เลขาฯ UN วอนรวมอาหาร ปุ๋ยจากยูเครน รัสเซีย เข้าสู่ตลาดโลก

อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ เน้นย้ำถึงความสำคัญของการบูรณาการผลิตภัณฑ์อาหารและปุ๋ยจากยูเครนและรัสเซียเข้าสู่ตลาดโลก ต้นทุนหลักสำหรับเกษตรกรคือปุ๋ยและพลังงาน ราคาปุ๋ยเพิ่มขึ้นมากกว่าครึ่งในปีที่ผ่านมา และราคาพลังงานมากกว่าสองในสาม ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้คนหลายพันล้านคนทั่วเอเชีย แอฟริกา และอเมริกา ปัญหาการเข้าถึงอาหารในปีนี้อาจกลายเป็นปัญหาการขาดแคลนอาหารทั่วโลกในปีหน้า ไม่มีประเทศใดจะรอดพ้นจากผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจจากภัยพิบัติดังกล่าว วิกฤตการณ์ในปัจจุบันเป็นมากกว่าอาหาร และต้องใช้แนวทางพหุภาคีที่ประสานกันด้วยการแก้ปัญหาหลายมิติ

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten121_UN_y22.php

ปริมาณการค้าระหว่าง กัมพูชา-จีน เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 38

Bun Chanthy ปลัดกระทรวงพาณิชย์กัมพูชา กล่าวว่า ปริมาณการค้าระหว่างทั้งสองประเทศเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 38 เมื่อเทียบกับปี 2020 โดยคำแถลงดังกล่าวถูกกล่าวในงาน “China Import and Export Fair” ที่เพิ่งผ่านมา ซึ่งงานนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 นับตั้งแต่ในปี 2018 ที่ได้จัดเป็นครั้งแรก โดยการจัดงานดังกล่าวถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เนื่องจากงานนี้ถือเป็นเวทีการค้าที่สำคัญสำหรับผู้ค้าทั้งโลกในแง่ของการแลกเปลี่ยนสินค้า บริการ โครงการลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ ที่เข้าร่วมจากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลกัมพูชาได้กำหนดยุทธศาสตร์ ไปจนถึงมองหาความเชื่อมโยงระหว่างกัมพูชาและจีนในทุกด้าน เพื่อส่งเสริมการเติบโตของภาคการค้า และการเติบโตทางเศรษฐกิจ เป็นสำคัญ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501100887/cambodia-china-trade-volume-up-38-pct/

คาดภาคอุตสาหกรรมกัมพูชาโตร้อยละ 9.2 ในปี 2023

ภาคอุตสาหกรรมกัมพูชาคาดโตร้อยละ 9.2 ในปี 2023 โดยได้รับแรงสนับสนุนจากอุปสงค์ภายนอกที่ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการช่วยกระตุ้นภาคการผลิตภายในประเทศโดยเฉพาะฝั่งการผลิตเครื่องนุ่งห่ม ที่คาดว่าจะเติบโตร้อยละ 8.1 ในปี จากความต้องการในสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะเมียนมาร์ ในขณะที่เศรษฐกิจของประเทศคาดว่าจะเติบโตร้อยละ 6.6 ในปี 2023 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 จากที่คาดการณ์ไว้ร้อยละ 5.4 ในปีนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากแนวโน้มอุปสงค์ทั่วโลกปรับตัวดีขึ้น และความเชื่อมั่นที่สูงขึ้นของนักลงทุนท่ามกลางสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ที่ผ่อนคลาย ในขณะเดียวกันอัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะลดลงเหลือร้อยละ 2.5 ในปีนี้ จากที่คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 5 จากที่ปีนี้ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์เพิ่มขึ้นอย่างมากในตลาดต่างประเทศอันเนื่องมาจากสงคราม รัสเซีย-ยูเครน ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 4,065 เรียลต่อดอลลาร์สหรัฐ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501100710/cambodias-industry-is-expected-to-grow-by-9-2-percent-in-2023/

“เวียดนาม” โอกาสก้าวแทนที่จีน ขึ้นแท่นโรงงานของโลกในอนาคตอันใกล้

ตามรายงานของ Global Times ระบุว่าการกลับมาแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนในพื้นที่มณฑลกวางตุ้งและเซี่ยงไฮ้ ทำให้ห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงัก และยังเปิดโอกาสแก่เวียดนามที่จะได้รับผลประโยชน์จากการย้ายการลงทุน สาเหตุสำคัญมาจากค่าจ้างแรงงาน ค่าที่ดิน ค่าใช้จ่ายการดำเนินงานของโรงงานและคลังสินค้าที่มีราคาและต้นทุนที่ถูก ตลอดจนตัวเลขเศรษฐกิจของเวียดนามในไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ ขยายตัว 5.03% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แซงหน้าประเทศจีนที่ขยายตัวเพียง 4.8% นอกจากนี้ นักลงทุนต่างชาติมีแนวโน้มที่จะทยอยเงินทุนไปยังตลาดเวียดนามมากขึ้น

ที่มา : https://www.aninews.in/news/world/asia/vietnam-may-replace-china-as-factory-of-the-world-in-near-future20220625133010/

ปีงบฯ 65-66 เมียนมานำเข้าสินค้าเพื่อการลงทุนลดฮวบ! 305 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ณ วันที่ 17 มิ.ย.2565 ของปีงบประมาณ 2565-2566- การนำเข้าสินค้าเพื่อการลงทุนลดลงมากกว่า 305 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.ถึงวันที่ 17 มิ.ย.2565 มีการนำเข้าสินค้ากว่า 701.135 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่ 1,006.802 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยในเดือนแรกของปี 2564-2565 (งบประมาณย่อย) เมียนมามีรายได้จากการค้าระหว่างประเทศมากกว่า 3,072 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  น้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเกือบ 389 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นรายได้จากการส่งออกอยู่ที่ 1,533.690 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นำเข้า 1,538.717 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีมูลค่าการค้ารวม 3,072.407 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้สาระสำคัญของยุทธศาสตร์การส่งออกแห่งชาติ พ.ศ. 2563-2568  ของเมียนมา คือการผลิตอาหารจากการเกษตร สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม อุตสาหกรรมและอิเล็กทรอนิกส์ การประมง ผลิตภัณฑ์จากป่า สินค้าดิจิตอลและการบริการดิจิทัล โลจิสติกส์ และการให้บริการข้อมูลทางการค้า

ที่มา: https://news-eleven.com/article/233019

สัญญาณเที่ยวไทยเริ่มฟื้น รับข่าวจีนผ่อนคลายเดินทาง

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดี หลังจีน เปิดให้สายการบินไทย สามารถทำการบินระหว่างประเทศไทยและจีน 2 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ซึ่งขณะนี้จีนได้เริ่มผ่อนคลายมาตรการเดินทางระหว่างประเทศแล้ว จึงถือเป็นสัญญาณดีในการฟื้นตัวด้านการท่องเที่ยว ซึ่งที่ผ่านมา กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนถือเป็นกลุ่มหลักที่สร้างรายได้ให้กับการท่องเที่ยวไทย ทั้งนี้นายกรัฐมนตรี ยังได้กำชับให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เตรียมความพร้อมมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศช่วงครึ่งปีหลัง ตามที่คาดการณ์ว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นมากหลังจากที่ไทยได้ผ่อนคลายมาตรการเดินทางเข้าประเทศ โดยยกเลิกระบบ Thailand Pass สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่จะในเริ่มวันที่1 ก.ค. 2565 เป็นต้นไป จึงต้องเน้นย้ำเพื่อสร้างความรับรู้สำหรับชาวต่างชาติ พร้อมกับมีมาตรการเพื่อสร้างแรงจูงใจในการเดินทางมากขึ้น

ที่มา: https://www.naewna.com/business/662886

“UOB” ประมาณการเศรษฐกิจเวียดนามปี 65 ขยายตัว 6.5%

ธนาคารยูโอบี (UOB) มองภาพรวมเศรษฐกิจเวียดนามในปี 2565 ประมาณการ GDP ขยายตัว 6.5% และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 3.7% ตามรายงานบ่งชี้ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจเวียดนามในไตรมาสที่ 2/2565 ยังอยู่ในทิศทางที่เป็นบวก และคาดว่า GDP ในไตรมาสที่ 3/2565 จะขยายตัว 7.6% อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญมองว่าเศรษฐกิจยังคงเผชิญกับความเสี่ยงจากเหตุปัจจัยภายนอก อาทิ ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน เป็นต้น ในขณะที่เงินเฟ้อของเวียดนามจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.86% ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งยังต่ำกว่าระดับที่ธนาคารกลางตั้งเป้าหมายที่ 4% โดยเฉพาะค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้นเป็นสองหลักในช่วง 14 เดือนที่ผ่านมา

ที่มา : https://en.nhandan.vn/business/item/11615402-oub-maintains-vietnam%E2%80%99s-gdp-growth-forecast-at-6-5-percent.html

“เฟด” ขึ้นดอกเบี้ย แบงก์ชาติเวียดนามส่งสัญญาอัตราแลกเปลี่ยน

เมื่อตั้งแต่ต้นปี 2565 ตลาดการเงินระหว่างประเทศเผชิญกับความไม่แน่นอนจากสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียกับยูเครน ส่งผลกระทบเชิงลบต่อระบบเศรษฐกิจและการเงินโลก ตลอดจนราคาเชื้อเพลิง ราคาสินค้าโภคภัณฑ์และการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานโลก ในขณะที่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เป็นผลมาจากธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.75% ในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 28 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ คุณ Pham Chi Quang รองผู้อำนวยการ ฝ่ายนโยบายการเงิน ธนาคารกลางเวียดนาม กล่าวว่าธนาคารกลางจะปฏิบัติตามนโยบายที่ยืดหยุ่น เพื่อให้สอดคล้องกับตลาดโลกและลดผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนที่มีความผันผวนและดูแลเสียรภาพอัตราแลกเปลี่ยน อีกทั้ง เมื่อต้นปี 2565 ธนาคารกลางได้ขายสกุลเงินต่างประเทศ เพื่อแทรกแซงตลาดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและเพิ่มอุปทาน ในขณะเดียวกันก็รักษาสภาพคล่องของเงินดองเวียดนาม ซึ่งจะช่วยให้สกุลเงินดองมีเสถียรภาพ

 

ที่มา : https://vietnamnet.vn/en/us-fed-raises-interest-rates-sbv-gives-message-about-exchange-rate-2032548.html