สปป.ลาว-เกาหลีร่วมมือเกี่ยวกับการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน

สปป.ลาวเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ที่จะช่วยให้สามารถพัฒนาพลังงานหมุนเวียนโดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานทดแทนรูปแบบอื่น ๆ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานจากสาธารณรัฐเกาหลีรวมตัวกันที่ EDL Training Center เพื่อหารือเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่าง 2 ประเทศในด้านเทคโนโลยีพลังงานทดแทน การประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้จัดขึ้นโดย KOTRA Vientiane และกลุ่มของหน่วยงานเกาหลีซึ่งรวมถึง Daeyeon C&I, Elim และสถาบันเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์เกาหลี จุดมุ่งหมายของการประชุมเชิงปฏิบัติการคือการแบ่งปันความรู้ด้านเทคนิคระหว่างผู้เชี่ยวชาญด้านสปป.ลาวและเกาหลีโดยเฉพาะในสาขาพลังงานแสงอาทิตย์ นอกจากนี้ยังเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือด้านพลังงานทดแทนเพื่อประโยชน์ของทั้ง 2 ประเทศ หลักสูตรการฝึกอบรมสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทั้ง 2 ประเทศต่อพลังงานทดแทนรวมถึงความร่วมมือในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การประชุมเชิงปฏิบัติการครอบคลุมหลักการของแผงเซลล์แสงอาทิตย์ การวางแผนและการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ระบบการติดตามตรวจสอบการทำงานของพลังงานแสงอาทิตย์และเทคโนโลยี ICT สำหรับระบบพลังงานแสงอาทิตย์

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/laos-keen-adopt-korean-lessons-renewable-energy-103447

กัมพูชาเรียกร้องให้บริษัทจีนลงทุนในที่อยู่อาศัยราคาย่อมเยา

โดยเทศบาลเมืองพนมเปญได้ขอให้กลุ่มนักธุรกิจชาวจีนลงทุนในโครงการบ้านราคาย่อมเยา ซึ่งกำหนดเป้าหมายไปที่ข้าราชการและผู้มีรายได้น้อย โดยโครงการดังกล่าวจะได้รับการสนับสนุนจากศาลากลางจังหวัด ซึ่งโครงการที่อยู่อาศัยดังกล่าวจะตั้งอยู่ในเขตชานเมืองของกรุงพนมเปญ ห่างจากตัวเมือง 45-60 นาที โดยหากสมาคมธุรกิจจีนตกลงที่จะลงทุน เทศบาลเมืองพนมเปญจะขอให้รัฐบาลช่วยเหลือผู้ลงทุนโดยจะนำเข้าวัสดุโดยไม่เสียภาษี ซึ่งที่อยู่อาศัยราคาย่อมเยาได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ และดึงดูดความสนใจมากขึ้นเพราะสามารถซื้อได้ในราคาที่ต่ำกว่า 30,000 เหรียญสหรัฐ โดยในปี 2559 บริษัท WorldBridge Land เริ่มก่อสร้างโครงการบ้านจัดสรรสาธารณะแห่งแรกในกัมพูชาตั้งอยู่บนพื้นที่ 45 เฮกตาร์ในเขต Saang ของ Kandal ซึ่งทำการขายไปได้แล้วกว่า 2,300 ยูนิต หรือคิดเป็นกว่า 60%

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50640179/chinese-firms-urged-to-invest-in-affordable-housing/

แบงก์ชาติกัมพูชาผลักดันการใช้เงินเรียลในท้องถิ่น

แบงก์ชาติกัมพูชารณรงค์ส่งเสริมให้แลกเปลี่ยนเงินเรียลที่มีสภาพเก่าหรือชำรุดตั้งแต่ปลายเดือนนี้ โดยกระตุ้นให้ผู้คนเริ่มแลกธนบัตรที่เก่าหรือชำรุดมาเป็นธนบัตรใหม่ได้ทุกธนาคารตลอดทั้งปี ซึ่งเกิดจากธนบัตรหมุนเวียนในระบบของกัมพูชาที่มีการใช้งานมาเป็นเวลานาน จึงเกิดการชำรุดหรือมีสภาพที่ค่อนข้างเก่า จึงส่งผลทำให้ผู้ค้าบางรายเลือกที่จะปฏิเสธเงินเหล่านั้น แล้วหันมาใช้เงินสกุลอื่นแทนทำให้การใช้เงินสกุลเรียลลดน้อยลง โดยทั้งรองประทานสมาคมไมโครไฟแนนซ์ และประชาชนทั่วไปที่อาศัยอยู่ในกรุงพนมเปญ กล่าวว่าการรณรงค์ในครั้งนี้จะสร้างความมั่นใจให้ผู้ที่ใช้สกุลเงินเรียลให้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีที่จะทำให้คนส่วนใหญ่เริ่มหันกลับมาใช้สกุลเงินเรียลหรือเงินสกุลท้องถิ่นดังเดิม โดยแบงก์ชาติกัมพูชาอนุญาตให้นำเงินที่ชำรุดหรือธนบัตรเก่ามาแลกเป็นธนบัตรใหม่ได้ ความหมายคือเงินเหล่านั้นจะไม่สูญเปล่า

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50640354/nbc-to-push-for-local-currency-use/

ภาคเอกชนวอนคลัง-แบงก์ชาติช่วยดูแลค่าบาทด่วน

ประธานสมาคมธนาคารไทยเปิดเผยว่า กกร.ยังมีความกังวลต่อเรื่องเงินบาทแข็งค่ามากที่สุดในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง และยังมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นไปอีกหากธนาคารกลางสหรัฐปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก ยิ่งส่งผลกระทบต่อความสามารถการแข่งขันภาคการส่งออกและการลงทุนของไทย จึงอยากให้ภาครัฐและธนาคารแห่งประเทศไทยหารือและออกมาตรการดูแลค่าเงินบาทที่แข็งค่าโดยด่วน ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกล่าวว่าตั้งแต่ต้นปีเงินบาทแข็งค่า 10% เมื่อเทียบกับจีนและแข็งค่ามากถึง 14% เมื่อเทียบกับเกาหลีใต้ ซึ่งจะส่งผลกระทบชัดเจนเรื่องการเข้ามาลงทุนในไทย และเรื่องค่าบาทแข็งยังกระทบกับส่งออกและการท่องเที่ยวอีกด้วย โดยธปท.และกระทรวงการคลังต้องหารือกัน เช่น อาจมีเรื่องภาษีหัก ณ ที่จ่าย หรือสนับสนุนนำนักลงทุนไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น มาตรการป้องปรามการเก็งกำไร หรือช่วยเรื่องวงเงินพันธบัตรก็เป็นสิ่งที่ช่วยได้ และต้องผลักดันให้ออกเร็วขึ้น อีกทั้งประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยกล่าวว่าสิ่งที่ภาคเอกชนต้องช่วยตัวเองคือเสนอราคาให้เป็นเงินบาทในการค้าขายสินค้า โดยเฉพาะกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน CLMV ประเทศในเอเชียตอนใต้หรือออสเตรเลีย เพื่อลดความเสี่ยงจากค่าเงินผันผวน และต้องการให้ภาครัฐสนับสนุนมาตรการใดก็ได้ในช่วงบาทแข็ง เช่น การนำเข้าเครื่องจักรเพื่อเพิ่มผลิตภาพการผลิต เป็นต้น

ที่มา : https://www.dailynews.co.th/economic/729696

เวียดนามเผยมีการลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพพุ่งสูงขึ้น 48%

ในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 มีการลงทุนในกลุ่มธุรกิจสตาร์ทอัพเวียดนามอยู่ที่ 246 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 48 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยเกาหลีใต้เป็นประเทศที่เข้ามาลงทุนมากที่สุดในเวียดนาม รองลงมาสิงคโปร และญี่ปุ่น ตามลำดับ เวียดนามเล็งเห็นการขยายตัวของโครงการขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น และคาดว่าในปีนี้ กลุ่มธุรกิจสตาร์ทอัพเวียดนามจะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นประมาณ 50-100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อครั้ง ซึ่งหากสถานการณ์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ธุรกิจเวียดนามแตะระดับ 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และไม่อีกกี่ปีข้างหน้า มูลค่าของธุรกิจเวียดนามจะเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในขณะเดียวกัน ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ต่างชาติสนใจลงทุนในเวียดนาม เนื่องมาจากโครงสร้างของเศรษฐกิจดิจิทัลอยู่ในช่วงก่อตัวอย่างแข็งแกร่ง และประชากรเวียดนามมีปริมาณการใช้โทรศัพท์และอินเตอร์เน็ตเพิ่มขึ้นอย่างมาก นอกจากนี้ มูลค่าการลงทุนในเวียดนามอยู่ที่ 5.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 17 จ่อีกกี่ปีข้างหน้า อาตตะระดับ 500 ล้านดอลลารเดียวกันของปีที่ผ่านมา

ที่มา :   https://e.vnexpress.net/news/business/data-speaks/investment-in-startups-up-48-pct-3977006.html  

จังหวัดด่งนายเกินดุลการค้า 2.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วง 8 เดือนของปี 2562

จากข้อมูลของสำนักสถิติเวียดนาม เปิดเผยว่านครด่งนายเกินดุลการค้า 2.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2562 โดยมูลค่าการส่งออก 12.76 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.22 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ในขณะที่ การนำเข้ามีมูลค่า 10.66 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.11 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด ส่งผลให้นครด่งนายเกินดุลการค้า ซึ่งคณะกรรมการประชาชนเวียดนาม ระบุว่าการขยายตัวของการส่งออกในจังหวัด มีอัตราการขยายตัวลดลง เป็นผลมาจากการส่งออกของสินค้าเกษตรในท้องถิ่นลดลง ได้แก่ มะม่วงหิมพานต์ พริกไทย กาแฟ และยางพารา เป็นต้น นอกจากนี้ สหรัฐอเมริกายังคงเป็นตลาดส่งออกรายใหญ่ที่สุดของนครด่งนาย รองลงมาญี่ปุ่น และจีน ตามลำดับ ในขณะเดียวกัน นครด่งนายนำเข้าสินค้าสำคัญจากเกาหลีใต้ จีน และไต้หวัน เช่น อาหารสัตว์ ข้าวโพด พลาสติก เป็นต้น

ที่มา :   https://en.vietnamplus.vn/dong-nai-sees-21billionusd-trade-surplus-in-eight-months/159927.vnp