กรุงฮานอยอนุมัติจัดตั้งกลุ่มอุตสาหกรรม 2 แห่ง

คณะกรรมการประชาชนฮานอยได้อนุมัติจัดตั้งกลุ่มอุตสาหกรรมด่งลา (IC) และเฟสสองของกลุ่มอุตสาหกรรม Duong Lieu ในเขตชานเมืองฮอย ตี๊ค ซึ่งทางคณะกรรมการฯได้สั่งให้ทางคณะกรรมการประจำเขตฮอย ตี๊ค (Hoai Duc) พิจารณานักลงทุนที่มีความพร้อมทางการเงิน เพื่อพัฒนาโครสร้างพื้นฐานของ 2 กลุ่มอุตสาหกรรม ในขณะเดียวกัน กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้ามีหน้าที่ในการประเมินเอกสารที่เกี่ยวกับการพัฒนาจัดตั้งกลุ่มอุตสาหกรรมและส่งมอบให้กับทางคณะกรรมการประจำจังหวัดต่อไป ทั้งนี้ หน่วยงานท้องถิ่นได้ใช้ความพยายามอย่างมากในการดึงดูดผู้ประกอบการทั้งต่างชาติและในประเทศที่จะเข้าสู่ระบบควบคุมเชิงอุตสาหกรรมในช่วงหลายปี โดยในปัจจุบัน กรุงฮานอยมีกลุ่มอุตสาหกรรมปฏิบัติการจำนวน 70 แห่ง ด้วยพื้นที่มากกว่า 1,600 เฮกตาร์ และจำนวนธุรกิจรวม 3,864 ราย ซึ่งสามารถสร้างงานในท้องถิ่น 60,000 คน

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/hanoi-approves-establishment-of-two-industrial-clusters/170477.vnp

เอกอัครราชทูตเผยสหรัฐฯไม่มีแผนที่จะระงับการนำเข้าเครื่องนุ่งห่มจากเวียดนาม

เอกอัครราชทูตเวียดนามประจำประเทศสหรัฐอเมริกาเผยว่าสหรัฐฯ ไม่มีแผนที่จะระงับการนำเข้าสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มจากเวียดนาม โดยทางสถานทูตได้แจ้งข้อมูลรายละเอียดแก่หน่วยงานสหรัฐฯ และชี้ให้เห็นถึงความเป็นหุ้นส่วนระหว่างสหรัฐอเมริกาและเวียดนาม ด้วยมูลค่าการค้าทั้งสองประเทศอยู่ที่ 77.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2562 ส่งผลให้เวียดนามเป็น 1 ใน 15 คู่ค้ารายใหญ่ที่สุด ทั้งนี้ ในช่วง 2 เดทอนแรกของปีนี้ เวียดนามส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.7 คิดเป็นมูลค่า 10.26 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งตรงกันข้ามกับการส่งออกไปยังตลาดอื่น ๆ ที่มีมูลค่าลดลง ขณะที่ ในปีที่แล้ว เวียดนามส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มไปยังสหรัฐฯ มีมูลค่าราว 15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 45 ของรายรับรวมอุตสาหกรรมสิ่งทอทั้งประเทศ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์โควิด-19 ในสหรัฐฯ อาจใช้เวลายาวนานกว่าที่คาดไว้ ด้วยเหตุนี้ ทางเอกอัครราชทูตแนะนำให้ธุรกิจในประเทศปฏิบัติตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีเวียดนามอย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้ละเมิดข้อกฎหมายทั้งสองประเทศ ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/us-has-no-plan-to-suspend-import-of-vietnamese-garmenttextiles-ambassador/170467.vnp

Covid-19 ไม่มีผลกระทบต่อตลาดส่งออกถั่วเขียวของเมียนมา

ผลกระทบจาก Covid-19 ในตลาดส่งออกถั่วเขียวยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เมียนมายังคงส่งออกถั่วไปยังบางประเทศในยุโรป ยังคงมีการส่งออกถั่วดำไปตลาดอินเดีย ถั่วเขียวไปยังตลาดจีนและบางประเทศในยุโรป กระทรวงพาณิชย์รายงานว่า ปัจจุบันสภาพดังกล่าวเป็นประโยชน์สำหรับทั้งเกษตรกรและพ่อค้า ตั้งแต่วิกฤติปี 2560 เมียนมามีตลาดใหม่ในสหภาพยุโรปญี่ปุ่นและจีน คาดว่าจะไม่มีปัญหาการส่งออกถั่วในอีกหนึ่งหรือสองปีข้างหน้า เนื่องจากตลาดในประเทศจีนและสหภาพยุโรปมีอัตราการเติบโตอย่างมากในช่วงปลายปี 2561 ราคาของถั่วเขียวคุณภาพต่ำมีราคามากกว่า 1.1 ล้านจัตต่อตัน ราคาของถัวเขียวคุณภาพส่งออกอยู่ที่ประมาณ 1.4 ล้านจัตต่อตัน

ที่มา: https://elevenmyanmar.com/news/no-significant-impacts-on-green-gram-export-market

Lockdown ทั่วโลก ทุบรายได้ท่องเที่ยวไทยวูบ 1 ล้าน ล.

ปัจจุบันไวรัสโควิดได้แพร่ระบาดไปอยู่ในทุกประเทศทั่วโลกอย่างรวดเร็ว หลายประเทศประกาศ Lockdown ปิดการเดินทางเข้า-ออกประเทศเป็นการชั่วคราว เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวทั่วโลกอย่างหนัก สำหรับประเทศไทยนั้น พบว่า ในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา (ไวรัสโควิดส่งผลกระทบช่วงปลายเดือนมกราคม) ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 3.81 ล้านคน จากจำนวน 3.72 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้น 2.46% โดยนักท่องเที่ยวจีนยังเป็นกลุ่มที่มีจำนวนสูงสุดอันดับ 1 จำนวน 1.03 ล้านคนลดลง 3.71% รองลงมาคือ มาเลเซีย 3.2 แสนคน ขยายตัวเพิ่มขึ้น 20.31%, รัสเซีย 2.5 แสนคน ขยายตัวเพิ่มขึ้น 11.24% เดือนกุมภาพันธ์มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2.04 ล้านคน จากจำนวน 3.6 ล้านคน หรือลดลง 43.50% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยตลาดจีนซึ่งครองอันดับสูงสุดอันดับ 1 มาตลอดตกลงไปอยู่อันดับ 3 ด้วยจำนวน 1.5 แสนคนลดลง 85.34% ส่วนตลาดที่ขึ้นเป็นอันดับ 1 คือรัสเซีย 2.1 แสนคนเพิ่มขึ้น 12.47% อันดับ 2 คือมาเลเซีย 1.9 แสนคน ลดลง 39.63% จากแนวโน้มดังกล่าวนี้ ถ้าหากการแพร่ระบาดของไวรัสสิ้นสุดในเดือนกรกฎาคมจะส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวตลอดทั้งปีนี้อยู่ที่ 27 ล้านคน หรือหายไปราว 12-13 ล้านคน แต่หากสิ้นสุดกันยายนคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาเที่ยวเมืองไทยในปีนี้น่าจะอยู่ที่ราว 20 ล้านคนหรือหายไปเกือบ 20 ล้านคน และถ้าหากสถานการณ์การแพร่ระบาดลากยาวไปจนถึงสิ้นปี อาจจะลดลงเหลือเพียงแค่ประมาณ 10 ล้านคน หรือหายไปราว 30 ล้านคน ทั้งนี้กระทรวงจะเร่งส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศก่อนทันทีผ่านการผลักดันให้หน่วยงานของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และบริษัทห้างร้านต่าง ๆ ออกสัมมนาข้ามจังหวัด และข้ามภาคต่อไป รายได้ ตปท.วูบ 5-7 แสนล้าน จากการประเมินสถานการณ์ในปัจจุบัน คาดการณ์ว่าในกรณีที่การแพร่ระบาดยุติในเดือนกรกฎาคม ประเทศไทยจะมีนักท่องเที่ยวอินบาวนด์ (ขาเข้า) ลดลงประมาณ 30-40% หรือลดลงประมาณ 11.7-15.7 ล้านคน เหลือเพียง 24-28 ล้านคน จากจำนวน 39.8 ล้านคนในปี 2562 และส่งผลกระทบต่อรายได้ทางด้านการท่องเที่ยวลดลงไปราว 5.44-7.40 แสนล้านบาท หรือเหลือมูลค่ารวมประมาณ 1.19-1.39 ล้านล้านบาทในปีนี้ จากมูลค่า 1.93 ล้านล้านบาทในปีที่ผ่านมาสูญรายได้รวม 1 ล้านล้าน ในขณะที่ตลาดในประเทศนั้น คาดว่าคนไทยจะมีการเดินทางท่องเที่ยวปีนี้ที่ราว 166.84 ล้านคน-ครั้ง โดยคาดว่ารายได้จากการเดินทางภายในประเทศจะลดลง 20-25% หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 2-2.5 แสนล้านบาท หรือเหลือรายได้จากนักท่องเที่ยวภายในประเทศมูลค่าราว 1.08 ล้านล้านบาท ไม่เพียงเท่านี้ ผู้ประกอบการจะได้รับผลกระทบจนอาจมีการปิดตัวอย่างน้อย 5,000-10,000 ราย จากจำนวนผู้ประกอบการทั้งหมดในปัจจุบันราว 50,000 ราย และส่งผลกระทบต่อการจ้างงานจากตำแหน่งงานในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวราว 4 ล้านตำแหน่งงาน ทั้งนี้คาดว่าจะมีผู้ถูกเลิกจ้างงานไม่ต่ำกว่า 25-30% หรือคิดเป็นจำนวน 1-1.2 ล้านตำแหน่งงาน และมีผู้ถูกลดรายได้จากการถูกลดเงินเดือน การพักงานและการลางานโดยไม่รับเงินเดือนรวมกว่า 3 ล้านตำแหน่ง ขณะนี้เอกชนท่องเที่ยวยินดีสนับสนุนรัฐบาล โดย สทท.พร้อมทั้งสมาคมท่องเที่ยว 13 สมาคมมีความเห็นตรงกันว่าพร้อมให้ความร่วมมือในการควบคุมการแพร่ระบาดในระดับสูงสุด โดยพร้อมที่จะลดหรืองดกิจกรรมทางการท่องเที่ยวเป็นเวลา 15-30 วัน และดำเนินมาตรการทางด้านความปลอดภัยสูงสุดตามที่รัฐบาลกำหนด ขณะเดียวกัน ก็อยากให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนของการเยียวยาผู้ประกอบการท่องเที่ยวให้มีความชัดเจนภายในสิ้นเดือนนี้ เนื่องจากกว่า 2 เดือนที่ผ่านมายังไม่มีผู้ประกอบการรายใดเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้เลยแม้แต่รายเดียว

ที่มา: https://www.prachachat.net/tourism/news-435507

FTA ดันอาหารสัตว์เลี้ยงขึ้นแท่นเบอร์ 4 ของโลก

พาณิชย์ เผยเอฟทีเอดันไทยขึ้นแท่นผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงอันดับ 4 ของโลก พร้อมหนุนผู้ประกอบการพัฒนาอาหารสุขภาพ-ปลอดสารพิษ -อาหารแคลอรี่ต่ำ อาหารมีส่วนผสมของเนื้อสัตว์ รับเทรนด์โลก โดยอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า สินค้าอาหารสัตว์เลี้ยง เป็นหนึ่งในธุรกิจดาวรุ่งที่น่าจับตามอง และมีมูลค่าส่งออกเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบัน ไทยเป็นผู้ส่งออกสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงอันดับที่ 4 ของโลก รองจาก สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และจีน โดยในปี 62 ไทยส่งออกสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงเป็นมูลค่าสูงถึง 1,693 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวเพิ่มขึ้น  4% เมื่อเทียบกับปี 61 เป็นการส่งออกสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงไป 18 ประเทศคู่เอฟทีเอมูลค่า 954 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนกว่า 56% ของการส่งออกสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยไปทั่วโลก เป็นอาหารสำหรับสุนัขและแมว สัดส่วน 82% และอาหารสัตว์เลี้ยงอื่นๆ สัดส่วน 18% มีประเทศคู่ค้าสำคัญ เช่น อาเซียน สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป สำหรับเอฟทีเอนับเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตของสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงของไทย เพราะช่วยขจัดอุปสรรคด้านภาษีศุลกากรในประเทศคู่ค้าทำให้ได้แต้มต่อในการแข่งขัน โดยปัจจุบันสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยทุกรายการไม่ถูกเก็บภาษีนำเข้าใน 15 ประเทศที่ ไทยมีเอฟทีเอด้วย ได้แก่ ประเทศสมาชิกอาเซียน จีน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี เปรูและฮ่องกง มีเพียง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอินเดีย ที่ยังคงการเก็บภาษีนำเข้ากับไทยในบางรายการ

ที่มา : https://www.dailynews.co.th/economic/763801

“เวียดนามแอร์ไลน์” ระงับเที่ยวบินระหว่างเวียดนาม รัสเซียและไต้หวัน

สายการบินเวียดนาม แอร์ไลน์ (Vietnam Airlines : VN) ได้หยุดการให้บริการเที่ยวบินระหว่างเวียดนาม รัสเซียและไต้หวัน ตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม เนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และนโยบายคุมเข้มจำกัดผู้ที่เดินทางจากประเทศต่างๆ โดยทางสายการบินเวียดนามนาม ระบุว่าได้ยกเลิกเที่ยวบินล่าสุด คือ เที่ยวบิน VN63 ที่เดินทางมาจากกรุงฮานอยไปยังมอสโก ซึ่งเที่ยวบินดังกล่าวจะหยุดบินชั่วคราวจนกว่าจะมีการแจ้งจากเจ้าหน้าที่ เพื่อช่วยเหลือผู้โดยสารที่ได้รับผลกระทบ ขณะที่ ตัวแทนของสายการบินข้างต้น กล่าวว่าผู้ให้บริการจะยกเว้นเงื่อนไขและค่าธรรมเนียมจากการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดในการเดินทางหรือการเปลี่ยนวันเดินทางของผู้โดยสารทุกคนที่เดินทางระหว่างเวียดนาม รัสเซียและไต้หวัน ทั้งนี้ สายการบินจะแจ้งผู้โดยสารเกี่ยวกับแผนที่จะให้บริการเส้นทางเหล่านี้อีกครั้ง สำหรับเส้นทางการบินอื่นๆ ทางสายการบินยังคงติดตามสถานการณ์และอัพเดทข้อมูลล่าสุดแก่ผู้โดยสารในเวียดนาม รวมถึงประชาชนชาวเวียดนามในต่างประเทศ

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/653820/vietnam-airlines-suspends-flights-between-viet-nam-and-russia-taiwan.html

ดัชนีชี้วัดเสรีภาพทางเศรษฐกิจ เผยเวียดนามกระโดด 23 อันดับ

ดัชนีชี้วัดเสรีภาพทางเศรษฐกิจ (Economic Freedom Index) เวียดนามขยับอันดับขึ้น 23 อันดับ จากในปีที่แล้ว ด้วยคะแนน 58.8 คะแนนและติดอันดับมาอยู่ที่ 105 ในปีนี้ ซึ่งมูลนิธิ Heritage Foundation ได้รายงานดัชนีชี้วัดเสรีภาพทางเศรษฐกิจประจำปี 2563 ระบุว่าคะแนนรวมของประเทศขยับเพิ่มขึ้น 3.5 คะแนน เนื่องจากการจัดการทางการคลังสุขภาพ และติดอันดับที่ 21 จาก 42 จากกลุ่มประเทศแถบเอเชียแปซิฟิก ซึ่งคะแนนรวมอยู่ในระดับต่ำกว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับคะแนนค่าเฉลี่ยของภูมิภาคและทั่วโลก ทั้งนี้ การเติบโตที่แข็งแกร่งของ GDP เวียดนามในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา สะท้อนจากการขับเคลื่อนของภาคอุตสาหกรรมและแปรรูป ขณะที่ หัวข้อเสรีภาพทางเศรษฐกิจมีการส่งเสริมให้ดีขึ้นในเวียดนาม หากรัฐบาลสามารถสนับสนุนเปิดเสรีทางเศรษฐกิจได้ ด้วยการส่งเสริมการค้าต่างประเทศและปรับโครงสร้างรัฐวิสาหกิจ สำหรับการใช้จ่ายของภาครัฐฯนั้น คิดเป็นร้อยละ 28.3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และขาดดุลงบประมาณเฉลี่ยร้อยละ 4.7 ของ GDP รวมถึงหนี้สาธารณะร้อยละ 57.5 ของ GDP นอกจากนี้ มูลค่าการส่งออกและนำเข้าสินค้าและบริการรวม คิดเป็นร้อยละ 187.5 ของ GDP โดยภาคการเงินของประเทศยังคงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและปล่อยสินเชื่อโดยตรงจากธนาคารพาณิชย์ของรัฐที่ได้ปรับลดปริมาณสินเชื่อลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/vietnam-jumps-23-places-in-economic-freedom-index-411516.vov

อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเมียนมาวอนรัฐบาลช่วยเหลือด้านการเงิน

สมาคมผู้ประกอบการท่องเที่ยวเมียนมาระบุว่ากำลังหาเงินกู้จากรัฐบาลเพื่อช่วยเหลือผลกระทบจากการระบาดของโรคโคโรนาไวรัสในภาคการท่องเที่ยว สมาคมผู้ประกอบการท่องเที่ยวเมียนมาคาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะลดลงเป็นอย่างมากและอาจนานจากหกเดือนถึงหนึ่งปี มีบริษัทถึง 1100 แห่งที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวในท้องถิ่น และเงินกู้ดังกล่าวจะถูกใช้เพื่อช่วยให้บริษัทนำไปจ่ายเงินเดือนในช่วงชะลอตัว ขณะที่ coronavirus แพร่กระจายไปยัง 150 ประเทศทำให้เกิดข้อจำกัดในการเดินทาง บริษัทท่องเที่ยวในจึงต้องลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อไป นางอองซานซูจีที่ปรึกษาของรัฐกล่าวว่าการลดภาษีและการลดอัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อและการยกเว้นภาษีจะถูกเตรียมไว้สำหรับธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการระบาด เช่น ผู้ผลิตเสื้อผ้า โรงแรม บริษัทท่องเที่ยว และธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/tourism-industry-body-seek-financial-help-govt.html

เมียนมาปิดชายแดนเมียวดี – ไทย

รัฐบาลเมียนมาประกาศปิดประตูเมียวดีของรัฐกะเหรี่ยงในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นหนึ่งในประตูชายแดนที่คึกคักที่สุดทั้งไปและกลับจากประเทศไทยเพื่อพยายามป้องกัน COVID-19 โดยได้รับคำแนะนำจากกองกำลังพิทักษ์ชายแดนเมียนมา (BGF) วึ่งจะถูกปิดตั้งแต่วันนี้ส่วนการเปิดจะแจ้งให้ทราบต่อไป ประเทศไทยมีเส้นทางชายแดนผิดกฎหมายประมาณ 30 เส้นทาง แม้จะมีการประกาศปิดประตู แต่ก็ยังมีการข้ามไปและกลับจากประเทศไทยไปจนถึงวันพุธซึ่งสถานการณ์น่าเป็นห่วงเป็นอย่างยิ่ง เมียนมายังไม่ได้ยืนยันว่ามีผู้ติดไวรัส COVID-19 ประธานสมาคมผู้ค้าชายแดนเมียวดีกล่าวว่าเจ้าหน้าที่กำลังเฝ้าดูเส้นทางผิดกฎหมายที่มีความพยายามที่จะลักลอบเข้าประเทศ กระทรวงและหน่วยงานกำลังหารือกันเรื่องการปิดพรมแดนอื่น ๆ ทั่วประเทศท่ามกลางการแพร่กระจายไปยัง 158 ประเทศ นอกจากประเทศไทยแล้วเมียนมายังมีพรมแดนติดกับบังคลาเทศ อินเดีย จีน และลาวอีกด้วย

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/myanmar-closes-myawady-thai-border-gates.html

19/3/63

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/myanmar-closes-myawady-thai-border-gates.html

กระทรวงสาธารณสุขสปป.ลาว นำเข้าหน้ากากอนามัยจากเวียดนาม

กระทรวงสาธารณสุขมีแผนที่จะนำเข้าหน้ากากอนามัยจากประเทศเพื่อนบ้านรวมถึงเวียดนาม ไทยและจีน เพื่อเอาชนะปัญหาการขาดแคลนสินค้า โดยหน้ากากอนามัย 2 ล้านแรกจะถูกนำเข้าไปยังสปป.ลาวในไม่ช้าซึ่ง 1.5 ล้านจะเป็นคนที่ทำงานด้านสุขภาพ งานที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อจากผู้ป่วย จากนั้นจะมีการมอบหน้ากากอนามัยให้กับผู้ป่วยในโรงพยาบาลเพื่อควบคุมการแพร่กระจายของโรคไปสู่ผู้อื่น อีก 500,000 จะถูกขายให้กับประชาชนทั่วไป ข้อตกลงการนำเข้าสรุปได้จากการร้องขอจากรัฐบาลสปป.ลาวไปยังเวียดนาม ซึ่งได้ระงับการส่งออกหน้ากากอนามัยชั่วคราวเนื่องจากเป็นที่ต้องการภายในประเทศสูง เวียดนามตกลงที่จะส่งออกหน้ากากไปยังสปป.ลาว เนื่องจากความสัมพันธ์พิเศษระหว่างทั้งสองประเทศ ภายในไม่กี่สัปดาห์บริษัทจากประเทศเพื่อนบ้านจะตั้งโรงงานสปป.ลาวเพื่อผลิตหน้ากากอนามัย เมื่อสร้างเสร็จแล้วจะผลิตหน้ากากได้สูงสุด 500,000 เครื่องต่อเดือน ซึ่งแม้ว่าหน้ากากอนามัยที่นำเข้าจะไม่ตอบสนองความต้องการในปัจจุบัน แต่ความต้องการเพิ่มขึ้นถึงสิบเท่า เนื่องจากความกังวลที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อ COVID-19 แม้ว่าจะไม่มีรายงานในสปป.ลาวก็ตาม โดยกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าออกประกาศระบุราคาหน้ากากอนามัย ไม่เกิน 25,000 กีบต่อ 1 กล่องซึ่งมี 50 ชิ้นหรือ 1,000 กีบต่อชิ้นสำหรับการขายปลีก

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Health_57.php