ตั้ง “วอร์รูม” อุ้มส่งออก เพื่อผลักดันการค้าของไทยขยายตัว
รมว.พาณิชย์ เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนด้านการพาณิชย์ ว่าที่ประชุมได้พิจารณาการรับมือสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนที่ยังยืดเยื้อส่งผลกระทบต่อการค้า การลงทุนทั่วโลก รวมถึงไทย โดยเห็นชอบร่วมกันให้จัดตั้งวอร์รูม เพื่อติดตามสถานการณ์การค้าและการส่งออกรวมถึงเสนอแนวทางรับมือทั้งเชิงรุก เชิงรับ เพื่อผลักดันให้การค้าของไทยยังขยายตัวได้ต่อไป สำหรับการเร่งรัดการส่งออกได้จัดตั้งคณะทำงานเจาะตลาด เพื่อเร่งรัดการส่งออกแบบเร่งด่วนในระยะเวลา 3-6 เดือน โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศจะหารือกับเอกชน เพื่อจัดทำแผนขยายตลาด เป็นรายสินค้า บริการ และตลาดแต่ละประเทศให้มีความชัดเจนว่าจะทำอะไร อย่างไร เพื่อให้ส่งออกได้เพิ่มขึ้น โดยมีเป้าหมายใน 5 ตลาดหลัก คือ CLMV เพราะเป็นตลาดที่มีศักยภาพใกล้กับไทย นอกจากนี้ ยังมีจีนเป็นตลาดศักยภาพสูงมากสามารถเพิ่มมูลค่าไปยังเมืองและมณฑลต่างๆ ที่สินค้าไทยยังเข้าไม่ถึงได้อีก, อินเดีย และเอเชียใต้ เป็นตลาดใหม่ที่มีโอกาส มีกำลังซื้อสูง, อาเซียน เป็นตลาดที่ต้องเจาะเพิ่ม, ตะวันออกกลาง ที่บางตลาดสามารถฟื้นขึ้นมาได้ ขณะเดียวกันจะเร่งรัดเพิ่มมูลค่าการค้าชายแดน
ที่มา : https://www.thairath.co.th/news/business/market-business/1638090
นครเหงะอานเวียดนาม เป็นเจ้าภาพงาน “Vietnam-Thailand Trade Forum”
จากงานสัมมนาเกี่ยวกับความร่วมมือทางการค้าและการลงทุนระหว่างไทยและเวียดนาม “VN-Thailand Trade Forum” ณ ศูนย์กลางจังหวัดเหงะอาน (Nghệ An), วันที่ 26-30 กันยายน 2562 ซึ่งกิจกรรมการสัมมนาในครั้งนี้ ระบุถึงกิจกรรมการค้าและการลงทุนของสหภาพสมาคมนักธุรกิจเวียดนามในต่างประเทศ (BAOOV) กับสหภาพสมาคมนักธุรกิจไทยในเวียดนาม (BAOTV) โดยภายในงานจะมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทำธุรกิจในรูปแบบใหม่ๆ และการจัดแสดงสินค้าและบริการที่มีความหลากหลาย ได้แก่ สินค้าเกษตรเทคโนโลยี การส่งออก-นำเข้า การเงิน และการท่องเที่ยว เป็นต้น นอกจากนี้ จากตัวเลขสถิติการของกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของเวียดนาม พบว่าเวียดนามมีมูลค่าการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านอยู่ที่ 5.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ผู้ประกอบการเวียดนามที่ส่งออกในต่างประเทศ ให้ยกระดับความร่วมมือกับชุมชนท้องถิ่น เพื่อให้สินค้าเป็นที่นิยมมากขึ้น
สหรัฐอเมริกาส่งออกไปยังตลาดเวียดนามอย่างแข็งแกร่ง
สหรัฐอเมริกาส่งออกไปยังเวียดนามเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา จากสถิติการค้าระหว่างประเทศ พบว่าในปี 2561 สหรัฐอเมริกาส่งออกไปยังเวียดนามประมาณ 10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้น 4 เท่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ในปัจจุบันเวียดนามถือว่าเป็นตลาดสำคัญของสหรัฐอเมริกาที่เติบโตได้รวดเร็วที่สุด โดยสินค้าส่งออกสำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ ฝ้าย เครื่องจักร ผลไม้ ถั่วเหลือง และธัญพืช เป็นต้น ในขณะที่ สินค้าเกษตรของทั้งสองประเทศถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก โดยในปี 2561 มูลค่าการค้าอยู่ที่ 8.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 26 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ส่งผลให้เวียดนามเป็นตลาดส่งออกสินค้าเกษตรที่สำคัญ อยู่ในอันดับที่ 7 ของสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ทางสถานกงสุลสหรัฐอเมริกา ประจำนครโฮจิมินห์ ระบุว่าศักยภาพการค้าระหว่างสองประเทศนั้น จะขยายตัวมากยิ่งขึ้นไปอีกในอนาคต และจะมุ่งเน้นในการลดอุปสรรค/ปัญหาในการค้าระหว่างประเทศ
สินค้าผ่านด่านมูเซลดลงถึงหนึ่งในสาม
จากการเข็มงวดของจีนเกี่ยวกับการค้าที่ผิดกฎหมายตามแนวชายแดนมูเซซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของรัฐฉาน รวมถึงข้อห้ามที่ในการนำเข้าสินค้าเกษตรส่งผลกระทบต่อการส่งออกชายแดนของเมียนมา จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ การส่งออกลดลง 28.4% เป็นมูลค่า 2.74 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากวันที่ 1 ต.ค.61 ถึง 2 ส.ค ปีนี้ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วการนำเข้าเพิ่มขึ้น 6.5% มูลค่า 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว การค้ารวมผ่านด่านมูเซมีมูลค่าถึง 4.42 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งลดลงเกือบ 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ข้อจำกัดอีกอย่างคือสินค้าเกษตรอย่างข้าวและข้าวโพด เมื่อปี 61 ที่ผ่านมายอดส่งออกลดลงเพราะจีนปราบปรามการส่งออกที่ผิดกฎหมาย และเพื่อบรรเทาการส่งออกที่ลดลงรัฐบาลเมียนมาได้หารือกับจีนเพื่อแลกเปลี่ยนโควต้าสินค้าโดยได้ทำข้อตกลงกับจีนในการซื้อข้าว 100,000 ตันผ่านการค้าชายแดน
ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/exports-through-muse-down-third.html
ยอดการส่งออกข้าวเมียนมาลดลงกว่า 350 ล้านเหรียญสหรัฐ
กระทรวงพาณิชย์ระบุว่ามูลค่าจากการส่งออกข้าวและข้าวหักมีมูลค่า 597.369 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงกว่า 350 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณปัจจุบัน ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 61 ถึง 2 ส.ค.62 ของปีงบประมาณ 61-62 มีรายรับ 597.369 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากการส่งออกข้าวและข้าวหัก 1.978 ล้านตัน ช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมามีรายรับ 950.661 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากการส่งออกข้าว 1.801 ตันและข้าวหัก เมียนมาส่งออกข้าวไปยังตลาดสหภาพยุโรปและแอฟริกาผ่านทางทะเลและไปยังจีนผ่านด่านการค้าชายแดน จากการขยายตลาดในปี 60-61 สามารถส่งออกข้าวได้เกือบ 3.6 ล้านตัน เป็นการทำลายสถิติในรอบ 50 กว่าปีที่ผ่านมา การนำเข้าที่หดตัวเพราะแนวโน้มนำเข้าของทั้งจีนและอียูลดน้อยลง
ที่มา: https://elevenmyanmar.com/news/rice-export-earnings-decline-by-over-350-m-usd
ข้อจำกัดของ SMEs สปป.ลาวที่ขัดขวางการดำเนินธุรกิจ
จากการสำรวจองค์กรธนาคารโลกพบว่าการเข้าถึงการเงินในสปป.ลาวทำได้ยากขึ้นในช่วงสองปีที่ผ่านมา ปัญหานี้เกิดจากการผสมผสานของปัจจัยที่มีอยู่ เช่น ความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อที่มีความเสี่ยงมากขึ้นของภาคธนาคาร เป็นต้น การปฏิบัติของคู่แข่งในภาคนอกระบบ เช่น การปฏิบัติตามกฎระเบียบที่ไม่ดี อีกทั้งการจัดหาไฟฟ้าที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของ SMEs ซึ่งการจัดการกับข้อจำกัดเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพของ SMEs สามารถทำได้โดยการปรับปรุงขีดความสามารถของ SMEs ในการวางแผนธุรกิจการจัดการทางการเงินและการใช้แนวทางการบัญชีที่เหมาะสม สองควรมีการกระจายผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินของธนาคารและสถาบันที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน ควรปรับปรุงข้อมูลความครอบคลุมสินเชื่อของสถาบันการเงินและหน่วยงานกำกับดูแล การปรับปรุงประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่ายของกระบวนการราชการอย่างเป็นทางการ และการลงทุนในการปรับปรุงประสิทธิภาพของเครือข่ายการกระจายพลังงานและการเชื่อมต่อไฟฟ้า การปรับปรุงประสิทธิภาพและโอกาสของ SMEs เป็นวิธีการหนึ่งที่สำคัญในการเพิ่มรายได้และคุณภาพของงานขณะเดียวกันก็ช่วยให้รัฐบาลเข้าใกล้เป้าหมายที่จะเพิ่มลาวให้พ้นจากสถานะประเทศพัฒนาน้อยที่สุด
ที่มา : http://annx.asianews.network/content/constraints-lao-smes-obstruct-business-operations-101968
IMF คาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจสปป.ลาวยังคงสดใส
IMF คาดการณ์แนวโน้มที่ดีสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจของสปป.ลาว ถึงแม้จะมีปัญหาในปัจจุบัน IMF ได้คาดการณ์การลงทุนภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง การส่งออกไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นและความสำเร็จของการรถไฟสปป.ลาว – จีน จะช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจเป็น 7% ในระยะปานกลาง การขยายตัวของจีดีพีลดลงมาอยู่ที่ 6.3% ในปี 61 ลดลงจากร้อยละ 6.8 ในปี 60 การชะลอตัวนั้นเป็นผลมาจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ซึ่งส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตรและอุตสาหกรรม ในปีนี้รัฐบาลได้ระงับโครงการลงทุนสาธารณะใหม่และกำหนดงบการเงินรวม และการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่าจะยังคงอยู่เนื่องจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับการนำเข้า การสนับสนุนจากความพยายามในการปรับปรุงการบริหารรายได้และการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายและแผนการของรัฐบาลในการลดการรับสมัครงานกับข้าราชการพลเรือน การใช้จ่ายเงินทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ แต่แม้จะมีแนวโน้มที่ดีสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะปานกลาง สปป.ลาวยังคงเผชิญกับความเสี่ยงจำนวนมาก ซึ่งรวมถึงความเสี่ยงที่เกิดจากปัจจัยระหว่างประเทศ
ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Laos184.php
กัมพูชาและมาเลเซียหารือเกี่ยวกับการผลิตชิ้นส่วนรถจักรยาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์พบกับเอกอัครราชทูตมาเลเซียในกรุงพนมเปญเพื่อพิจารณาการจัดตั้งโรงงานหลายแห่งในกัมพูชาเพื่อผลิตชิ้นส่วนจักรยาน โดยเมื่อปีที่แล้วกัมพูชาส่งออกจักรยานถึง 1.52 ล้านคัน ไปยังสหภาพยุโรปมูลค่ารวมกว่า 331 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามรายงานของธนาคารโลก ซึ่งในปี 2560 กัมพูชาได้กลายเป็นซัพพลายเออร์รถจักรยานที่ใหญ่ที่สุดในสหภาพยุโรปแซงไต้หวัน ซึ่งโฆษกกระทรวงพาณิชย์กล่าวว่าการมีโรงงานผลิตชิ้นส่วนจักรยานมากขึ้นจะช่วยลดต้นทุนสำหรับผู้ผลิตจักรยานและเป็นการปรับห่วงโซ่อุปทาน โดยทางกัมพูชาได้แก้ไขกฎหมายการลงทุนและยังคงทำงานเพื่ออำนวยความสะดวกทางธุรกิจในประเทศด้วยความคิดริเริ่มหลายประการรวมถึงการแนะนำแพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับการลงทะเบียน ความคิดริเริ่มเหล่านี้จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนมากขึ้น
ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50633656/cambodia-malaysia-discuss-bike-parts-manufacturing/