‘เวียดนาม’ ยังคงเป็นจุดหมายปลายทางของนักลงทุนสหรัฐฯ

จากงานสัมมนาออนไลน์ที่จัดขึ้นโดย ‘Asia Group’ เปิดเผยว่าเวียดนามยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าดึงดูดของนักลงทุนสหรัฐฯ ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก จุดมุ่งหมายของงานสัมมนาครั้งนี้เพื่อแบ่งปันโอกาสทางธุรกิจและข้อมูลอัปเดตเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 ตลอดจนแนวโน้มทางเศรษฐกิจเวียดนาม โดยมีผู้ร่วมงานที่เป็นตัวแทนบริษัทสหรัฐฯกว่า 40 คน มาจากกลุ่มพลังงาน การเงิน เทคโนโลยีและการผลิต อาทิ Blackstone Group, Google, Facebook , Ford, UPS และ Walmart เป็นต้น ทั้งนี้ นาย ฮา กิม หง็อก เอกอัครราชทูตประจำสหรัฐฯ กล่าวถึงความสำเร็จทางด้านเศรษฐกิจของเวียดนามและแจ้งข้อมูลเพื่อสร้างแรงจูงใจให้เข้ามาลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) อย่างไรก็ดี สำหรับนักลงทุนสหรัฐฯ เวียดนามดำเนินการร่วมมือทางหุ้นส่วนการค้าและเครือข่ายความตกลงการค้าเสรี จะช่วยให้กิจกรรมของประเทศดีขึ้น

ที่มา : https://en.nhandan.vn/business/item/11255702-vietnam-remains-attractive-destination-for-us-investors.html

‘เวียดนาม’ มองสหรัฐฯ เป็นพันธมิตรใกล้ชิด

เมื่อวันที่ 8 มี.ค. การประชุม Business Summit สหรัฐฯ-เวียดนาม ครั้งที่ 5 นาย ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม กล่าวว่าเวียดนามถือว่าสหรัฐฯ เป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดเสมอมา รวมถึงร้องขอให้ภาคธุรกิจของทั้งสองประเทศทำการกระชับความสัมพันธ์และส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคี ทั้งนี้ ตามตัวเลขการค้าระหว่างประเทศ พบว่ามูลค่าการค้าระหว่างเวียดนามกับสหรัฐฯ อยู่ที่ 111 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2564 โดยสหรัฐฯ เป็นผู้ซื้อสินค้าจากเวียดนามรายใหญ่ที่สุด ในขณะที่เวียดนามเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับที่ 9 ของสหรัฐฯ นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังเป็นหนึ่งในนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ด้วยจำนวนโครงการในปัจจุบัน 1,150 โครงการ คิดเป็นมูลค่ากว่า 10.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ

ที่มา : https://english.thesaigontimes.vn/vietnam-always-regards-u-s-as-leading-partner/

เกษตรกรตำบลโหโป๊ง ปลื้ม! ราคากล้วยไม้ดินพุ่ง

เกษตรกรจากหมู่บ้านนองสน ตำบลโหโป๊ง เขตปกครองตนเองปะโอ ของรัฐฉาน (ใต้) ประสบผลสำเร็จจากการปลูกกล้วยไม้ดิน ซึ่งแต่ก่อนปลูกตามวิธีธรรมชาติ แต่ต่อมาได้เริ่มเรียนรู้จากการปลูกบนแปลงทดลองจนได้ผลเป็นที่น่าพอใจ โดยกล้วยไม้ดินจะใช้เวลาปลูกและออกดอกผลิบานได้ภายในหนึ่งปี ซึ่งกล้วยไม้ดินเป็นพืชที่ระบายน้ำได้ดีและชอบอากาศที่เปียกชื้น ช่วงเวลาเก็บเกี่ยวเกี่ยหรือตัดขายจะอยู่ในช่วงเดือนมีนาคม โดยราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 1,000 จัตต่อต้น แต่เมื่อได้รับออเดอร์จากเมื่องอื่นๆ  ราคาจะพุ่งไปถึง 1,500 จัตต่อต้น ทั้งนี้แหล่งเพาะปลูกสำคัญจะมาจาก หมู่บ้านนองสน ตำบลโฮปง และจะส่งออกไปขายยังส่งงตลาดโฮปง ตลาดน้ำโกด และตลาดบ้านยินในรัฐฉาน

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/growing-of-ground-orchid-in-hopong-township-succeeds/

รัฐบาล สปป.ลาว ตั้งเป้าเกินดุลการค้า

รัฐบาลตั้งเป้าที่จะเกินดุลการค้าอย่างน้อย 1.55 พันล้านดอลลาร์ฯ ในปีนี้ แม้จะมีปัญหาทางเศรษฐกิจของประเทศที่เกิดจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19 รัฐบาลสปป.ลาวคาดว่ามูลค่าการส่งออกจะสูงถึง 7.6 พันล้านดอลลาร์ฯ ในขณะที่มูลค่าการนำเข้าคาดว่าจะอยู่ที่ 6.05 พันล้านดอลลาร์ฯ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ รัฐบาลได้ให้คำมั่นที่จะส่งเสริมการผลิตทางการเกษตรและการแปรรูปสินค้าเพื่อการส่งออก โดยเฉพาะไปยังจีน ซึ่งขณะนี้สามารถเข้าถึงตลาดได้ง่ายขึ้นผ่านทางรถไฟลาว-จีน รัฐบาลจะเน้นไปที่การเพิ่มการผลิตในจังหวัดทางภาคเหนือที่ทางรถไฟและทางด่วนผ่าน โดยการเพิ่มผลผลิตพืชผลและการเลี้ยงโคเพื่อส่งออกไปยังจีน ความท้าทายหลักประการหนึ่งคือราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นในตลาดโลก ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นได้ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อดัชนีราคาผู้บริโภค เนื่องจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นส่งผลให้ต้นทุนการขนส่งสูงขึ้น

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Govtsets48.php

NBC ผลักดันการใช้เงินสกุลเรียลภายในกัมพูชา

Dr Chea Serey รองผู้ว่าการและผู้อำนวยการด้านเทคนิคของธนาคารแห่งชาติกัมพูชา (NBC) กล่าวว่าปัจจุบันกำลังพยายามส่งเสริมการใช้สกุลเงินเรียล ซึ่งเป็นสกุลเงินของประเทศกัมพูชา เพื่อให้สามารถใช้เงินเรียลได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น โดยผู้เชี่ยวชาญตั้งข้อสังเกตว่าหากในอนาคตสกุลเงินเรียลถูกใช้กันมากขึ้นในการทำธุรกรรม จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยภาพรวมของกัมพูชาในระยะยาว ซึ่งถือเป็นการช่วยลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์ที่มีการใช้กันอย่างแพร่หลายภายในประเทศกัมพูชา รวมถึงในแง่ของเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีโอกาสเพิ่มสูงขึ้นจากการใช้สกุลเงินท้องถิ่นที่เพิ่มขึ้น

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501038340/use-riel-more-to-promote-national-currency-says-nbc-deputy-governor/

การค้าระหว่าง กัมพูชา-ญี่ปุ่น แตะ 180 ล้านดอลลาร์ ในเดือน ม.ค.

การค้าทวิภาคีระหว่างกัมพูชาและญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 คิดเป็นมูลค่า 181 ล้านดอลลาร์ ในเดือนมกราคมปีนี้ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน รายงานโดยองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) แสดงให้เห็นว่ากัมพูชาส่งออกสินค้ามูลค่า 142 ล้านดอลลาร์ ไปยังญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว ในทางกลับกันกัมพูชานำเข้าสินค้าจากญี่ปุ่นมูลค่ารวม 39 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 โดยสินค้าส่งออกสำคัญของกัมพูชาที่ส่งออกไปยังญี่ปุ่น ได้แก่ เสื้อผ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งกัมพูชานำเข้า เครื่องจักร สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และผลิตภัณฑ์ไฮเทคเป็นสินค้านำเข้าหลัก โดยในปีที่แล้ว ปริมาณการค้าระหว่างกัมพูชาและญี่ปุ่นอยู่ที่ 2,332 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นกัมพูชาส่งออกสินค้ามูลค่า 1,752 ล้านดอลลาร์ไปยังญี่ปุ่นในปีที่แล้ว เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 8.4 เมื่อเทียบเป็นรายปี

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501038181/cam bodia-japan-trade-tops-180-million-in-january/

จับตาน้ำมันพ่นพิษถล่ม “อีอีซี”

นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ถึงกรณีการสู้รบระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ยังไม่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนภายในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) โดยโครงการลงทุนต่างๆ ที่ได้ทำเอาไว้เดิมก็ยังคงเดินต่อ ยังไม่มีนักลงทุนถอนการลงทุน และการลงทุนเทคโนโลยีทั้ง 5G หรือรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ยังเดินตามแผนอยู่ แต่ถ้าราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นมาจนกระทบกับเศรษฐกิจโลก ตอนนั้นก็คงเป็นผลที่จะเกิดขึ้นกับอีอีซี อาจต้องรอประเมินสถานการณ์ 1 เดือน ในเบื้องต้นยังคงเป้าหมายการลงทุนในอีอีซีไว้เหมือนเดิมคือเฉลี่ยปีละ 400,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นชอบให้ สกพอ.ร่วมกับกองทัพเรือ, สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ จัดงานแสดงสินค้านานาชาติด้านอุตสาหกรรมการบินในประเทศไทย (Thailand International Air Show) ที่สนามบินอู่ตะเภา โดยจะเปิดตัวอย่างในปี 2568 สอดคล้องกับระยะเวลาเปิดบริการสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา คาดว่ามีผู้ร่วมงาน 5,425 คน และการจัดงานอย่างเต็มรูปแบบในปี 2570 จะมีผู้เข้าร่วมงาน 36,300 คน มีผู้เข้าแสดงงาน 1,240 ราย และมีการจัดงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งงานใหม่และงานที่จัดต่อเนื่อง ในปี 2566-2570 จำนวน 28 งานในอีอีซี ซึ่งเมื่อรวมมูลค่าทางเศรษฐกิจของงาน Thailand International Air Show ทั้งหมด สามารถสร้างรายได้รวมให้แก่ประเทศ 8,200 ล้านบาท

ที่มา : https://www.thairath.co.th/business/oil/2337446