“แบรนด์กาแฟสปป.ลาว” คว้าแชมป์เวทีระดับเอเชีย

เมาน์เทนคอฟฟี่ (Lao Mountain Coffe) แบรนด์กาแฟคุณภาพระดับพรีเมี่ยมจากประเทศสปป.ลาว คว้ารางวัลที่ 1 จากเวทีการแข่งขันระดับเอเชีย ซึ่งจากการแข่งขัน “World Coffee Challenge” จัดขึ้นที่เมืองโอว์แรนเซ (Ourense) ประเทศสเปน ตั้งแต่วันที่ 29-30 กันยายน ผู้มีเข้าร่วมการแข่งขันกว่า 34 ประเทศทั่วโลก ทั้งนี้ กระทรวงกสิกรรมและป่าไม้ สปป. ลาว ระบุว่ากาแฟเป็นสินค้าเกษตรส่งออกที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ของลาว และจำหน่ายไปแล้วกว่า 26 ประเทศทั้งในเอเชีย ยุโรปและอเมริกาเหนือ ปัจจุบันรัฐบาลเร่งส่งเสริมการผลิตกาแฟในพื้นที่ 11 จังหวัด เพื่อตอบสนองความต้องการที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ

นอกจากนี้ สัดส่วนของตลาดส่งออกกาแฟสปป.ลาวในปีที่แล้ว พบว่าส่วนใหญ่ส่งออกกาแฟ (เมล็ดกาแฟดิบ) 56% ไปยังตลาดเวียดนาม รองลงมา 13% ญี่ปุ่น, (ไทย 12%), (กัมพูชา 3%), (เยอรมนี 2%), (จีน 1.5%), (สหรัฐฯ 0.9%) และ 11% ไปยังประเทศอื่นๆ

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten193_Laocoffee.php

อุทยานโบราณคดีอังกอร์ให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นในช่วง ม.ค.-ก.ย.

อุทยานโบราณคดีอังกอร์ สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของกัมพูชา ซึ่งมีชื่อเสียงระดับโลก ได้ให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 140,000 คน ในช่วง 9 เดือน (มกราคม-กันยายน) ปีนี้ เพิ่มขึ้นกว่า 2,075% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนตามรายงานของ Angkor Enterprise สร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 5.36 ล้านดอลลาร์ จากการขายตั๋ว โดยปัจจุบันได้ให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณวันละ 800-1,000 คน ซึ่งคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะกลับมาแตะในระดับก่อนช่วงเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 ในอีก 3-4 ปีข้างหน้า โดยก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2019 อุทยานโบราณคดีอังกอร์ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติได้มากถึง 2.2 ล้านคน สร้างรายได้รวม 99 ล้านดอลลาร์จากการขายตั๋ว

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501161993/angkor-archaeological-park-attracts-0-14m-foreign-tourists-in-jan-sept/

CDC อนุมัติโครงการพัฒนาการท่องเที่ยวในจังหวัดแกบ มูลค่า 17 ล้านดอลลาร์

สภาเพื่อการพัฒนากัมพูชา (CDC) อนุมัติโครงการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวมูลค่า 17 ล้านดอลลาร์ ในพื้นที่จังหวัดแกบ พัฒนาโดย บริษัท Try Pheap Koh Tonsay Resorts Co., Ltd. ซึ่งคาดว่าจะสร้างงานให้กับคนในท้องถิ่น 105 คน โดยปัจจุบันบริษัทยังได้พัฒนาโครงการรีสอร์ทนอกเขตพื้นที่ชายฝั่งของจังหวัดแกบ มูลค่าการลงทุนรวม 130 ล้านดอลลาร์ ซึ่งโครงการดังกล่าวจะเป็นส่วนช่วยในการสนับสนุนแผนแม่บทของรัฐบาลในการพัฒนาจังหวัดแกบให้เป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวของประเทศต่อไปในอนาคต โดยเน้นไปที่การท่องเที่ยวเชิงนิเวศระดับไฮเอนด์ ซึ่งในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา CDC ได้อนุมัติโครงการการลงทุนที่เกี่ยวกับการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวในจังหวัดแกบให้กับ บริษัท Samanea Co., Ltd. มูลค่าการลงทุน 18.5 ล้านดอลลาร์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวและคนในท่องถิ่น

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501162001/17m-tourism-project-in-kep-province-approved/

ปี 2565 นักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้าสปป.ลาว กว่า 300,000 คน

ระหว่างการประชุมเชิงปฏิบัติการระหว่างภาครัฐและภาคธุรกิจเกี่ยวกับแนวทางในการฟื้นฟูการท่องเที่ยวที่จัดขึ้นในเวียงจันทน์เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2565 ที่ผ่านมา ได้เปิดเผย ตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยงที่เดินทางเข้า สปป.ลาว กว่า 300,000 ตน ในเวลาเดียวกัน นักท่องเที่ยวลาวกว่า 1,000 คนเดินไปต่างประเทศผ่านบริษัททัวร์ในเวียงจันทน์ ซึ่งจากข้อมูลการท่องเที่ยวระหว่างสปป.ลาวและไทย ยังพบอีกว่าสปป.ลาวยังเป็นประเทศที่เดินทางไปท่องเที่ยวไทยเป็นอันดับ 5 และจากข้อมูลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ระหว่างเดือนมีนาคมถึงกรกฎาคมของปีนี้ มีนักท่องเที่ยวจากสปป.ลาว 157,000 คน เดินทางเข้ามาในไทย ในขณะเดียวกัน นักท่องเที่ยวชาวไทยส่วนใหญ่มักนิยมไปเที่ยวชมเมืองมรดกของยูเนสโกในหลวงพระบาง รวมถึงการพักระยะสั้นในวังเวียงและเวียงจันทน์ของสปป.ลาว

ที่มา: https://laotiantimes.com/2022/10/03/over-300000-tourists-visit-laos-capital-in-2022/

2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เมียนมานำเข้าปุ๋ยไปแล้วกว่า 10,000 ตัน มูลค่า 6.491 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ฯ

สัปดาห์ที่ 2 และ 3 ของเดือนกันยายน 2565 เมียนมาร์นำเข้าปุ๋ยกว่า 10,000 ตัน มูลค่า 6.491 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ผ่านทางทะเล โดยนำเข้าปุ๋ยจากจีนประมาณ 6,000 ตัน จากเวียดนาม 2,100 ตัน จากไทย 1,000 ตัน และจากประเทศอื่น ๆ อีก 900 ตัน อย่างไรก็ตาม การนำเข้าปุ๋ยลดลงจาก 13,000 ตันเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยราคาปุ๋ยภายในประเทศ ในสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนกันยายน จะเคลื่อนไหวระหว่าง 80,000-163,000 จัตต่อกระสอบ (50 กิโลกรัม) ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ ส่วนสัปดาห์ที่ 3 ราคาจะอยู่ที่ 78,000 ถึง 168,000 จัตต่อกระสอบ

ที่มา: https://www.gnlm.com.mm/myanmar-imports-over-10000-tonnes-of-fertilizer-worth-us6-491-mln-by-sea-in-past-two-weeks/#article-title

RMKH Glove (กัมพูชา) เปิดตัวโรงงานผลิตถุงมือในกัมพูชาแห่งแรก

RMKH Glove (กัมพูชา) โรงงานผลิตถุงมือแห่งแรกในกัมพูชา ได้ประกาศเริ่มดำเนินการผลิตถุงมือในเขตเศรษฐกิจพิเศษแมนฮัตตัน (MSEZ) ในตำบลบาเวต จัดตั้งขึ้นโดยบริษัท Medtecs Group เริ่มก่อสร้างขึ้นในปี 2021 โดยมีกำลังการผลิตถุงมือประมาณ 50 ล้านชิ้นต่อเดือน หรือ 600 ล้านชิ้นต่อปี ซึ่งจะทำการผลิตถุงมือเกรดทางการแพทย์คุณภาพสูงเป็นสำคัญ ด้านรัฐมนตรีอาวุโส Ly Thuch ได้กล่าวเสริมว่าเขตเศรษฐกิจในตำบลบาเวต ได้กลายเป็นศูนย์กลางด้านการผลิตแห่งใหม่ โดยมีโรงงานกว่า 178 แห่ง ในเขตพื้นที่ สร้างการจ้างงานคนในพื้นที่มากกว่า 90,000 คน ซึ่งในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมากัมพูชาได้กลายเป็นจุดหมายปลายทางด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่น่าดึงดูดแห่งหนึ่งของโลก โดยมีอัตราการเติบโตของจีดีพีประมาณร้อยละ 7 และด้วยความสำเร็จในครั้งนี้เป็นผลมาจากนโยบาย ‘วิน-วิน’ ของรัฐบาล ในการส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวในกัมพูชา รวมถึงเอื้อต่อการเติบโตของภาคการส่งออกและดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ภายใต้กฎหมายด้านการลงทุนฉบับใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตเศรษฐกิจพิเศษผ่านข้อเสนอ อาทิเช่น การยกเว้นภาษี

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501161095/rmkh-glove-cambodia-launches-manufacturing-facility/

แบงก์ชาติกัมพูชาจ่อดำเนินการกับธนาคารไมโครไฟแนนซ์ที่ไม่มีระบบ KHQR

ธนาคารแห่งชาติกัมพูชา (NBC) จะเริ่มใช้มาตรการที่เข้มงวดขึ้นเกี่ยวกับธนาคารและสถาบันไมโครไฟแนนซ์ (MFIs) โดยยังคงใช้แพลตฟอร์มการชำระเงินดิจิทัลที่เรียกว่ารหัส QR ในรูปแบบเก่า ซึ่งปัจจุบันมีแพลตฟอร์มการชำระเงินรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า KHQR สามารถใช้ได้กับธนาคาร 38 แห่งทั่วกัมพูชาผ่านการสแกน KHQR ได้ทั้งในรูปแบบของการรับและชำระเงินระหว่างสถาบันโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย โดยทุกธนาคารจะมีแพลตฟอร์ม KHQR แค่เพียง 1 อัน บนมาตรฐานเดียวกันที่ทาง NBC เป็นผู้กำหนดให้ สำหรับธนาคารและสถาบันการเงินและผู้ให้บริการชำระเงิน เพื่อให้บริการลูกค้าสำหรับการชำระสินค้าและบริการอื่นๆ ในกัมพูชาผ่านแอปพลิเคชันมือถือของแต่ละสถาบันการเงิน

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501161096/nbc-to-take-action-on-banks-mfis-not-using-khqr/

“เมืองโฮจิมินห์” ดึงดูดเม็ดเงินทุนจากต่างประเทศ 2.97 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ตามข้อมูลของสำนักงานการวางแผนและการลงทุน เปิดเผยว่าเมืองโฮจิมินห์ดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) อยู่ที่ 2.97 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 20 ก.ย. 2565 เพิ่มขึ้น 26.1% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งจากจำนวนเงินลงทุนทั้งหมด เงินทุนบางส่วนกว่า 348 ล้านดอลลาร์สหรัฐไปยังโครงการใหม่ 567 โครงการ หดตัว 7.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ทั้งนี้ สิงคโปร์เป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุดของเวียดนามในภาคใต้ จำนวน 97 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 121.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 35% ของเงินทุนจดทะเบียนใหม่ทั้งหมด รองลงมาญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ตามลำดับ ในขณะเดียวกันเงินทุนอีกราว 1.49 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ถูกเพิ่มลงในไปยัง 114 โครงการที่มีอยู่ในปัจจุบัน สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 2.5 เท่า นอกจากนี้ ยังมีมูลค่าในการซื้อหุ้นของนักลงทุนต่างชาติ ประมาณ 1.13 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัว 16.2% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/297-billion-usd-in-fdi-poured-into-hcm-city-in-9-months/239392.vnp