึ้น บทบาทของ FAO ในการติดตามและรายงาน SDG ในระดับภูมิภาคและระดับประเทศ และวิธีการวัดตัวชี้วัดแต่ละตัว ข้อกำหนดของข้อมูลสำหรับการวัดตัวบ่งชี้พร้อมกับแหล่งข้อมูลที่เป็นไปได้จะถูกกล่าวถึงในรายละเอียดด้วย ซึ่งจะหารือเกี่ยวกับประสบการณ์และความท้าทายในการสร้างข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตัวชี้วัดเหล่านี้ในสปป.ลาวและจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบ SDG

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Govt.php

การลงทุนที่จำเป็นสำหรับสปป.ลาวเพื่อเก็บเกี่ยวผลกำไรจากการเกษตร

อุปสงค์ในระดับภูมิภาคสำหรับพืชผลและปศุสัตว์ยังคงอยู่ในระดับสูง แต่สปป.ลาวไม่สามารถใช้ประโยชน์จากศักยภาพที่จะสนองความต้องการของตลาดในภูมิภาคได้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกสิกรรมและป่าไม้เน้นย้ำความจำเป็นที่  สปป.ลาวจะต้องดึงดูดการลงทุนด้านการเกษตรเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับตลาดส่งออก หนึ่งในความท้าทายที่สำคัญคือเกษตรกรส่วนใหญ่ยังคงปฏิบัติการเกษตรแบบยังชีพด้วยวิธีการผลิตแบบดั้งเดิมซึ่งไม่สามารถผลิตได้เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ปัญหาอีกประการหนึ่งคือผลผลิตในฟาร์มคุณภาพต่ำและการกระจายตัวของห่วงโซ่คุณค่า ซึ่งการรวมตัวกันของแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในการทำฟาร์มเป็นสิ่งสำคัญในการปรับปรุงคุณภาพผลิตภัณฑ์และลดต้นทุน และเชื่อมโยงเกษตรกรและผู้ผลิตเข้ากับธุรกิจการเกษตรและโรงงานแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าส่งออก อีกทั้งสปป.ลาวยังมีศักยภาพสูงในการปลูกพืชอินทรีย์เพื่อการค้าเนื่องจากความต้องการอาหารที่สะอาดเพิ่มขึ้นเนื่องจากผู้บริโภคมีความห่วงใยสุขภาพมากขึ้น

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/more-investment-needed-laos-reap-profits-agriculture-102737

ธุรกิจพุ่งหลังกำหนดชำระคืนเงินกู้ใกล้เข้ามา

นักธุรกิจของเมียนมากำลังเรียกร้องให้เพื่อนร่วมชาติให้ชำระคืนเงินกู้เพื่อหลีกเลี่ยงวิกฤตการณ์ทางการเงิน มีการคาดเดากันว่าธนาคารจะฟ้องธุรกิจที่ไม่ได้ชำระหนี้เงินกู้เป็นประจำหรือผิดนัดชำระภายในสิ้นเดือนกันยายนหรือทรัพย์สินที่ถูกวางเป็นหลักประกันจะถูกยึด โดยกำหนดเส้นตายสำหรับการผิดนัดชำระหนี้เในปลายเดือน ก.ย.62 นี้ โดยจะมีการดำเนินคดีและการยึดทรัพย์สินต่อไป .ธนาคารทุกแห่งจะดำเนิการฟ้องเว้นแต่จะได้รับการชำระคืนภายในสิ้นเดือน ก.ย.62 โดยมีรายชื่อลูกหนี้กว่า 10,000 คนโดยบางคนเป็นนักธุรกิจอันดับต้น ๆ ที่อาจถูกขึ้นบัญชีดำ เลขาธิการสมาคมผู้ประกอบการก่อสร้างของเมียมากล่าวว่าอาจมีวิกฤติด้านการธนาคารที่รุนแรงหากธุรกิจเหล่านี้ไม่ได้ชำระคืนเงินกู้ ซึ่งสินเชื่อส่วนใหญ่มาจากธนาคารเอกชน อีกทั้งเมื่อดำเนการยึดทรัพย์อย่างอสังหาริมทรัพย์อาจไม่เป็นผลดีกับธนาคารนักเพราะราคาอยู่ในช่วงตกต่ำ ทั้งนี้ผู้ให้กู้และลูกหนี้จะต้องทำตามเงื่อนไขที่ยืดหยุ่นในการชำระคืนเพื่อปัญหาจะได้รับการแก้ไข

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/businesses-jumpy-over-impending-loan-repayment-deadline.html

มัณฑะเลย์คาด GDP ต่อหัวจะเพิ่มขึ้น

จีดีพีต่อหัวของภูมิภาคมัณฑะเลย์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คาดจะยิ่งเพิ่มด้วยกระแสเงินลงทุนจำนวน 841,600 ล้านจัตในปีงบประมาณปัจจุบันจนถึงเดือนมิ.ย.62 มีนักลงทุนจาก 7 ประเทศที่ลงทุน 445 ล้านเหรียญสหรัฐ (669.59 พันล้านจัต) ในภูมิภาคขณะที่การลงทุนในท้องถิ่นมีมูลค่าทั้งสิ้น 172 พันล้านจัต รัฐบาลของภูมิภาคได้ดำเนินมาตรการเพื่อประกันว่ามัฑะเลย์ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของภูมิภาคยังคงเป็นสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจที่สุด เขาเสริมว่าภูมิภาคนี้มีโครงการที่นำโดยรัฐบาล 5 โครงการและอีก 5 โครงการดำเนินการร่วมกันโดยรัฐบาลระดับภูมิภาคและภาคเอกชน รัฐบาลระดับภูมิภาคมีแผนที่จะผลิตกระแสไฟฟ้าให้กับทั้งภูมิภาคภายในปี พ.ศ. 64 แต่ปัจจุบันมีเพียง 38% ของภูมิภาคเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงกระแสไฟฟ้าได้ในปีงบประมาณ 58-59 และเพิ่มขึ้นเป็น 74% ในปีงบประมาณปัจจุบัน นอกจากนี้ถนนบางสายได้ถูกสร้างขึ้นในพื้นที่ชนบทราว 748 กม. ในปีงบประมาณ 60-62 ในขณะที่สะพานอีก 3,023 เมตรถูกสร้างขึ้นในราคา 25,600 ล้านจัต

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/mandalay-region-expects-capita-gdp-rise.html

บริษัทอินเดียร่วมมือทำโครงการรถโดยสารประจำทางกับรัฐบาลกัมพูชา

กลุ่มบริษัทในอินเดียและผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอินเดียกำลังมองหาพันธมิตรกับรัฐบาลกัมพูชาในโครงการที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบขนส่งสาธารณะของกัมพูชาและทำให้กัมพูชาเป็นผู้ผลิตและส่งออกรถโดยสารที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า โดยมีข้อเสนอระหว่างกันคือบริษัท Sram & Mram และพันธมิตรจะให้การสนับสนุนด้านเงินทุนความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคและโครงสร้างพื้นฐานในขณะที่รัฐบาลกัมพูชาจะเป็นผู้จัดหาที่ดินที่มีการติดตั้งสิ่งอำนวยความสะดวก ซึ่งเงินลงทุนจะอยู่ราว 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยรวมถึงการก่อสร้างโรงงานประกอบรถบัสในประเทศอื่นๆ เช่น อินเดีย และเมียนมาในระยะ 5 ปีข้างหน้า และโครงการนี้ยังมีเป้าหมายในการสร้างงานกว่า 1 หมื่นตำแหน่งสำหรับคนในท้องถิ่น ซึ่งความคิดริเริ่มดังกล่าวจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของกัมพูชาไปข้างหน้า

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50637280/indian-companies-eye-bus-project-partnership-with-cambodian-govt/