อินทนิลคอฟฟี่เตรียมขยายสาขาร้านกาแฟในกัมพูชา

หลังจากที่อินทนิลได้เปิดร้านแฟล็กชิปสโตร์ ณ กรุงพนมเปญ ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2018 โดยได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจากชาวกัมพูชา ซึ่งกำลังพยายามที่จะเพิ่มสาขามากถึง 100 สาขาในกัมพูชาและสปป.ลาว เฉพาะที่เป็นแฟรนไชส์ของบริษัทบางจากคอร์ปอเรชั่น (BCP) ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินการด้านพลังงานรายใหญ่ โดยกล่าวว่ามีแผนที่จะเพิ่มสาขาอินทนิลในต่างประเทศเพื่อขยายธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมันหลังจากการระบาดของโรคสงบลง ซึ่งการขยายสาขาที่ล่าช้าเนื่องจากการระบาดตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว โดย RCG Retail Group (กัมพูชา) เป็นผู้ให้สิทธิในการเปิดสาขาในกัมพูชาและสปป.ลาว ก่อนหน้านี้ BCP ตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มสาขาเกือบ 100 แห่งใน สปป.ลาวและกัมพูชารวมถึงร้านกาแฟอีกกว่า 1,000 แห่ง ในประเทศไทยภายในปี

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50803172/inthanin-coffee-looks-to-add-more-coffee-outlets-in-cambodia/

การค้าทวิภาคีระหว่างกัมพูชากับไทยลดลงในช่วง ม.ค. – พ.ย. 2020

การค้าข้ามพรมแดนระหว่างกัมพูชาและไทยลดลงร้อยละ 22 ในเดือน ม.ค. – พ.ย. เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันตั้งแต่ต้นปี (YTD) ของปี 2019 โดยการค้าทวิภาคีในช่วงเวลาดังกล่าวมีมูลค่าอยู่ที่ 6.6 พันล้านดอลลาร์ ลดลงจาก 8.6 พันล้านดอลลาร์ ตามสถิติของสถานทูตกัมพูชาประจำปี 2019 ซึ่งการส่งออกของกัมพูชาไปไทยมีมูลค่าอยู่ที่ 1.1 พันล้านดอลลาร์ ในช่วงเวลาดังกล่าวลดลงร้อยละ 52 YTD จาก 2.2 พันล้านดอลลาร์ในปี 2019 ส่วนการนำเข้าจากไทยมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 6.3 พันล้านดอลลาร์ลดลงร้อยละ 12 YTD จาก 5.6 พันล้านดอลลาร์ ที่บันทึกไว้ในเดือนมกราคมถึงพฤศจิกายนในปี 2019 ทำให้กัมพูชาขาดดุลการค้ากับไทย 4.5 พันล้านดอลลาร์ ในเดือนพฤศจิกายน โดยการค้าข้ามพรมแดนแต่เพียงช่องทางเดียวของไทยกับกัมพูชามีมูลค่าสูงถึง 572 ล้านดอลลาร์ ซึ่งการส่งออกของกัมพูชาไปไทยในเดือนพฤศจิกายนมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 59 ล้านดอลลาร์ลดลงร้อยละ 56 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำไว้ได้ที่ 135 ล้านดอลลาร์ ส่วนการนำเข้าจากไทยในเดือนพฤศจิกายนสูงถึง 513 ล้านดอลลาร์แต่ก็ยังเป็นสัดส่วนที่ลดลงอยู่ที่ร้อยละ 28

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50803109/cambodia-thailand-2020-trade-down-jan-nov/

พาณิชย์ปรับแผนหนุนเกษตรกร-เอสเอ็มอีใช้เอฟทีเอควบคู่ค้าขายออนไลน์

นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้มอบนโยบายให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ปรับกลยุทธ์การทำงาน ปี 2564 แก้เกมโควิด-19 ระบาดระลอกใหม่ โดยให้เน้นการใช้เทคโนโลยีออนไลน์สำหรับกิจกรรมฝึกอบรมเสริมสร้างองค์ความรู้ เพื่อติดอาวุธให้กับกลุ่มเกษตรกรเอสเอ็มอี สหกรณ์ และวิสาหกิจชุมชน พร้อมใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ควบคู่ไปด้วย เพื่อให้สามารถจับคู่ธุรกิจเพิ่มยอดขาย และบุกตลาดต่างประเทศได้จริง โดยอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เสริมว่า สำหรับโครงการสำคัญที่กรม จะดำเนินการ ในปี 2564 และจะเพิ่มการนำเทคโนโลยีออนไลน์มาใช้ในการจับคู่ธุรกิจ ตามนโยบายของ รมช.พาณิชย์ ได้แก่ โครงการจัดทัพโคนมไทย บุกตลาดต่างประเทศด้วยเอฟทีเอ เน้นขยายตลาดส่งออกไปอาเซียนและจีน โครงการจับมือผู้ประกอบการใน 4 จังหวัดชายแดนใต้ เพิ่มการส่งออกต่างประเทศด้วยเอฟทีเอ ร่วมกับ ศอ.บต. โครงการเพิ่มศักยภาพเกษตรกรไทยให้สามารถเพิ่มการส่งออกโดยใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอร่วมกับสภาเกษตรกรแห่งชาติ โครงการพัฒนาความพร้อมทางการค้าสหกรณ์ไทยสู่โลกการค้าเสรี และโครงการยกระดับผู้ประกอบการไทยผ่านโลกการค้าเสรี ร่วมกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ทั้งนี้ ปัจจุบันไทยมีความตกลงเอฟทีเอ จำนวน 14 ฉบับ รวมอาร์เซ็ป กับ 18 ประเทศ ได้แก่ สมาชิกอาเซียน 9 ประเทศ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เปรู ชิลี และฮ่องกง โดยในปี 2562 การค้าของไทยกับประเทศคู่เอฟทีเอ 18 ประเทศ มีมูลค่ารวม 302,991 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 2 ใน 3 สัดส่วน 63% ของมูลค่าการค้าไทย กับโลก

ที่มา : https://www.khaosod.co.th/economics/news_5726321