นักลงทุนไทยเล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจในเวียดนาม

สถานทูตเวียดนามประจำประเทศไทยร่วมกับสภาธุรกิจไทย-เวียดนาม และบริษัท อมตะ วีเอ็น จำกัด (มหาชน) จัดงานแถลงข่าวโอกาสทางการลงทุน เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564 ที่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นการฉลองครบรอบ 45 ปี ของความสัมพันธ์ทางการทูตไทยและเวียดนาม นายฟัน จิ้ ทัน เอกอัครราชทูตเวียดนามประจำประเทศไทย ได้บรรยายถึงความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจของเวียดนามและการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามครั้งที่ 13 โดยคาดว่าจะส่งผลให้เวียดนามก้าวเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่ทันสมัย ด้วยรายได้ปานกลางระดับสูงในปี 2573 และเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วภายในปี 2588 ทั้งนี้ ธุรกิจไทยทุ่มเงินกว่า 12.84 พันล้านเหรียญสหรัฐไปยัง 600 โครงการในเวียดนาม จำแนกออกเป็นด้านต่างๆ ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐาน, นิคมอุตสาหกรรม, เทคโนโลยีขั้นสูง, พลังงานและเกษตรกรรม เป็นต้น นอกจากนี้ นายสนั่น  อังอุบลกุล  ประธานสภาธุรกิจไทย-เวียดนาม กล่าวว่ามีความสนใจอย่างมากในการลงทุนไปเวียดนาม เนื่องมาจากความมีเสียรภาพทางการเมือง การประสบความสำเร็จในการควบคุมการระบาดของโควิด-19 แรงงานจำนวนมาก กำลังซื้อสูงและสภาพแวดล้อมการลงทุน

ที่มา : https://vov.vn/en/economy/thai-investors-keen-on-future-business-opportunities-in-vietnam-833370.vov

กัมพูชาเร่งดำเนินการก่อสร้างถนนโครงการ National Road 10

ถนนแห่งชาติหมายเลข 10 ซึ่งจะเชื่อมโยงพระตะบองกับจังหวัดเกาะกงขณะนี้เสร็จสมบูรณ์แล้วร้อยละ 43.75 และมีกำหนดเปิดให้สัญจรในปี 2023 กล่าวโดยรัฐมนตรีกระทรวงโยธาธิการและขนส่ง ในระหว่างการเยือนรัฐมนตรีต่างประเทศได้เรียกร้องให้ China Road and Bridge Corp. (CRBC) และ WACC Technical Consulting Co. ดำเนินการก่อสร้างต่อไปเพื่อให้แน่ใจว่าการก่อสร้างเป็นไปตามมาตรฐานทางเทคนิค โดยถนนมีความยาวกว่า 199 กิโลเมตร เชื่อมระหว่างจังหวัดพระตะบองกับจังหวัดเกาะกงและผ่านจังหวัดโพธิสัตว์ ซึ่งโครงการนี้มีมูลค่าการก่อสร้างอยู่ที่ 188 ล้านดอลลาร์ รัฐบาลกัมพูชาเป็นผู้ดำเนินโครงการจากเงินกู้ยืมระยะยาวของจีนร่วมกับงบประมาณของภาครัฐบาลกัมพูชา โดยมีจุดประสงค์ในการเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคโดยเฉพาะประเทศไทย ซึ่งการค้าทวิภาคีระหว่างกัมพูชาและไทยมีมูลค่าสูงถึง 7.236 พันล้านดอลลาร์ในปี 2020 ลดลงร้อยละ 23 เมื่อเทียบกับปี 2019 ตามข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ของไทย

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50807538/national-road-10-project-construction-on-track/

NBC เปิดตัวระบบการชำระเงินรูปแบบใหม่ในกัมพูชา

ธนาคารแห่งชาติกัมพูชา (NBC) เปิดตัวระบบการชำระเงินแบบใหม่ภายใต้ชื่อ “Retail Pay” อย่างเป็นทางการ เพื่อสนับสนุนและอำนวยความสะดวกในการชำระเงินที่รวดเร็วสำหรับผู้ค้ารายย่อยภายในประเทศ ซึ่งระบบการชำระเงินใหม่ได้รับการพัฒนาภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานความร่วมมือระหว่างประเทศของเกาหลี (KOICA) โดยรองผู้ว่าการ NBC กล่าวว่าระบบการชำระเงินมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจโดยการจัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยเพื่ออำนวยความสะดวกในการโอนเงินและกิจกรรมการชำระเงิน นอกจากนี้ยังเอื้อในการเร่งการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีทางการเงินที่เป็นนวัตกรรมใหม่ในลักษณะที่เหมาะสมและแพร่หลายสำหรับประชากรในชนบทที่ไม่มีธนาคารให้บริการอีกด้วย ซึ่งระบบการชำระเงินแบบ Retail Pay ช่วยให้ลูกค้าสามารถโอนเงินแบบเรียลไทม์จากบัญชีธนาคารไปยังบุคคลอื่นได้หากทั้งสองธนาคารเป็นสมาชิกของระบบ โดยขณะนี้เรามีสถาบันการเงินและธนาคาร 22 แห่ง เป็นสมาชิกในระบบ ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมผ่านรหัส QR Code หรือทางมือถือ ซึ่งระบบจะให้บริการสองสกุลเงิน

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50807469/nbc-launches-new-payment-and-transfer-system/

เมียนมาลุ้นส่งออกน้ำผึ้งไป EU ภายในปีนี้

สมาคมการเลี้ยงผึ้งเมียนมาและกระทรวงพาณิชย์เผย ผู้เลี้ยงผึ้งอยู่ในช่วงเตรียมการเพื่อส่งออกน้ำผึ้งไปยังตลาดสหภาพยุโรปคาดว่าสิ้นปีนี้สามารถส่งออกได้กว่า 50% และส่งออกได้ถึง 800 ตันในปีงบประมาณ 63-64 ปัจจุบันตลาดหลักคือญี่ปุ่น อุตสาหกรรมส่งออกน้ำผึ้งสร้างรายได้ให้กับประเทศประมาณ 4 ดอลลาร์สหรัฐ มีฟาร์มผึ้งประมาณ 670 เฮกตาร์ที่สามารถผลิตน้ำผึ้ง 4,000 ถึง 5,000 ตันต่อปี ซึ่งทั่วประเทศมีโรงงานทำน้ำผึ้ง 6 แห่งโดยจะส่งออกระหว่าง 2,000 ถึง 3,000 ตันไปยังญี่ปุ่นและจีนในทุกๆ ปี ทั้งนี้ผู้เลี้ยงผึ้งต้องปฎิบัติตามมาตรฐานสากล เช่น การวิเคราะห์อันตรายและจุดควบคุมวิกฤต (HACCP) โดยการสนับสนุนของกระทรวงพาณิชย์และศูนย์การค้าระหว่างประเทศในการจัดหลักสูตร HACCP และส่วนแบ่งการตลาดสำหรับผู้เลี้ยงผึ้ง นอกจากนี้น้ำผึ้งยังสามารถผลิตได้จากน้ำหวานที่เก็บจากไนเจอร์ งา ดอกทานตะวัน สะระแหน่ เถาวัลย์ ถั่วแระ ดอกไม้ป่า และต้นลิ้นจี่

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/myanmar-export-honey-eu-year.html

เผยราคากาแฟเมืองยวาร์งันยังทรงตัว แม้ COVID-19 ระบาดหนัก

นักธุรกิจเผยราคากาแฟเมืองยวาร์งัน รัฐฉาน ยังคงทรงตัวแม้มีการระบาดของโควิด -19 เทียบกับปีที่แล้ว โดยราคาเริ่มต้นของเมล็ดกาแฟสุก viss (1.6 กิโลกรัม) อยู่ที่ 600-700 จัตเมื่อปีก่อน เพิ่มขึ้นเป็น 800,900 ถึง 1000 จัต ซึ่งการเก็บเกี่ยวในทุกปีจะเริ่มช่วงเดือนธันวาคมและโดยพื้นที่เพาะปลูกมีมากกว่า 7,000 เอเคอร์ในเมืองยวาร์งัน ทั้งนี้คุณภาพของเมล็ดกาแฟลดลงเล็กน้อยในปีนี้เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ถึงแม้ราคาอาจไม่เปลี่ยนแปลงมากนักแต่การส่งออกทำได้ยากขึ้น ปัจจุบันเมียนมาส่งออกกาแฟไปยังสหรัฐฯ และมีความพยายามจะขยายตลาดไปยังญี่ปุ่น เกาหลี แคนาดา และยุโรป ซึ่งเมล็ดกาแฟหนึ่งตันสามารถดึงราคาส่งออกได้เพิ่มขึ้นตั้งแต่ 1,000 ถึง 8,000 ดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้เมียนมามีพื้นที่ปลูกกาแฟประมาณ 50,000 เอเคอร์ทั่วประเทศ โดยการปลูกกาแฟพันธุ์อาราบิก้ามีพื้นที่มากถึง 40,000 เอเคอร์ของพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมด

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/ywar-ngan-coffee-prices-stable-amid-covid-19-outbreak.html

Global Times เผยเวียดนาม ดาวรุ่งในเอเชียตะวันออกเฉีนงใต้

ตามรายงาน “Asia Economics Quarterly” ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่น (HSBC) เปิดเผยว่าเศรษฐกิจเวียดนามเติบโตเร็วที่สุดในเอเชีย ปี 2563 และจะทะยานเป็นขึ้นเบอร์หนึ่งในภูมิภาคในปีนี้ เวียดนามได้รับการยอมรับว่าเป็นตัวอย่างในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และมีการเติบโตทางเศรษฐกิจ 2.91% ในปี 2563 อีกทั้ง เศรษฐกิจยังคงขยายตัวได้ดีในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาและสามารถก้าวข้ามวิกฤตทางการเงินในเอเชีย รวมถึงวิกฤตการเงินโลก ด้วยเหตุนี้ เวียดนามพร้อมที่จะก้าวไปสู่ประเทศรายได้ปานกลาง ทั้งนี้ เวียดนามได้รับแรงหนุนจากปัจจัยหลายประการด้วยกัน การส่งออกของเวียดนามไปยังสหรัฐฯ พุ่ง 24.5% ในปี 2563 ด้วยมูลค่าการส่งออก 76.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้เวียดนามเป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่อันดับ 2 ของสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้เวียดนามเกินดุลการค้ามาเป็นเวลาติดต่อกัน 5 ปี แตะระดับสูงสุด 19.1 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2563 ประกอบกับอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ คือ การลงนามในข้อตกลงการค้าเสรีกับกลุ่มเศรษฐกิจสำคัญของโลก โดยในปี 2563 เวียดนามได้ลงนามความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP), ข้อตกลงการค้าสหภาพยุโรป-เวียดนาม (EVFTA) และข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างเวียดนามกับอังกฤษ (UKVFTA) เพื่อขยายตลาดส่งออก

ที่มา : https://vietnamtimes.org.vn/global-times-vietnam-a-rising-star-in-southeast-asia-27640.html

เวียดนามนำเข้ารถยนต์ 2.35 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 63

ตามรายงานของสำนักงานศุลกากรเวียดนาม เปิดเผยว่าในปี 2563 เวียดนามนำเข้ารถยนต์ 105,000 คัน เป็นมูลค่า 2.35 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในแง่ของปริมาณ ลดลง 24.5% และในแง่ของมูลค่า ลดลง 25.6% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งในเดือนธันวาคม ปริมาณการนำเข้ารถยนต์อยู่ที่ 12,690 คัน เป็นมูลค่า 308 ล้านเหรียญสหรัฐ ในแง่ของปริมาณและมูลค่า เพิ่มขึ้น 3.7% และ 12.8% เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา ตามลำดับ ทั้งนี้ ปริมาณการนำเข้าส่วนใหญ่ราว 88% ในเดือนสุดท้ายของปี มาจากประเทศไทย (7,696 คัน) ตามมาด้วยอินโดนีเซีย (2,353 คัน) และจีน (1,158 คัน) นอกจากนี้ สมาคมผู้ผลิตรถยนต์เวียดนาม (VAMA) ระบุว่ายอดขายรถยนต์ในเวียดนามพุ่งขึ้น 45% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เป็นผลมาจากการจัดโปรโมชั่นครั้งใหญ่ในเดือนสุดท้ายของปี และลูกค้ารีบซื้อรถยนต์ก่อนที่นโยบายภาครัฐฯ จะปรับลดค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนรถยนต์ที่ผลิตในประเทศ 50% โดยจะหมดอายุภายในสิ้นปี อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญมองว่าในปีนี้ จะเป็นปีที่ลำบากอีกครั้ง สำหรับตลาดรถยนต์เวียดนาม สาเหตุจากผู้ประกอบการต่างๆ เลือกที่จะควบคุมการใช้จ่ายมากขึ้น

ที่มา : http://hanoitimes.vn/vietnam-spends-us235-billion-to-import-cars-in-2020-316043.html

ไตรมาสแรกปี 63-64 ภาพรวมการค้าเมียนมา ดิ่งลง เมื่อเทียบกับปีก่อน

เมียนมามีมูลค่าการค้าระหว่างประเทศรวม 8.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 63-64 ซึ่งน้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 2.5 พันล้านดอลลาร์ ผลมาจากการส่งออกที่ลดลงของก๊าซธรรมชาติ อัญมณี เสื้อผ้า และการประมงและผลิตภัณฑ์จากสัตว์อื่น ๆ จากการระบาดของ COVID-19 ส่วนการนำเข้าที่ลดลง คือ วัตถุดิบมาผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูป  Cut-Make-Pack (CMP) วัสดุก่อสร้าง เชื้อเพลิงและน้ำมันดิบอื่น ๆ  ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 63 ถึง 25 มกราคม 64 มีมูลค่าการค้ารวม 8.9 พันล้านดอลลาร์ ส่งออกน้อยกว่าปีที่แล้ว 1.1 พันล้านดอลลาร์และการนำเข้าลดลง 1.4 พันล้านดอลลาร์และมูลค่าการค้าทั้งหมดลดลง 2.5 พันล้านดอลลาร์เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ 62-63 ขณะที่การส่งออกสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นแม้จะได้รับผลกระทบจากปัญหาด้านโลจิสติกส์และการขนส่ง โดยมีปริมาณการส่งออกมากกว่าปีที่แล้วถึง 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าสำคัญได้แก่ ผัก ข้าว และปลายข้าวเพิ่มขึ้นและสินค้าเกษตรอื่น ๆ เช่น แตงโม พริก ถั่วลิสง และเมล็ดข้าวโพดก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ทั้งนี้กระทรวงพาณิชย์คาดภาพรวมการค้าปีงบปรพมาณ 63-64 จะแตะ 34,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐจะแบ่งเป็นการส่งออก 16.2 พันล้านดอลลาร์ ส่วนการนำเข้า 18.5 พันล้านดอลลาร์ส่งผลให้ขาดดุลการค้า 2.3 พันล้านดอลลาร์

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/myanmar-sees-reduced-trade-first-quarter-2020-21.html

นักลงทุนคาด เศรษฐกิจเมียนมาจะฟื้นตัวเร็วในอีก 3 ปีข้างหน้า

นักลงทุนคาดธุรกิจจะกลับสู่ภาวะปกติในไตรมาสที่สามของปีนี้ โดยภาคที่ได้รับความนิยมคือเทคโนโลยีสื่อและโทรคมนาคม (TMT) ซึ่งจะเป็นการลงทุนหรือการควบรวมกิจการและการเข้าซื้อกิจการมากที่สุดในอีกสองปีข้างหน้าจากการสำรวจโดย Ascent Capital Partners เมื่อเร็ว ๆ นี้ ในความเป็นจริงเศรษฐกิจคาดจะฟื้นตัวสูงถึง 7% ในปีนี้ตามที่กระทรวงการลงทุนและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจต่างประเทศของสหภาพแรงงานกล่าวในระหว่างการประชุมออนไลน์ที่ผ่านมา ซึ่งการฟื้นตัวจะได้รับแรงผลักดันจากแผนฟื้นฟูและปฏิรูปเศรษฐกิจเมียนมา (MERP) โดยให้ความสำคัญของภาคธุรกิจต่างๆ เช่น การผลิตและบริการในปีหน้าและมาตรการอย่างการปฏิรูประบบราชการและ Digital Transformation ที่จะเกิดขึ้น แต่เศรษฐกิจและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจยังได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการระบาดของโควิด -19 และยังไม่มีความชัดเจนว่าจะเกิดการฟื้นตัวเต็มที่เมื่อใด ซึ่ง Ascent Capital เป็นบริษัทที่จดทะเบียนกับ Monetary Authority of Singapore ถือว่าเป็นกองทุนที่เน้นการลงทุนในเมียนมาที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยจัดลำดับความสำคัญไปทืภาคผู้บริโภค การศึกษา สุขภาพ บริการทางการเงิน โลจิสติกส์ ด้วยภาระผูกพันด้านเงินทุน 88 ล้านดอลลาร์สหรัฐซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Temasek Holdings ของสิงคโปร์ ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย และผู้ประกอบการเครื่องดื่มภายในท้องถิ่น

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/investors-expect-growth-accelerate-myanmar-over-next-three-years.html

สปป.ลาวประสบปัญหานักท่องเที่ยวตกต่ำเนื่องจากโควิด-19 รุนแรงมากขึ้น

จำนวนนักท่องเที่ยวในประเทศและต่างประเทศที่มาเยือนแต่ละแขวงของสปป.ลาวลดลงอย่างมากในปีที่แล้วเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 62 เนื่องจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโควิด -19 แขวงจำปาสักลดลงประมาณ 90 % เมื่อเทียบกับปี 62 ในจำนวนนี้เป็นชาวต่างชาติ 142,435 คนลดลง 68 % เมื่อเทียบกับปี 62 อย่างไรก็ตามทางแขวงมีความหวังว่าการท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นในปีนี้และตั้งเป้าหมายไว้ที่ 283,000 คนในปี 64 ด้านเมืองวังเวียง แขวงเวียงจันทน์ นักท่องเที่ยวคนลดลงประมาณ 35 % โดยคาดว่าในปีนี้จะมีผู้คนมาเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวริมแม่น้ำมากขึ้นและตั้งเป้าจะมีนักท่องเที่ยวชาวสปป.ลาวอย่างน้อย 300,000 คน หากการระบาดลดลงจะมีนักท่องเที่ยวชาวสปป.ลาวและชาวต่างชาติไม่ต่ำกว่า 500,000 คน  แขวงอุดมไซเป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่ได้รับผลกระทบอย่างมาก มีนักท่องเที่ยวชาวสปป.ลาวและชาวต่างชาติเพียง 100,000 คนเท่านั้น ซึ่งลดลงประมาณ 40% เมื่อเทียบกับปี 62 ทำให้แขวงกำลังเร่งปรับปรุงที่พัก จัดกิจกรรมใหม่ ๆ และปรับปรุงคุณภาพการบริการเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มากขึ้นในปีนี้

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Province18.php