กระทรวงพลังงานเรียกร้องให้ลดการใช้พลังงานในช่วงฤดูร้อน

กระทรวงพลังงานและการเหมืองแร่แจ้งภาคธุรกิจและประชาชนสปป.ลาว ถึงการบริหารจัดการทรัพยากรพลังงานไฟฟ้าช่วงที่มีการใช้ไฟฟ้ามากๆ ในช่วงเดือนมีนาคมถึงมิถุนายนโดยจะมีการกำหนดการใช้ไฟฟ้าเป็นช่วงเวลาโดยจะให้ใช้ไฟฟ้าได้ในช่วง 1.00-11.00 น. และมีการรณรงค์ในการใช้ไฟฟ้าเท่าที่จำเป็น สาเหตุที่มาของการกำหนดมาตราการต่างๆนั้น มาจากการคาดการณ์ของกระทรวงถึงการผลิตกระแสไฟฟ้าที่จะไม่เพียงพอสำหรับทุกพื้นที่ในช่วงฤดูร้อน โดยเฉพาะโรงงานในเมืองหลวง เพื่อให้แน่ใจว่าสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับครัวเรือนและธุรกิจได้มากเท่าที่จะเป็นไปได้จึงมีมาตราการดังกล่าวออกมา ซึ่งในอดีตสปป.ลาวไม่เคยเผชิญกับเหตุดังกล่าวแต่ในปัจจุบันมีการเข้ามาลงทุนเปิดโรงงานจำนวนมากในสปป.ลาวทำให้มีความต้องการใช่ไฟฟ้ามากขึ้นรวมถึงห้างร้านใหญ่ๆ ศูนย์การค้าที่มาเปิดในสปป.ลาวเพิ่มขึ้นทำให้โรงงานไฟฟ้าผลิตกระแสไฟฟ้าไม่เพียงพอต่อความต้องการในประเทศ อย่างไรก็ตามสปป.ลาวได้มีการเตรียมรับมือไว้อย่างดีรวมถึงการแก้ปัญหาระยะยาวโดยการสร้างโรงงานไฟฟ้าเพิ่มโดยจะมีโรงงานไฟฟ้าเพิ่มถึง 12 แห่งในปีนี้และคาดว่าจะสามารถพอต่อความต้องการในประเทศอย่างแน่นอน

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Ministry_calls_33.php

กลุ่มเครื่องนุ่งห่มเวียดนาม เตรียมผลิตหน้ากากในเดือน ก.พ. อยู่ที่ 6 ล้านชิ้น กัน ‘โคโรน่า’

กลุ่มสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มเวียดนาม (Vinatex) เปิดเผยว่าในเดือน ก.พ. ได้เร่งการผลิตหน้ากากอนามัย 6 ล้านชิ้น เพื่อตอบสนองความต้องการในช่วงที่มีสถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธ์ใหม่  (COVID-19) ซึ่งมีกำลังการผลิต 10 ตันต่อวันที่ใช้ในทางการแพทย์ เนื่องจากไม่สามารถคาดการณ์ของสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสได้และทางสมาชิกสิ่งทอยังคงมุ่งเน้นในการผลิตหน้ากาก โดยในเดือน มี.ค. บริษัททำการผลิตอยู่ที่ 12 ล้านชิ้น ทั้งนี้ องค์กรอนามันโลก (WHO) ประกาศให้การระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธ์ใหม่ในขณะนี้เป็น “ความฉุกเฉินด้านสาธารณะสุขระหว่างประเทศ” เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสและขอให้ประชาชนควรสวมหน้ากากป้องกันเชื้อโรคและล้างมือบ่อยๆ นอกจากนี้ เวียดนามตรวจพบผู้ติดเชื้อ 16 ราย รวมถึงผู้ติดเชื้อ 11 รายที่อยู่ในจังหวัดหวิญฟุก

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/garment-group-to-provide-6-million-face-masks-in-february-amid-covid-19/168710.vnp

เวียดนามตั้งเป้า จ.ก่าเมา จะบรรลุตามเป้าหมายการส่งออก

จังหวัดก่าเมาอยู่ในทางตอนใต้ของเวียดนาม ได้หาแนวทางที่จะส่งเสริมผู้ประกอบการท้องถิ่นและผลักดันการส่งออกให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้อยู่ที่ 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ ท่ามกลางไวรัสโคโรน่า (COVID-19) โดยคณะกรรมการประชาชนประจำจังหวัดได้มุ่งเน้นในการปรับปรุงสภาพแวดล้อมสำหรับการประกอบธุรกิจและการลงทุน รวมถึงผลักดันโครงการเพิ่มประสิทธิภาพอุตสาหกรรมกุ้งในปี 2568 ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ติดตามหรือเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้มีมีความทันสมัย ดังนั้น ธุรกิจท้องถิ่นจึงต้องเตรียมการวางแผนการผลิตและแปรรูป ขณะที่ จากข้อมูลของกรมอุตสาหกรรมและการค้า ระบุว่าข้อตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรป (EVFTA) จะช่วยให้เวียดนามส่งออกกุ้งไปยังตลาดยุโรปเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ธุรกิจท้องถิ่นในจังหวัดก่าเมาได้สร้างรายได้ในเดือน ม.ค. 63 ประมาณ 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งตลาดส่งออกรายใหญ่ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ แคนาดา ออสเตรเลีย จีนและสหภาพยุโรปในทางตอนใต้ของเวียดนามังคงมุ่งเน้นในการผลิตหน้ากาก้องกันเชื้อ

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/592306/ca-mau-looks-for-measures-to-achieve-export-turnover-target.html

MAI เช่า Embraer E190s สองลำ เพื่อขยายเที่ยวบิน

Myanmar Airways International (MAI) วางแผนเช่าเครื่องบิน Embraer E190 สองลำเพื่อขยายเที่ยวบินภายในประเทศและต่างประเทศพร้อมลงนามในข้อตกลงกับ CDB Aviation ภายใต้ China Development Bank Financial Leasing เพื่อเช่าเครื่องบินของสิงคโปร์ MAI วางแผนที่จะบินเครื่องบิน สองลำในต้นเดือนสิงหาคม 63 ตอนนี้ MAI มีเครื่องบิน A319 ห้าลำและเครื่องบิน A320 หนึ่งลำและวางแผนเพิ่มเครื่องบินเพื่อให้บริการเที่ยวบินต่างประเทศมากขึ้น โดยให้บริการจากย่างกุ้งถึง กรุงเทพฯ สิงคโปร์ กวางโจว และกัลกัตตาโดยใช้เครื่องบินแอร์บัสจำนวนหกลำ MAI ตั้งอยู่ที่สนามบินนานาชาติย่างกุ้ง และสนามบินนานาชาติมัณฑะเลย์ ตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม MAI ได้ยกเลิกเที่ยวบินเช่าเหมาลำทั้งหมดไปยังจีนเพื่อควบคุมไวรัส COVID-19 ที่ระบาดจากหวู่ฮั่นประเทศจีนและทำตามมาตรฐานการบิน

ที่มา: https://elevenmyanmar.com/news/mai-rents-two-embraer-e190s-to-expand-flights

เมียนมาอนุมัติ 12 บริษัท เพื่อการลงทุนในประเทศ

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา คณะกรรมการการลงทุนแห่งเมียนมา (MIC) ได้อนุมัติการลงทุนจากบริษัท 12 แห่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยการลงทุนครั้งนี้สามารถสร้างงานให้กับชาวเมียนมามากกว่า 6,600 คน ด้วยเงินลงทุน 501.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐและ 73.4 พันล้านจัต (48.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) บริษัทที่ได้รับอนุญาตในการผลิต ภาคบริการอื่น ๆ และภาคโรงแรมตามลำดับ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 62 สิงคโปร์ จีน และไทยเป็นผู้ลงทุนอันดับต้นๆ  ในขณะเดียวกันภาคน้ำมันและก๊าซพลังงาน และการผลิตเป็นหนึ่งในสามในรายการที่มีการลงทุนจากต่างประเทศมากที่สุด ตั้งแต่ปีงบประมาณ 31-32 ถึงวันที่ 31 ธันวาคมของปีงบประมาณ 62-63 การลงทุนจากต่างประเทศมีโครงการที่ได้รับอนุญาต 1,909 โครงการมูลค่าการลงทุนสูงถึง 83 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ที่มา: http://www.xinhuanet.com/english/2020-02/15/c_138786428.htm

จ่อชง ครม. ‘ฟรีวีซ่า’ นักท่องเที่ยว ‘จีน-อินเดีย’ กระตุ้นท่องเที่ยวช่วงสงกรานต์

รองโฆษกฯ รัฐบาล เผย จ่อชงคณะรัฐมนตรีไฟเขียว “ฟรีวีซ่า” นักท่องเที่ยวจีนและอินเดีย หวังกระตุ้นท่องเที่ยวช่วงสงกรานต์ เชื่อศก.ฟื้นไตรมาส 2 หลัง “งบฯ 63” ประกาศใช้ ชี้เบิกจ่ายจะมีประสิทธิภาพ เดินหน้าโครงการได้เต็มที่ รองโฆษกฯ ยืนยันว่า รัฐบาลจะใช้จ่ายงบประมาณอย่างคุ้มค่า รอบคอบ รัฐบาลเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นเมื่องบประมาณปี 63 ประกาศใช้ การเบิกจ่ายงบประมาณจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น รัฐบาลจะดำเนินโครงการต่างๆได้อย่างเต็มที่ สามารถลงนามในสัญญาต่าง ๆ ได้ จึงเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวขึ้นในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้อย่างแน่นอน ด้านการท่องเที่ยว รมว.ท่องเที่ยวและกีฬาได้เตรียมแผนรับมือสถานการณ์นักท่องเที่ยวชาวจีนที่ลดลงเนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสแล้ว ทั้งนี้ขอให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวช่วยกันเชิญชวนนักท่องเที่ยวชาวจีนให้กลับมาเที่ยว ขณะที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จะมีการนำมาตรการยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทาง (ฟรีวีซ่า) สำหรับนักท่องเที่ยวจีนและอินเดีย ซึ่งเป็น 2 ตลาดใหญ่ เสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอีกครั้ง พร้อมกับประสานกระทรวงคมนาคม เพื่อเปิดบริการเช่าเครื่องบินเหมาลำให้มากที่สุด โดยหวังว่านักท่องเที่ยวชาวจีนจะกลับมาคึกคักอีกในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้

ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/866496?utm_source=category&utm_medium=internal_referral&utm_campaign=economic

รัฐสภายุโรปอนุมัติมติให้สัตยาบันข้อตกลง EVFTA และ EVIPA

จากที่ประชุมสภายุโรป (EP) เมื่อวันที่ 12 ก.พ. ให้สัตยาบันรับรองข้อตกลงเปิดการค้าเสรีระหว่างสหภาพยุโรป-เวียดนาม (EVFTA) และข้อตกลงการคุ้มครองการลงทุนเวียดนาม-สหภาพยุโรป (EVIPA) สำหรับข้อตกลง EVIPA มีมติในการประชุมด้วยเสียงข้างมาก 407 ต่อ 188 เสียง และงดออกเสียง 53 เสียง ขณะที่ ข้อตกลง EVFTA มีมติการประชุมด้วยเสียง 401, 192 และ 40 ตามลำดับ ทั้งนี้ ข้อตกลง EVFTA คาดว่าจะผลักดันการส่งออกของเวียดนามและการกระจายสินค้าไปขายในหลายๆตลาด ซึ่งผลจากข้อตกลงมีผลบังคับใช้ เวียดนามจะลดภาษีทันทีร้อยละ 65 ของสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรป และจะทยอยลดภาษีสินค้าที่เหลือภายในระยะเวลา 10 ปี ในขณะเดียวกัน สหภาพยุโปรจะลดภาษีทันทีร้อยละ 70 ของสินค้าส่งออกจากเวียดนาม และจะทยอยลดภาษีสินค้าที่เหลือภายในระยะเวลา 7 ปี นอกจากนี้ จากการวิจัยของกระทรวงการวางแผนและการลงทุนเวียดนาม (MPI) ระบุว่าข้กตกลงทั้งสองฝ่ายจะช่วยให้อัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) จะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับร้อยละ 4.6 และแนวโน้มการส่งออกของเวียดนามไปสภาพยุโรปจะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับร้อยละ 42.7 ในปี 2568 ในขณะเดียวกัน คณะกรรมาธิการยุโรปคาดว่ามูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับ 29.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และแนวโน้มการส่งออกของสหภาพยุโรปไปเวียดนามจะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับร้อยละ 29 ในปี 2578

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/ep-ratifies-evfta-evipa-409974.vov

เวียดนามเผยการเติบโตของ GDP อาจไม่ถึงที่ตั้งเป้าหมายไว้

จากรายงานของกระทรวงการวางแผนและการลงทุนเวียดนาม (MPI) เปิดเผยว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจเวียดนามอาจไม่บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ในปีนี้ที่ระดับร้อยละ 6.8 จากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ซึ่งภายในการประชุมในวันพุธที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจ หลังการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ‘COVID-19’ ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงเตรียมมาตรการในการช่วยเหลือภาคธุรกิจทุกส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและประเมินทางเลือกต่างๆ เช่น เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ รวมไปถึงปรับลดอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมต่างๆ ทั้งนี้ ทางกระทรวงฯ คาดว่าในไตรมาสแรกของปีนี้ การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) อยู่ที่ระดับร้อยละ 6.25 นอกจากนี้ จากข้อมูลของมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย ระบุว่าเวียดนามได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจแบบเปิดและทำการค้าตามชายแดนมาอย่างยาวนาน รวมไปถึงค้าขายกับจีนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงและสินค้าเกษตรที่ติดค้างอยู่ตามด่านชายแดนจีน

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/592192/vn-might-not-reach-gdp-growth-target-in-2020-due-to-covid-19-outbreak-ministry.html