ภาคเกษตรกรรมเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจเมียนมา

ปัจจุบันรัฐบาลกำลังให้ความสำคัญกับการพัฒนาการเกษตรมากกว่าการท่องเที่ยวเนื่องจากรัฐฉานมีศักยภาพที่จะเป็นโรงไฟฟ้าการเกษตรในเมียนมา ซึ่งประชากรในรัฐฉานยังพึ่งพาการเกษตรเพื่อการดำรงชีวิต ข้าว, ข้าวโพด, ถั่วเหลือง โดยส่งออกไปยังจีน และยังเป็นที่ตั้งของเขตการค้าชายแดนมูเซและท่าขี้เหล็ก มีพลังงาน น้ำ โครงสร้างพื้นฐานเช่น ถนนที่ปรับปรุงให้ใช้งานได้ ฉานมีพื้นที่ 2.3 ล้านเฮกเตอร์ (5.7 ล้านไร่) ที่เหมาะสำหรับการเพาะปลูกแต่มีการใช้พื้นที่เพียงประมาณ 800,000 เฮกตาร์ ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนต่างประเทศ การปะทะกันของกลุ่มติดอาวุธยังไม่น่าเป็นห่วงมากนัก ความท้าทายของรัฐฉานคือขาดข้อมูล เทคโนโลยี และการพัฒนาวิจัย การเก็บรักษา บรรจุภัณฑ์และการเชื่อมโยงตลาดเป็นจุดอ่อนที่สุดการลงทุน ปัจจุบันบริษัทค้าปลีกและค้าส่งจากเยอรมนี METRO Wholesale ได้ขยายกิจการในรัฐฉานเพื่อรับผลิตภัณฑ์โดยตรงจากเกษตรกรและผู้เลี้ยงปศุสัตว์เพื่อจำหน่าย และได้เปิดศูนย์จัดซื้อในอองแพนในรัฐฉาน รัฐบาลของรัฐฉานกำลังวางแผนที่จะดำเนินโครงการระยะสั้นเพื่อพัฒนาการเกษตรและโครงการลงทุนระยะยาวเพื่อเพิ่มการลงทุนในรัฐ แม้วรัฐฉานจะมีศักยภาพ แต่ก็ยังมีความท้าทายที่ต้องเอาชนะได้ตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการพัฒนาด้านการตลาด

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/agriculture-economic-driver.html

EU เตรียมเพิกถอน GSP ของเมียนมา

รายงานของสภาการค้าและอุตสาหกรรมแห่งสหภาพเมียนมา (UMFCCI)  สหภาพยุโรป (EU) อาจเตรียมที่จะเพิกถอนสถานะระบบสิทธิพิเศษทั่วไปทางภาษี (GSP) ของเมียนมา ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยเสื้อผ้า สิ่งทอ สหภาพยุโรปเริ่มพิจารณาการถอน GSP ที่มีมาตั้งแต่ปี 2556 หลังจากความรุนแรงต่อชาวมุสลิมในรัฐยะไข่ในปี 2560 ซึ่ง 60% ของผลิตภัณฑ์ที่ส่งออกไปอียูมาจากภาคการตัดเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูป (CMP) หาก GSP ถูกถอนออกไปอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจะเป็นเสื้อผ้า ซึ่งเมียนมาไม่มีทางเลือกนอกจากหาตลาดใหม่ สหภาพยุโรปได้ให้สิทธิ GSP ให้กับสปป.ลาว กัมพูชา เวียดนาม เมียนมาและบังคลาเทศ และถ้าหากถูกเพิกถอนสิทธิ์ ประเทศเหล่านี้ล้วนแต่เป็นคู่แข่งที่สำคัญอย่างยิ่ง และแน่นอนอยู่แล้วที่สหภาพยุโรปจะหันไปซื้อสินค้าจากคู่แข่งที่ราคาถูกกว่าเพราะราคาที่ไม่สามารถแข่งขันได้

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/eu-preparing-revoke-myanmar-gsp-umfcci.html

การนำเข้าสินค้าทุนมากกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐในเวลาสองเดือน

ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.ถึง 29 พ.ย.ในปีงบประมาณปี 62-63 มูลค่าการนำเข้าสินค้าทุนสูงถึง 1,021 ล้านเหรียญสหรัฐในขณะที่มูลค่าของปีที่แล้วอยู่ที่ 934.902 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเกินกว่า 86.701 พันล้านเหรียญสหรัฐ มีธุรกิจต่างประเทศ 35 แห่งที่ได้รับการอนุมัติมีการลงทุน 496.282 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงเวลาดังกล่าวธุรกิจที่ลงทุนอยู่แล้วได้ขยายการลงทุนเป็น 18 พันล้านเหรียญสหรัฐ และการลงทุนใหม่มีมูลค่า 514.882 ล้านเหรียญสหรัฐ จำนวนการลงทุนจากต่างประเทศที่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษติวาล่ามีมูลค่าถึง 14.303 ล้านเหรียญสหรัฐ ดังนั้นการลงทุนจากต่างประเทศรวม 529.189 พันล้านเหรียญสหรัฐรวมถึงการลงทุนที่มีอยู่ในปัจจุบัน เมียนมาตั้งเป้าที่จะได้รับเงินลงทุนจากต่างประเทศรวมกว่า 220,000 ล้านเหรียญสหรัฐใน 20 ปี และมีเป้าหมายที่จะเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางภายในปี 2573

ที่มา: https://elevenmyanmar.com/news/capital-goods-import-value-over-1bn-in-two-months

จำนวนนักท่องเที่ยวชายแดนเมียวดีเพิ่มขึ้น

นักท่องเที่ยวจากประเทศที่สามกว่า 37,000 คนเดินทางผ่านชายแดนเมียวดีของเมียนมา ใน 11 เดือนของปีนี้เพิ่มขึ้น 23,000 คนเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ปี 61 มีเพียง 14,000 คนที่มาเยือนเมียนมาผ่านทางชายแดนเมียวดีและจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเยือนเพิ่มขึ้นในปีนี้ โดยใช้ e-visas เพื่อเริ่มธุรกิจและการท่องเที่ยว ในปีนี้มีนักท่องเที่ยวจากประเทศไทยจำนวน 5,937 คน มีชาวเมียนมามากกว่า 26,800 คนเดินทางมาไทยด้วยวีซ่าหนังสือและมีเพียง 13,000 คนที่เดินทางกลับ เมียนมาปิดประตูชายแดนเพื่อให้กับนักท่องเที่ยวเมื่อวันที่ 28 ส.ค. 56 และนิยมใช้ e-visas ผ่านระบบออนไลน์

ที่มา: https://elevenmyanmar.com/news/number-of-tourist-arrival-via-myawady-border-increases

โครงการจัดหาน้ำจืดมูลค่า 76 ล้านเหรียญสหรัฐ ในมะริด

บริษัท Myeik Public Corporation ดำเนินโครงการจัดหาน้ำจืดมูลค่า 76 ล้านเหรียญสหรัฐ ในเมืองมะริด เขตตะนาวศรี โดยร่วมมือกับบริษัท Bright Blue Water จากประเทศไทย วัตถุประสงค์หลักคือ เนื่องจากมะริดต้องพึ่งพาบ่อใต้ดินเป็นหลัก น้ำใต้ดินอาจแห้งในระยะยาว เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงน้ำ โดยได้เลือกแหล่งน้ำจืดสองแห่งจากแม่น้ำตะนาวศรี น้ำจะถูกส่งไปยังหมู่บ้าน Ingamaw ในเมืองมะริด ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตน้ำบริสุทธิ์ เมื่อโครงการประสบความสำเร็จสามารถส่งน้ำไปยังโรงงานแปรรูปปลา กุ้ง โรงงานน้ำแข็ง และเรือประมงกว่า 1,000 ลำในมะริด จากการคำนวณโครงการจะมีมูลค่า 2,300 ล้านบาท (ประมาณ 76 ล้านเหรียญสหรัฐ) โดยจะเริ่มภายในหนึ่งปี ตอนนี้ราคาน้ำจืดในเมืองมะริดต่อหน่วยคือ 1,300 จัต

ที่มา : https://elevenmyanmar.com/news/76-million-dollars-fresh-water-supply-project-under-way-in-myeik

รัฐบาลเมียนมาตั้งเป้าคุมการค้าผิดกฎหมาย

รัฐบาลจะเพิ่มการกำจัดการค้าที่ผิดกฎหมายโดยการวางกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพมากกว่านี้ จากการเปิดเผยระหว่างการประชุมคณะกรรมการพัฒนาภาคเอกชนเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ที่ผ่านมา การค้าที่ผิดกฎหมายผ่านบริเวณชายแดนมีผลกระทบร้ายแรงต่อธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางในท้องถิ่น และเพื่อจัดการกับปัญหารัฐบาลได้จัดตั้งคณะกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหา จากข้อมูลล่าสุดพบว่าเมียนมาอยู่ในอันดับต่ำสุดของดัชนีสภาพแวดล้อมการค้าโลกผิดกฎหมายในปี 61 จากข้อมูลการนำเข้าพบว่ามูลค่าการค้ารวมของสินค้าอุปโภคบริโภคหกรายการมีมูลค่า 2.37 พันล้านดอลลาร์สหรัฐจากทั้งหมด 6.44 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ การค้าผิดกฎหมายส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการลักลอบขนของผ่านเส้นทางการค้าชายแดน ศุลกากรและหน่วยงานรัฐฯ ยึดสินค้าที่ลักลอบนำเข้าจากท่าเรือ สนามบิน และชายแดนมูลค่าเกือบ 34.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ (25.14 ล้านเหรียญสหรัฐ) ในปีที่แล้วคิดเป็นเพียง 0.4% ของการค้าที่ผิดกฎหมายตัวขับเคลื่อนหลักของการค้าที่ผิดกฎหมายคือ กำไรจากการเลี่ยงภาษี สาเหตุอีกประการหนึ่งคือข้อการจำกัดการนำเข้าสินค้า คณะกรรมการพัฒนาเอกชนได้จัดตั้งหน่วยงานพิเศษเพื่อควบคุมการนำเข้าที่ผิดกฎหมายในเก้ารัฐและภูมิภาค สามารถป้องกันการลักลอบขนสินค้า 1,065 มูลค่ามูลค่ารวม 15.645 พันล้านจัต จากกันยายน 61 ถึงตุลาคม 62

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/government-sets-sights-curbing-illegal-trade.html

มูลค่าของเถื่อนเมียนมาสูงถึง 1.56 พันล้านจัต

ตั้งแต่ ก.ย. 61 ถึง ต.ค. 62 กระทรวงพาณิชย์ยึดของต้องห้ามมูลค่าประมาณ 15.6 พันล้านจัต ในเก้าภูมิภาค ปัจจุบันรัฐบาลดำเนินการตามแผนพัฒนาอย่างยั่งยืนของเมียนมา (2561-2573) ประกอบด้วยห้าเสาหลัก เพื่อสันติภาพ หลักนิติธรรม และการพัฒนาที่ยั่งยืน สำหรับการต่อสู้กับยาเสพติด การฟอกเงินและการพัฒนาธุรกิจจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาของภาคเอกชนและ SMEs นอกจากนี้ยังเร่งป้องกันและปราบปรามเสพติดให้สอดคล้องกับกฎหมายต่อต้านยาเสพติด และให้ปลูกพืชทดแทน เช่น ดอกป๊อปปี้ การควบคุมสารเคมีที่ การให้ความรู้และการใช้เครื่องจักรที่ทันสมัย ส่วนการทำหน้าที่ของตำรวจพบว่ามีคดีฟอกเงิน 10 คดีในปี 61 และ 16 คดีในปี 62 ปัจจุบันรัฐบาลได้เพิ่มความพยายามในการต่อสู้กับการค้าที่ผิดกฎหมาย

ที่มา: https://elevenmyanmar.com/news/estimated-ks-156-billion-worth-of-contraband-seized