มูลค่าการค้าโดยรวมเพิ่มขึ้นราว 590 ล้านเหรียญสหรัฐ

รายงานของกระทรวงพาณิชย์ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.ถึง 15 พ.ย.ของปีงบประมาณนี้มูลค่าการค้ารวมแตะที่ 4.598 ล้านเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้น 587.875 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ขาดดุลการค้าเกือบ 20 ล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็นมูลค่าการส่งออกถึง 2.289 พันล้านเหรียญสหรัฐในขณะที่มูลค่าการนำเข้าแตะ 2.309 พันล้านเหรียญสหรัฐ ดุลการค้าขาดดุลลดลงกว่า 550 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ เกษตร, สัตว์, ทะเล, ป่าไม้, เหมืองแร่, ธุรกิจเสื้อผ้าแบบ Cutting Marking Packaging (CMP) และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ สินค้านำเข้า ได้แก่ สินค้าทุน วัตถุดิบ และวัตถุดิบ CMP มูลค่าการค้าโดยรวมคาดว่าจะสูงถึง 34 พันล้านเหรียญสหรัฐในปีงบประมาณ 62-63 การส่งออกสามารถทำรายได้มากถึง 18 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 62-62 มูลค่าการค้ารวมแตะที่ 34,979 ล้านเหรียญสหรัฐสูงกว่าเป้าหมายที่ 31.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ

ที่มา : https://elevenmyanmar.com/news/total-trade-value-increases-by-around-590-m

นโยบายใหม่ต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมเหล็กเมียนมา

บริษัท ผู้ผลิตเหล็กระหว่างประเทศในเขตเศรษฐกิจพิเศษติลาว่า กำลังมองหาโอกาสเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านการผลิตเหล็กในมีเพียง 50,000 ตัน แต่ยังมีศักยภาพมากเนื่องจากประเทศยังต้องการการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมากซึ่งต้องใช้เหล็ก โอกาสการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) จึงมีแนวโน้มที่ดี คาดเติบโต 7% โดยได้รับการสนับสนุนจากธนาคารโลก ตลาดจะพัฒนาหากมีการสนับสนุนการผลิตเหล็ก ตอนนี้ส่วนใหญ่นำเข้าเป็นหลักซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตในอุตสาหกรรมท้องถิ่น ความต้องการอยู่ที่ประมาณ 2 ล้านถึง 2.5 ล้านตันต่อปี มากกว่า 90 % จากการนำเข้า อีกไม่กี่ปีความต้องการเหล็กจะเพิ่มขึ้นและทำไมต้องนำเข้าทั้งที่ผลิตได้เอง แต่ปัญหาคือการนำเข้าได้รับการยกเว้นภาษีซึ่งทำให้แข่งขันได้ยาก การนำเข้าส่วนใหญ่มาจากเวียดนามซึ่งได้รับการปกป้องด้วยนโยบายและกฎระเบียบ หากนโยบายที่คล้ายคลึงกันถูกนำไปใช้ในการผลิตเหล็กในประเทศจะเพิ่มขึ้นถึงห้าเท่าคือ 50,000, 000 ตันภายในสิบปี หากการผลิตเหล็กเติบโตขึ้นจะสามารถยับยั้งการไหลออกของเงินสำรองต่างประเทศและกลายเป็นผู้ส่งออกเหล็กได้ สามารถเพิ่มการจ้างงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/new-policies-needed-unleash-growth-steel-industry.html

ธนาคารเพื่อการท่องเที่ยวเมียนมาปล่อยสินเชื่อให้สมาคมการท่องเที่ยว

ธนาคารการท่องเที่ยวแห่งเมียนมา (MTB) ประกาศว่าจะเริ่มปล่อยกู้แก่สมาชิกสมาคมการท่องเที่ยวแห่งสหภาพเมียนมา (UMTA) ในเดือนนี้ MTB ประกาศสินเชื่อ SMEs สำหรับสมาชิก UMTA ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทท่องเที่ยวและการท่องเที่ยว อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกันกำหนดไว้ที่ 13% ต่อปีและผู้สมัครจะต้องทำประกันสำหรับสินเชื่อ (CGI) จากเมียนมาประกันภัย จำนวนเงินสูงสุดของสินเชื่ออยู่ที่ 20 ล้านจัต ด้วยเป็นธนาคารที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวจึงมุ่งปล่อยสินเชื่อให้กับภาคนี้ แต่ยังวางแผนที่จะให้การสนับสนุนแก่ภาคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องและธุรกิจอื่น ๆ ในมุมมองนักธุรกิจคิดว่าอัตราเงินกู้สูงเกินไป แต่ก็ประสบปัญหาในการขอสินเชื่อกับธนาคารอื่น จากสถิติของกระทรวงโรงแรมและการท่องเที่ยวมี บริษัทท่องเที่ยวและการท่องเที่ยวมากกว่า 2,500 แห่ง แต่ส่วนใหญ่เป็น SMEs ในขณะเดียวกัน UMTA มีสมาชิกประมาณ 1,000 คน MTB เป็นหนึ่งในห้าธนาคารเฉพาะกิจที่ได้รับอนุญาตจากธนาคารกลางของเมียนมา (CBM) ในปี 60 ก่อตั้งขึ้นโดย บริษัท การท่องเที่ยวสาธารณะ วัตถุประสงค์เพื่อปล่อยสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อช่วยเหลือภาคการท่องเที่ยว

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/bank-provide-tourism-association-members-no-collateral-loans.html

การลงทุนการศึกษาในเมียนมา

เมื่อหลายวันก่อนสถาบันที่ปรึกษาอัจฉริยะด้านการค้าและการลงทุน (AITI) ของสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้ส่งผู้ประกอบการที่ต้องการจะไปลงทุนในเมียนมา มาขอคำปรึกษาจากทั้งหมด 3 ราย หนึ่งในนั้นเป็นผู้ประกอบการที่อายุยังน้อยทำธุรกิจเกี่ยวกับโรงเรียนกวดวิชาที่มีการสอนด้านภาษา ด้านดนตรี ด้านวิชาการและสันทนาการเข้ามาปรึกษาขายแฟรนไชส์การศึกษาที่เมียนมา มีความเป็นไปได้หรือไม่ ซึ่งอยากให้เขาทำการบ้านให้มากกว่านี้ แล้วค่อยมาปรึกษากันใหม่ เมียนมามีความเสี่ยงมากเพราะการศึกษาของเมียนมาต่างจากที่อื่น เมียนมาเรียนในระบบ 6-2-2 ไม่เหมือนไทยที่เรียนระบบ 6-3-3 การสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่จะไม่ใช้วิธีการสอบเอนทรานส์ ที่นั่นใช้วิธีวัดผลสอบ โดยเอาคะแนนการสอบปลายปีของปี 10 มายื่นเรื่องขอเรียนต่อในมหาวิทยาลัยได้เลย ข้อสอบจากส่วนกลางจะส่งตรงไปที่เขตจังหวัดเลย ข้อดีคือไม่ซ้ำซ้อน และไม่ต้องสิ้นเปลืองทรัพยากรมากแต่ต้องซื่อสัตย์ การเรียนการสอนของที่เมียนมาคุณภาพจึงเข้มข้นมากๆ ตำราเรียนคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ที่นี่ใช้ตำราเรียนเป็นภาษาอังกฤษ เด็กจึงมีคุณภาพ จบแค่ปี 8 ก็สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ จบจากที่นี่สามารถสอบเข้าเรียนที่สิงคโปร์ ออสเตรเลีย อังกฤษ สหรัฐอเมริกาได้เลย ถ้ามีฐานะดีมักจะคาดหวังที่สี่ประเทศดังกล่าวเป็นอันดับต้นๆ ส่วนที่มีฐานะรองลงมาหรือคนในรัฐฉานที่เป็นไทยใหญ่ ก็ต้องมาที่ประเทศไทยเพราะถูกดีและสามารถพูดไทยได้ อันดับแรกเลยคือต้องทำการสำรวจตลาดก่อน ด้วยการเดินตามโรงเรียนเอกชนต่างๆ และโรงเรียนอินเตอร์อาจจะซึ่งอาจไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายก็เป็นได้ เพราะถ้าสามารถเรียนโรงเรียนอินเตอร์ เป้าหมายไปไกลแล้ว การศึกษาของเราน่าจะสู้สิงคโปร์ลำบาก จากนั้นค่อยมาวางแผนว่าวิสัยทัศน์ว่าจะเดินไปอย่างไร น่าจะเป็นทางออกที่เสี่ยงน้อยกว่า

ที่มา: https://www.posttoday.com/aec/trade/607276

การกระตุ้นเศรษฐกิจของเมียนมา

การใช้นโยบายลดความร้อนแรงในตลาดอสังหารัมทรัพย์ ในช่วงปี 58 เพราะในช่วงดังกล่าวการเก็งกำไรทำให้ราคาของอสังหาริมทรัพย์ ราคากระโดดไปสูงมาก ทำให้การลงทุนในภาคการผลิตก็หยุดชงักลง ดังนั้นจึงออกมาตรการกฎหมายเงินขาว-เงินดำ คือให้จ่ายภาษีซื้อ-ขายอสังหาริทรัพย์ด้วยอัตรา 30% ทำให้เกิดการชะงักทันที เกิดปัญหาในตลาดอสังหาฯ ในย่างกุ้งเพราะเมื่อไม่มีการซื้อขาย ทำให้กระแสเงิน M1 M2 M3 ขาดไปจากตลาดจนเกิดปัญหาเงินฝืด การลงทุนภาคการผลิตลดลง จับจ่ายใช้สอยของประชาชนฝืดเคืองลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงมีกฎหมายใหม่ออกมา โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ต.ค. 62 นี้ คือลดภาษีซื้อ-ขายสินค้าทุกชนิดรวมถึงอสังหาริมทรัพย์ ในอัตราก้าวหน้าทั้งหมด กล่าวคือ การซื้อขาย ตั้งแต่ 1 ล้านถึง 100 ล้าน ให้เสียภาษี 3% 101 ล้านถึง 300 ล้าน ให้เสียภาษี 5% 301 ล้านถึง 1,000 ล้าน ให้เสียภาษี 10% 1001 ล้านถึง 3,000 ล้าน ให้เสียภาษี 15% 3001 ล้านขึ้นไป ให้เสียภาษี 30% สิ่งที่ตามมา คือ ภาษีน้อยลงไปทันที ราคาสินค้าถูกลง สิ่งที่จะตามมาคือกลับเข้าสู่ภาคเงินออม Saving Money เงินเหล่านี้มีบางส่วนจะเข้าไปกระตุ้นเศรษฐกิจในรูปของการบริโภค เมียนมาเพียงลดอัตราดอกเบี้ยลง คนก็จะไม่นิยมฝากเงิน เพราะได้ไม่มากเท่าการนำเงินไปลงทุนในภาคการผลิตซึ่งจะส่งผลไปยังภาคการผลิตทันที ถ้าจะเปรียบเทียบกับประเทศอื่นแล้ว รัฐบาลมีอิสระในการจัดการแก้ปัญหา เพียงแต่ปัญหาของเมียนมาเริ่มมีมานานเกือบ 70 ปีมาแล้ว

ที่มา: https://www.posttoday.com/aec/trade/603433

ยอดนักท่องเที่ยวผ่านชายแดนเมียนมามากว่า 1.1 ล้านคน

ตั้งแต่เดือน ม.ค. ถึง 21 พ.ย.62 มีนักท่องเที่ยวมากกว่า 1.1 ล้านคนเดินทางมาเมียนมาผ่านประตูชายแดนท่าขี้เหล็ก นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มาจากประเทศไทย จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาถึงสนามบิน ท่าเรือ และประตูด่านชายแดนระหว่างเดือน ม.ค. ถึงเดือน ก.ย. ของปีนี้เพิ่มขึ้นกว่า 600,000 คนเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ในปี 61 เดือน ม.ค. ถึงเดือ ธ.ค. นักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนกว่า 3.5 ล้านคน และ 3.4 ล้านคนในปี 60 ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ใช้ประตูชายแดนเพื่อเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศ

ที่มา: https://elevenmyanmar.com/news/over-11-m-tourists-visit-myanmar-via-border

รายได้จากการส่งออกทางทะเลมากกว่า 110 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในรอบเดือนนี้

เมียนมามีรายรับมากกว่า 110 ล้านเหรียญสหรัฐจากการส่งออกสินค้าทางทะเลในช่วงเวลาหนึ่งเดือนของปีงบประมาณนี้มากกว่า 18 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันก่อน ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.ถึง 8 พ.ย.ในปี 62-63 มูลค่าการส่งออกทางทะเล 114.582 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในขณะที่ปีที่แล้วมีมูลค่า 95.949 ล้านเหรียญสหรัฐฯ :ซึ่งมากกว่า 18.578 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ปัจจุบันปริมาณของสินค้าทางทะเลรวมถึง ปลา และกุ้งส่งออกน้อยกว่าของประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้นจำเป็นต้องปรับปรุงระบบการทำฟาร์มมากกว่าการใช้วิธีจับตามธรรมชาติ ด้วยความร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญจากอินโดนีเซีย ไต้หวัน และจีน กำลังสร้างฟาร์มปลา โรงงานอาหารปลา และโรงงานห้องเย็นโดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเป้าหมายในการสร้างรายได้สูงถึง 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีแผนที่จะให้สินเชื่อ SME เพื่อช่วยในการจัดหาพื้นที่ฟาร์มเพาะพันธุ์ปลาและกุ้ง

ที่มา: https://elevenmyanmar.com/news/over-110-m-earned-from-marine-export-in-a-month