‘บ.ไฟฟ้าเวียดนาม’ ลงนามสัญญาโครงการไฟฟ้าพลังงานน้ำในเนปาล

เมื่อวันจันทร์ (20 ก.ย.) บริษัทที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมของเวียดนาม (PECC1) ได้ลงนามในสัญญาเพื่อให้บริการและออกแบบโครงการไฟฟ้าพลังงานน้ำในเขตอำเภอตะนะหุ ประเทศเนปาล โดยสัญญาดังกล่าวได้รับการลงนามระหว่างบริษัท Sond Da Corporation ของเวียดนามและบริษัท Kalika ของเนปาล ทั้งนี้ โครงการ “Tanahu” มีเป้าหมายเพื่อตอบสนองความต้องการพลังงาน โดยเฉพาะฤดูหนาวที่แห้งแล้ง และลดการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล นอกจากนี้ นาย Nguyễn Hữu Chỉnh ผู้อำนวยการทั่วไปของบริษัทฯ กล่าวในงานแถลงข่าวว่านับเป็นก้าวสำคัญของการร่วมมือทั้งสองฝ่าย และดึงนำทรัพยากรบุคคลที่ดีที่สุดมาทำโครงการดังกล่าว

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/1035893/viet-nams-power-company-seals-contract-for-hydropower-project-in-nepal.html

‘SCG’ เล็งขยายการลงทุนเพิ่มอีก 353 ล้านเหรียญสหรัฐในเวียดนาม

บริษัทยักษ์ใหญ่สัญชาติไทย ‘บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง’ ประกาศแผนขยายการลงทุนในเวียดนาม ด้วยเม็ดเงินกว่า 353 ล้านเหรียญสหรัฐ วัตถุประสงค์ของแผนงานดังกล่าวเพื่อสร้างโรงงานใหม่ในจังหวัดหวิญฟุ้ก (Vinh Phuc) ทางตอนเหนือของประเทศ ซึ่งจะเพิ่มกำลังการผลิต 74% สู่ระดับปริมาณการผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษ 870,000 ตันต่อปี ทั้งนี้ เวียดนามเป็นผู้บริโภคและผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดในภูมิภาค ทำให้เป็นที่สนใจของนักลงทุนข้ามชาติ นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (CSCGP) กล่าวว่าความต้องการบรรจุภัณฑ์และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องมีแนวโน้มขยายตัวประมาณ 6-7% ต่อปี ตั้งแต่ปี 2564-2567

ที่มา : https://e.vnexpress.net/news/business/companies/thai-packaging-firm-eyes-353-mln-expansion-in-vietnam-4359690.html

‘ธุรกิจต่างชาติ’ หวังเวียดนามจะกลับมาเปิดเศรษฐกิจ

ตามจดหมายของกลุ่มสมาคม อาทิ หอการค้าสหรัฐฯ (AmCham), หอการค้ายุโรป (EuroCham), หอการค้าเกาหลีใต้ (KoCham) และสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน ได้ชื่นชมทิศทางการดำเนินงานเพื่อต่อสู้กับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสของนายฝั่ม มิญ จิ๊ญ นายกรัฐมนตรีเวียดนาม โดยกลุ่มนี้ประเมินว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากที่เวียดนามต้องดำเนินมาตรการเพื่อรักษาระดับความสามารถทางการแข่งขันในภูมิภาคและโลก ตลอดจนต่อสู้กับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสและสร้างความมั่นใจในการพัฒนาเศรษฐกิจ ทั้งนี้ สมาคมต่างๆ ยืนยันว่ากิจการต่างชาติต้องการแผนงานที่ชัดเจนของรัฐบาลในการกลับมาเปิดเศรษฐกิจ ส่วนประเด็นของวัคซีนนั้น สมาคมต้องการให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับการฉีดวัคซีนแก่บุคลากรทางการแพทย์ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย ผู้ส่งสินค้า ผู้ค้าปลีก เภสัชกรและคนงานในนิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น โดยเฉพาะแรงงานในภาคใต้ของเวียดนาม

ที่มา : https://vietnamtimes.org.vn/foreign-businesses-expect-vietnam-to-reopen-its-economy-36028.html

 

‘นครโฮจิมินห์’ อยู่ภายใต้แรงกดดันให้เปิดเศรษฐกิจอีกครั้ง

นายเหวียน วัน เน็น เลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์ กล่าวว่าเมืองโฮจิมินห์อยู่ภายใต้แรงกดดันมหาศาลต่อการเปิดเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งระดับความเลวร้ายของเศรษฐกิจและความทุกข์ยากของประชาชนถึงขีดจำกัดแล้ว เป็นผลมาจากมาตรการล็อกดาวน์ที่ยืดเยื้อ ทำให้เมืองต้องปรับแผนที่จะเปิดเมืองอีกครั้งและใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส ทั้งนี้ ผู้อำนวยการโรงเรียนการนโยบายสาธารณะและการจัดการ กล่าวว่าการเปิดเมือง เพื่อเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจและความมั่งคงทางสังคมกลายมาเป็นเรื่องเร่งด่วนมากยิ่งขึ้น เนื่องจากภาคธุรกิจและประชาชน โดยเฉพาะผู้คนยากจนต้องแสวงหาทางรอด ท่ามกลางการล็อกดาวน์

ที่มา : https://english.vov.vn/en/economy/hcm-city-under-pressure-to-reopen-economy-municipal-leader-891877.vov

 

คนเวียดนามซื้อของออนไลน์เพิ่มขึ้น ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19

จากการศึกษาของ iPrice เปิดเผยว่าผลการจัดอันดับธุรกิจอีคอมเมิร์ซของเวียดนามเปลี่ยนแปลงไปในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ด้วยจำนวนการค้นหาร้านค้าออนไลน์บนแพลตฟอร์มอย่าง ‘Google’ ที่พุ่งสูงขึ้น ผลการศึกษาดังกล่าว พบว่าร้านค้าปลีกออนไลน์ถือเป็นหมวดหมู่ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัส ส่วนหนึ่งมาจากความต้องการเพิ่มขึ้นของร้านค้าออนไลน์ที่ขายสินค้าจำเป็นในช่วงการเว้นระยะทางสังคม ทั้งนี้ จำนวนการค้นหาบนบนแพลตฟอร์ม ‘Google’ ที่เกี่ยวข้องกับร้านค้าปลีกออนไลน์ พุ่งทะยาน 223% ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 จำนวนการค้นหาในเดือน ก.ค. เพิ่มขึ้น 11 เท่า เมื่อเทียบกับเดือน พ.ค. นอกจากนี้ iPrice พบว่าราคาสินค้าอุปโภคบริโภคในเวียดนามถูกที่สุดในอาเซียน โดยผู้คนส่วนใหญ่ให้ความสนใจกับอาหารสด เครื่องดื่ม สินค้าที่บรรจุเสร็จ ผลไม้และผัก เป็นต้น

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/vietnamese-consumers-demand-for-shopping-groceries-online-soars-amid-covid19/208202.vnp

 

อะไรทำให้ ‘เวียดนาม’ เนื้อหอม ดึงดูดนักลงทุน ก้าวสู่ฐานการผลิตโลก สวนทาง ‘ไทย’ ที่กำลังโดนทิ้ง

โดย รุ่งนภา พิมมะศรี I กองบรรณาธิการสายเศรษฐกิจ ไทยรัฐพลัส

ความสามารถในการแข่งขันของไทยลด และกำลังโดนทิ้ง

ความกังวลที่ว่านักลงทุนรายใหม่จะไม่เข้ามา และนักลงทุนรายเดิมจะหนีไป เกิดขึ้นจริงแล้ว ดังที่มีข่าว ข้อมูล และตัวเลขต่างๆ-บริษัทต่างชาติปิดบริษัท บริษัทต่างชาติย้ายฐานการผลิต แรงงานร่ำไห้หน้าโรงงานในวันทำงานวันสุดท้าย คือเหตุการณ์ที่ปรากฏให้เห็นเป็นข่าวอยู่เรื่อยมา และข้อเท็จจริงอันหนึ่งที่อาจจะฟังดูเศร้าๆ คือ บริษัทสัญชาติไทยเองก็ไปลงทุนตั้งฐานการผลิตในเวียดนาม

ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีนักลงทุนรายใหม่เข้ามาลงทุนในไทยเลย เพียงแต่ตัวเลขจำนวนโครงการและมูลค่าการลงทุนใน 3 ปีหลังลดลง และมูลค่าไม่สูงเท่าประเทศคู่แข่งรายสำคัญอย่างเวียดนาม

เมื่อช่วงกลางปี 2564 ที่เพิ่งผ่านมา มีข่าวอันลือลั่นจากรายงานของ KKP Research ที่ว่าโลกกำลังจะทิ้งไทย ซึ่งข้อมูลในรายงานบอกว่า เมื่อเทียบการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศใน 5 ประเทศอาเซียน ได้แก่ ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ พบว่าสัดส่วนของไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง จากที่เคยมีสัดส่วนอยู่มากกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงปี 2547-2550 แต่ในช่วงปี 2559-2562 ลดเหลือประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างที่ทำให้ความสามารถในการแข่งขันอ่อนแอลง

ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ว่าสถิติการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนของโครงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง

เวียดนามดึงดูดนักลงทุนเก่ง สวนทางกับไทย

กราฟเทียบมูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของไทยกับเวียดนาม จากคลังข้อมูลของธนาคารโลก (World Bank) ช่วยให้เห็นภาพความสามารถในการดึงดูดนักลงทุนของเวียดนามชัดขึ้น

ปี 2563 ข้อมูลจากกระทรวงการวางแผนและการลงทุน ประเทศเวียดนาม ระบุว่า 11 เดือนแรกของปี 2563 การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในเวียดนามมีมูลค่า 17,200 ล้านดอลลาร์ โดยภาคการผลิตและการแปรรูปดึงดูดการลงทุนมากที่สุด ส่วนประเทศที่เข้าไปลงทุน 5 อันดับแรก ได้แก่ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ไต้หวัน และฮ่องกง

“ยังมีนักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจ ไว้วางใจ และมีความจำเป็นต้องลงทุนในเวียดนามเป็นจำนวนมาก แต่เนื่องจากผลกระทบของโควิด-19 ทำให้การเดินทางของนักลงทุน ตลอดจนการตัดสินใจลงทุนครั้งใหม่ และการขยายขนาดโครงการโดยตรงจากต่างประเทศยังคงได้รับผลกระทบ” ข้อมูลจากทางการเวียดนาม

และในปี 2564 นี้ นับถึงวันที่ 20 มิถุนายน 2564 มูลค่าเงินทุนจากโครงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในเวียดนาม อยู่ที่ประมาณ 9,240 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 306,832 ล้านบาท มากกว่าของไทยในช่วงเวลาเดียวกันที่มีมูลค่า 278,658 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 6.8 เปอร์เซ็นต์จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ปัจจัยเด่นของเวียดนามที่โดนใจบริษัทต่างชาติ

เป็นเรื่องที่น่าสนใจว่าอะไรเป็นเหตุผล เป็นปัจจัยสนับสนุนที่ทำให้บริษัทต่างชาตินิยมเลือกเวียดนามเป็นฐานการผลิต? ไม่ว่าจะสำหรับการขยายฐานการผลิตเพิ่มเติม หรือย้ายฐานการผลิตมาจากประเทศอื่น

ศูนย์พัฒนาการค้าและธุรกิจไทยในอาเซียน สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครโฮจิมินห์ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เคยวิเคราะห์ปัจจัยที่ดึงดูดนักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนในเวียดนาม ว่ามี 6 ปัจจัย ดังนี้

  1. ความมีเสถียรภาพของรัฐบาล

เวียดนามปกครองด้วยระบอบสังคมนิยม มีพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียว คือพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ซึ่งมีบทบาทในการกำหนดแนวทางการบริหารประเทศทุกด้าน ทําให้การบริหารประเทศเป็นไปอย่างราบรื่น และนโยบายต่างๆ ได้รับการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันผู้นำประเทศมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการบริหารประเทศ และมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างจริงจัง ซึ่งช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนต่างชาติที่สนใจเข้ามาลงทุนในเวียดนาม

  1. ทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์

เวียดนามมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะพลังงาน และแร่ธาตุ เช่น มีแหล่งน้ำมันดิบกระจายอยู่ทั่วทุกภาค เป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันดิบรายสำคัญอันดับ 3 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากมาเลเซีย และอินโดนีเซีย, มีปริมาณเชื้อเพลิงสำรอง เช่น ก๊าซธรรมชาติ ปิโตรเลียม และถ่านหินอยู่มาก รวมทั้งแร่ธาตุสําคัญ คือ บอกไซต์ โปแตสเซียม และเหล็ก นอกจากนี้ ยังมีป่าไม้ มีทรัพยากรดินและน้ำอย่างเพียงพอทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพเอื้อต่อการเพาะปลูก

  1. เป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพ

เวียดนามมีประชากรมากถึง 90 ล้านคน ชาวเวียดนามเริ่มมีกำลังซื้อมากขึ้นตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และชาวเวียดนามโพ้นทะเลหรือที่เรียกว่า ‘เวียดกิว’ ซึ่งมีประมาณ 3 ล้านคน โอนเงินกลับประเทศปีละประมาณ 3,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ชาวเวียดนามส่วนใหญ่ต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีคุณภาพดีจำนวนมากและเพิ่มขึ้นทุกปี

  1. เน้นนโยบายเป็นมิตรกับทุกประเทศ

เวียดนามให้ความสำคัญกับมิตรประเทศ รวมถึงนโยบายด้านความปลอดภัย ทําให้เวียดนามไม่เคยตกเป็นเป้าหมายของการก่อการร้าย และแทบไม่มีปัญหาอาชญากรรมขั้นร้ายแรง ประกอบกับเวียดนามมีกฎหมายที่เข้มงวดและมีบทลงโทษรุนแรง ส่งผลให้เวียดนามเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยสูงแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่นและตัดสินใจเข้าไปลงทุน

  1. เวียดนามให้ความสำคัญกับการพัฒนาเส้นทางคมนาคมขนส่ง

มีการพัฒนาเส้นทางคมนาคมขนส่ง ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ ตลอดจน สาธารณูปโภคต่างๆ ให้มีความสะดวกและทันสมัยยิ่งขึ้น เพื่อรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการพัฒนาเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจแนวตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor: EWEC)

  1. ความได้เปรียบด้านแรงงาน

ชาวเวียดนาม 48 ล้านคน หรือคิดเป็น 55 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรเวียดนามทั้งหมดอยู่ในวัยทำงาน มีอายุระหว่าง 15-64 ปี และอัตราการรู้หนังสือของชาวเวียดนามสูงกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของประชากร ทำให้เวียดนามมีแรงงานคุณภาพจำนวนมาก อัตราค่าจ้างแรงงานต่ำ และยังสามารถหาแรงงานได้ง่าย นายจ้างสามารถรับสมัครแรงงานได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านกระทรวงแรงงานของเวียดนาม ในขณะเดียวกัน ชาวเวียดนามก็มีความสนใจสมัครงานโดยเฉพาะกับบริษัทต่างชาติ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นจุดแข็งของตลาดแรงงานในเวียดนาม

อ่านต่อ : https://plus.thairath.co.th/topic/money/100479