กรมเจรจาฯ โชว์มูลค่าการค้า FTA 5 เดือนแรกกระฉูด 5.34 ล้านล้านบาท

น.ส.โชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยถึงแผนการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) และการประชุมระหว่างประเทศ ในช่วงครึ่งหลังปี 2567 ว่า ได้เร่งรัดเจรจาเพื่อเร่งรัดหาข้อสรุป FTA ไทย-สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (EFTA) และผลักดัน FTA ที่อยู่ระหว่างการเจรจา อาทิ ไทย-สหภาพยุโรป (EU) อาเซียน-แคนาดา และ FTA 2 ฉบับใหม่ คือ ไทย-เกาหลีใต้ และไทย-ภูฏาน รวมทั้งผลักดันให้มีการใช้ประโยชน์จาก FTA เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทย ซึ่งเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลและรองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ นายภูมิธรรม เวชยชัยที่ให้ความสำคัญกับการเจรจาจัดทำ FTA เพื่อเปิดประตูสู่ตลาดใหม่ๆ และขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนของไทยในตลาดโลก สำหรับในช่วง 5 เดือน (ม.ค.-พ.ค. 2567) การค้าของไทยกับ 18 ประเทศคู่ค้า FTA มีมูลค่า 145.5 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 0.1 โดยไทยส่งออกไปประเทศคู่ค้า FTA มูลค่า 70.9 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัวร้อยละ 2.4 และไทยนำเข้าจากประเทศคู่ค้า FTA มูลค่า 74.6 พันล้านดอลลาร์ หดตัวร้อยละ 2.0

ที่มา : https://www.khaosod.co.th/economics/news_777777804663

‘เวียดนาม’ มุ่งส่งเสริมการส่งออกข้าว

กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า (MoIT) ระบุว่าความมั่งคงทางอาหารถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ส่งออกข้าว ควบคู่กับการส่งเสริมการผลิตข้าวยั่งยืนและการใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) รวมถึงดำเนินการส่งเสริมตราสินค้าเวียดนามให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของข้าวเวียดนาม ในขณะเดียวกัน กระทรวงฯ ขอความร่วมมือกับสมาคมอาหารเวียดนาม (VFA) และผู้ส่งออกข้าวให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบการส่งออก ติดตามข้อมูลตลาดข้าวและช่วยเหลือผู้ประกอบการที่เผชิญกับปัญหาต่างๆ

นอกจากนี้ นาย เล แทงห์ ฮวา (Le Thanh Hoa) รองผู้อำนวยการฝ่ายคุณภาพ การแปรรูปและการพัฒนาตลาด กล่าวว่าจากปรากฏการณ์เอลนีโญและผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิกาศ ส่งผลให้ผลผลิตข้าวทั่วโลกในปี 2566-2567 ลดลงเหลือ 518 ล้านตัน ในขณะที่ความต้องการในการบริโภคอยู่ที่ 525 ล้านตัน แสดงให้เห็นว่าโลกจะเผชิญกับปัญหาขาดแคลนธัญพืชประมาณ 7 ล้านตันในปีนี้ ซึ่งจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ นับเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ส่งออกข้าวเวียดนาม

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/1656338/fdi-reaches-us-11-07-billion-in-first-five-months-of-2024.html

คาด RCEP-FTA ดึงการลงทุนเข้ามายังกัมพูชาเพิ่มขึ้น

Chea Serey ผู้ว่าการธนาคารชาติกัมพูชา กล่าวว่า ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) และความตกลงการค้าเสรี (FTA) แบบทวิภาคี จะช่วยดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และส่งเสริมการส่งออกของกัมพูชา ซึ่งความตกลงด้านการค้าเหล่านี้จะช่วยส่งเสริมศักยภาพการผลิตให้กับกัมพูชา และส่งเสร้างการกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยคาดว่าเศรษฐกิจของกัมพูชาจะเติบโตกว่าร้อยละ 6 ภายในปี 2024 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5 ในปี 2023 จากแรงหนุนด้านการส่งออกที่เพิ่มขึ้น และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ร่วมกับการเติบโตที่แข็งแกร่งในด้านคมนาคม รวมถึงการเติบโตในภาคการเกษตร ซึ่งรายงานของรัฐบาลระบุว่าปัจจุบันกัมพูชาอนุมัติโครงการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรมูลค่าราว 2.5 พันล้านดอลลาร์ สำหรับในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2024 สร้างการจ้างงานประมาณ 130,000 ตำแหน่ง ขณะที่ด้านการค้าประเทศในกลุ่มสมาชิก ASEAN กัมพูชามีการส่งออกสินค้ามูลค่ารวมกว่า 8 พันล้านดอลลาร์ ในช่วงเดียวกันของปีก่อนหรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.2 จากมูลค่า 6.94 พันล้านดอลลาร์

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501491953/rcep-ftas-to-help-cambodia-attract-more-fdis-boost-exports/

“ไทย-ภูฏาน” ถก FTA รอบแรก ตั้งคณะทำงานด้านการค้าสินค้า ไทยเตรียมเป็นเจ้าภาพจัดประชุม รอบ 2 ส.ค.นี้

โชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า หลังจากที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นภินทร ศรีสรรพางค์) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พาณิชย์ และการจ้างงานภูฏาน (นำเยล ดอร์จิ) ได้ร่วมประกาศเปิดการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่างไทยกับภูฏาน ในช่วงการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า ไทย-ภูฏาน (JTC) ครั้งที่ 5 คณะเจรจาของไทยและภูฏานจึงได้ประชุมเจรจาจัดทำ FTA ไทย-ภูฏาน รอบแรก เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ผ่านมา ณ ประเทศภูฏาน โดยมีตนเป็นหัวหน้าคณะเจรจาฝ่ายไทย และ โซแนม เชอริง ดอร์จิ ผู้อำนวยการกรมการค้า เป็นหัวหน้าคณะเจรจาฝ่ายภูฏาน สำหรับการหารือระหว่าง นภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กับ เชริง ท็อปเกย์ นายกรัฐมนตรีภูฏาน เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2567นายกรัฐมนตรีภูฏานขอให้พิจารณาเร่งรัดสรุปผลการเจรจาโดยเร็วที่สุด ซึ่งทั้งสองฝ่ายเชื่อมั่นว่า FTA ไทย-ภูฏาน จะเป็นประโยชน์ต่อภาคธุรกิจและประชาชนของทั้งสองประเทศ โดยผู้บริโภคภูฏานมีความนิยม รวมทั้งยอมรับคุณภาพและมาตรฐานของสินค้าและบริการของไทยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

ที่มา : https://moneylifenews.com/en/articles/294591-gov

กัมพูชา-เกาหลีใต้ ยก FTA หนุนการค้าทวิภาคีพุ่ง

กัมพูชาและเกาหลีใต้จัดการประชุมคณะกรรมการร่วมความตกลงเขตการค้าเสรีกัมพูชา-เกาหลีใต้ (CKFTA) เป็นครั้งแรกเพื่อติดตามความคืบหน้าของการค้าระหว่างสองประเทศ โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่า CKFTA ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก และมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าระหว่างกันต่อไป ด้านกัมพูชาคาดการณ์ว่าการค้าทวิภาคีกับเกาหลีใต้จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่า CKFTA จะเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศ สำหรับข้อมูลจากกรมศุลกากรและสรรพสามิตของกัมพูชา เผยให้เห็นว่า การค้าทวิภาคีระหว่างกัมพูชาและเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 7.4 หรือคิดเป็นมูลค่า 256 ล้านดอลลาร์ สำหรับในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2024 เป็นการส่งออกของกัมพูชาไปยังเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.4 ที่มูลค่า 98.2 ล้านดอลลาร์ ขณะที่การนำเข้าจากเกาหลีใต้มายังกัมพูชาเพิ่มขึ้นเช่นกันร้อยละ 6.7 ที่มูลค่า 158 ล้านดอลลาร์ สำหรับสินค้าส่งออกหลักของกัมพูชาไปยังเกาหลีใต้ ได้แก่ รองเท้า เสื้อผ้า ผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยว เครื่องดื่ม ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ยาง ยา และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ด้านสินค้านำเข้าหลักจากเกาหลีใต้มายังกัมพูชา ได้แก่ ยานพาหนะ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัว เครื่องดื่ม ยา และพลาสติกสำเร็จรูปและผลิตภัณฑ์

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501487866/cambodia-korea-laud-fta-for-rising-bilateral-trade/

ภูมิธรรม พบทูตเช็ก ดึงลงทุนเข้า EEC ขอเสียงหนุนเจรจา FTA ไทย-อียู

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังหารือกับนายปาเวล ปีเตล (H.E. Mr.Pavel Pitel) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเช็กประจำประเทศไทย ว่า ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่าในโอกาสที่ไทยและเช็กฉลองสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตครอบรอบ 50 ปี เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา ต้องการให้ผลักดันและสานความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นในทุกมิติ โดยเฉพาะด้านการค้าและการลงทุน ผมได้เชิญชวนให้ ทูตสาธารณรัฐเช็ก ขยายการลงทุนเพิ่มในไทย ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในสาขาอุตสาหกรรมที่เช็กมีความเชี่ยวชาญ เช่น การผลิตรถยนต์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ และการป้องกันประเทศ โดยเช็กสามารถใช้ไทยเป็นศูนย์กลางเพื่อขยายการค้าและการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนได้ นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า ได้หารือประเด็นการค้าสำคัญอื่นๆ เช่น ความเป็นไปได้ในการส่งเสริมความร่วมมือในสาขาที่ไทยและเช็กมีศักยภาพ และผลักดัน soft power เช่น มวยไทย การท่องเที่ยว ให้เป็นรูปธรรมต่อไป รวมทั้งได้แลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-สหภาพยุโรป (EU) ที่อยู่ระหว่างการเจรจา โดยได้ขอให้เช็กในฐานะประเทศสมาชิกของ EU สนับสนุนการเจรจาดังกล่าว เพื่อให้สามารถสรุปผลการเจรจาได้โดยเร็ว เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ ขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับประเทศสมาชิก EU 27 ประเทศ รวมถึงเช็กด้วย ซึ่งท่านทูตเช็กได้แจ้งพร้อมให้การสนับสนุนการเจรจา FTA กับไทยอย่างเต็มที่ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ระบุว่า เช็กเป็นคู่ค้าอันดับที่ 43 ของไทย และอันดับที่ 8 จาก EU โดยในปี 2566 ไทยและเช็กมีการค้าระหว่างกันรวม 1,137.78 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (39,387.75 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 3.62 มีสัดส่วนการค้ารวมคิดเป็นร้อยละ 0.20 ของการค้าทั้งหมดของไทยกับโลก โดยไทยส่งออกไปเช็ก 784.51 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (27,064.81 ล้านบาท) และไทยนำเข้าจากเช็ก 353.27 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (12,322.94 ล้านบาท) สินค้าส่งออกสำคัญ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ และส่วนประกอบ แผงสวิทซ์และแผงควบคุมกระแสไฟฟ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่นๆ สินค้านำเข้าสำคัญ เช่น เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ เครื่องมือเครื่องใช้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ การแพทย์ ผลิตภัณฑ์ทำจากพลาสติก

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ https://www.prachachat.net/economy/news-1531031

รัฐบาลเพิ่มแต้มต่อสินค้าเกษตรไทยด้วย FTA ดันครองเบอร์ 1 ส่งออกในอาเซียน

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่านายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตั้งใจขับเคลื่อนนโยบายเพื่อยกระดับความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศผ่านการจัดทำความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Area: FTA) อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อดึงดูดการค้า การลงทุนจากต่างชาติ เดินหน้าทำการค้าเชิงรุก และผลักดันให้เกิดการขยายตลาดสินค้าเกษตรไทยในต่างประเทศ โดยนายกรัฐมนตรีเชื่อว่าหากเดินหน้าผลักดันความร่วมมือ FTA ให้เต็มศักยภาพจะเพิ่มตัวเลขการค้าการลงทุนได้มหาศาล ถือเป็นโอกาสสร้างแต้มต่อทางการแข่งขันให้ไทยในตลาดโลก ซึ่งขณะนี้ ไทยเป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตรอันดับ 1 ในภูมิภาคอาเซียน และเป็นอันดับ 7 ของโลก และส่งออกสินค้าเกษตรแปรรูปเป็นอันดับ 3 ของอาเซียน และเป็นอันดับที่ 11 ของโลก ในปี 2023 โดยตลาดคู่ค้า FTA ที่มีการส่งออกขยายตัวทางการค้าสูง ได้แก่ จีน ซึ่งขยายตัว 11% คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 42% ของการส่งออกสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปของไทย ตามมาด้วยตลาดอาเซียนที่ขยายตัว 5% ด้านสินค้าเกษตรและสินค้าเกษตรแปรรูปที่เป็นสินค้าศักยภาพที่ขยายตัวได้ดีในการส่งออกของไทยไปยังตลาดคู่ค้า FTA อันดับ 1 ยังคงเป็น ข้าว ที่มีการขยายตัวมากถึง 92% ในตลาดอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย

ที่มา : https://www.naewna.com/business/787985

ไทยส่งออกสินค้าเกษตรไปตลาด FTA พุ่ง! ขึ้นแท่นเบอร์ 1 ในอาเซียน

น.ส.โชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยถึงสถานการณ์การส่งออกสินค้าของไทยไปกลุ่มประเทศคู่ค้า ที่ไทยมีความตกลงการค้าเสรี (FTA) ว่า ในปี 2566 ไทยส่งออกสินค้าไปกลุ่มประเทศคู่ค้า FTA คิดเป็นมูลค่า 167,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวลงเล็กน้อย 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 ซึ่งเป็นไปตามสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว

แต่หากพิจารณากลุ่มสินค้าส่งออกสำคัญ พบว่า สินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูป ส่งออกไปประเทศคู่ค้า FTA ขยายตัวได้ดี โดยสินค้าเกษตร มีมูลค่า 19,563 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 4% คิดเป็นสัดส่วนถึง 73% ของการส่งออกสินค้าเกษตรทั้งหมด ทั้งนี้ สินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูป ถือเป็นสินค้าที่ไทยมีศักยภาพในการผลิตและการส่งออกสูง ซึ่งปัจจุบันไทยเป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตรอันดับ 1 ของอาเซียน และเป็นอันดับ 7 ของโลก และเป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตรแปรรูปอันดับ 3 ของอาเซียน และเป็นอันดับที่ 11 ของโลก

ที่มา : https://www.infoquest.co.th/2024/375345

โฆษกรัฐบาลเผย รัฐบาลส่งเสริมการใช้สิทธิภายใต้ FTA ส่งออก มกราคม-พฤศจิกายน 2566 รวม 75,842.65 ล้านดอลลาร์

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ภาพรวมการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าสำหรับการส่งออกภายใต้ FTA ช่วงเดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา พบว่ามีมูลค่าส่งออกสินค้ารวม 75,842.65 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นร้อยละ 82.66 ของการส่งออกสินค้าที่ไทยได้รับสิทธิประโยชน์ภายใต้ FTA โดยไทยได้ใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) สูงสุดเป็นอันดับ 1 คิดเป็นมูลค่า 27,584.19 ล้านดอลลาร์ โดยสินค้าส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ ยานยนต์สำหรับขนส่งของที่น้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน 5 ตัน น้ำตาลจากอ้อย น้ำมันปิโตรเลียมและน้ำมันจากแร่บิทูมินัส รถยนต์สำหรับขนส่งบุคคล และเครื่องจักรอัตโนมัติ สำหรับการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าสำหรับการส่งออกภายใต้ความตกลงการค้าเสรีของไทย มากเป็นอันดับที่ 2 ได้แก่ ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) ไทยได้ใช้สิทธิประโยชน์ คิดเป็นมูลค่า 22,059.90 ล้านดอลลาร์ โดยเน้นเป็นสินค้าจำพวกทุเรียนสด ผลิตภัณฑ์ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ มันสำปะหลัง สตาร์ชทำจากมันสำปะหลัง และโพลิเมอร์ของเอทิลีน นอกจากการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าสำหรับการส่งออกภายใต้ FTA ข้างต้น ยังมีการใช้สิทธิประโยชน์ในความตกลงฉบับอื่น ๆ เช่น การใช้ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) คิดเป็นมูลค่า 6,344.09 ล้านดอลลาร์ ความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) คิดเป็นมูลค่า 5,802.56 ล้านดอลลาร์ ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (AIFTA) คิดเป็นมูลค่า 4,987.16 ล้านดอลลาร์

ที่มา : https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/78761

รัฐบาลประกาศเจรจา FTA ไทย-อียู จบปี 2568 ดันการค้า-ลงทุน

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก ผลักดันการใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Area: FTA) อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการส่งออกสินค้าไทยสู่ตลาดโลก พัฒนาศักยภาพทางเศรษฐกิจ และดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ

สำหรับการประชุมเจรจา FTA ไทย-สหภาพยุโรป (EU) รอบที่ 2 เมื่อวันที่ 22 – 26 มกราคม 2567 ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับการแปลกเปลี่ยนมุมมองและข้อเสนอต่าง ๆ ด้านการค้าและการลงทุน พร้อมสร้างความเข้าใจในการร่วมกันยกระดับไปสู่หุ้นส่วนทางเศรษฐกิจในอนาคตให้มากขึ้น

ทั้งนี้ การประชุมเจรจา FTA ไทย-EU รอบที่ 3 EU รับเป็นเจ้าภาพ เพื่อหารือประเด็นต่าง ๆ ด้านความร่วมมือไทย-EU เพิ่มเติม ในช่วงเดือนมิถุนายน 2567 โดยรัฐบาลตั้งเป้าให้การเจรจา FTA สามารถบรรลุข้อสรุปได้ภายในปี 2568

ที่มา : https://www.thansettakij.com/business/economy/587341