MoneyGram และ Wing เปิดตัวบริการกระเป๋าเงินบนมือถือใหม่ในกัมพูชา

Money Gram International, Inc. หนึ่งใน บริษัท โอนเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลกประกาศเป็นพันธมิตรกับ Wing (กัมพูชา) จำกัด Specialized Bank ผู้ให้บริการธนาคารบนมือถือชั้นนำของประเทศกัมพูชาเพื่อเสนอบริการใหม่ที่จะช่วยให้ลูกค้าได้รับเงินโดยตรงในกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ของพวกเขา โดยประธานและซีอีโอของ MoneyGram กล่าวว่า 80% ของการทำธุรกรรมออนไลน์ทำบนอุปกรณ์พกพา ซึ่ง Wing อยู่ในระดับแนวหน้าของการให้บริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยอนุญาตให้ผู้ใช้งานส่งเงินข้ามเขตแดนได้อย่างสะดวกและเชื่อถือได้ผ่านแอพพลิเคชั่น Wing Money ซึ่งลูกค้ายังมีตัวเลือกในการจ่ายเงินโดยใช้ช่องจ่ายเงินสด Xpress WING กว่า 7,000 แห่งในกัมพูชา โดยธนาคารแห่งประเทศกัมพูชาระบุว่าเงินที่ส่งกลับเข้ามาในประเทศจากแรงงานข้ามชาติชาวกัมพูชามีมูลค่ารวม 1.4 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2561 ตัวเลขดังกล่าวคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากเงินที่ส่งกลับบ้านจากชาวกัมพูชาที่ทำงานในต่างประเทศ ซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญ

ที่มา: https://www.khmertimeskh.com/50660686/moneygram-and-wing-to-launch-a-new-mobile-wallet-service-in-cambodia/

การทดสอบความผิดปกติของทองคำในดินในมณฑลคีรีให้ผลลัพธ์ที่เป็นบวก

โปรแกรมที่มีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบความผิดปกติของทองคำในดินที่ใบอนุญาต Koan Nheak ในจังหวัดมณฑลคีรีให้ผลลัพธ์ที่เป็นบวก โดยบริษัทของแคนาดาถือใบอนุญาตในการสำรวจ แต่โปรแกรมการสำรวจและขุดเจาะที่เกิดขึ้นจริงนั้น ดำเนินการโดย Emerald Resources ผ่านทาง Renaissance Minerals ในเครือกัมพูชา ภายใต้ข้อตกลง Earn-In ที่ชัดเจนเป็นครั้งแรกเมื่อสองปีก่อน ซึ่งโปรแกรมการฝึกซ้อมมีจุดประสงค์เพื่อทดสอบความผิดปกติของทองคำในดินและความผิดปกติของโพลาไรเซชันที่เกิดขึ้นทางธรณีฟิสิกส์ในอนาคต โดยโปรแกรมการฝึกซ้อมประกอบด้วย 15 หลุม เจาะลงไปที่ความลึกเฉลี่ย 80 เมตร ซึ่งแบ่งเขตควอทซ์เบคคาเรียกับแร่ซัลไฟด์ โดยแต่ละโซนเหล่านี้ยืนยันการมีอยู่ของแร่ทองคำ ซึ่งใบอนุญาต Koan Nheak เป็นหนึ่งในห้าใบอนุญาตสำรวจแร่ครอบคลุม 983 ตารางกิโลเมตรที่ Angkor Resources Corp ถืออยู่ในประเทศกัมพูชา

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50660695/gold-in-soil-anomaly-test-in-mondulkiri-yields-positive-results/

นายกรัฐมนตรีเล็งเห็นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ในสปป.ลาว

นายกรัฐมนตรีสปป.ลาว แสดงความมั่นใจว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นในปีหน้าเนื่องจากโครงการลงทุนขนาดใหญ่จำนวนหนึ่งจะเริ่มเปิดตัว เช่น รถไฟสปป.ลาว – จีนซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 64 และทางด่วนทางรถไฟและสะพานที่เชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยการเปลี่ยนแปลงของสปป.ลาวจากประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลเป็นเส้นทางเชื่อมโยงภูมิภาคจะนำไปสู่การเพิ่มการลงทุนจากต่างประเทศโดยเฉพาะในภาคธุรกิจการเกษตรและการท่องเที่ยว ตามรายงานของรัฐบาล เศรษฐกิจจะเติบโตเพียง 6.4% ในปี 62 ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขที่รับรองโดยสมัชชา 0.3% เพื่อให้มั่นใจว่าในปี 63 เศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่ง รัฐบาลได้ให้คำมั่นที่จะแก้ไขปัญหาและอุปสรรคในการเติบโตและส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีจะพบกันในวันที่ 18 พ.ย.เพื่อหารือเกี่ยวกับมาตรการบริการการลงทุนแบบครบวงจร ปรับปรุงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและสร้างเงื่อนไขให้กับธุรกิจเพื่อให้บริการด้านการท่องเที่ยวที่หลากหลายและดึงดูดนักท่องเที่ยวระดับสูงให้มากขึ้น จะเร่งปรับปรุงระบบการจัดเก็บรายได้ให้มีความทันสมัย นอกจากนี้รัฐบาลจะรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนและอัดฉีดเงินเข้าสู่ธุรกิจ SMEs เพื่อกระตุ้นการเติบโตและการสร้างงาน

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_PM_sees_251.php

จำปาสักพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวกว่าล้านคนในปีนี้

ในความพยายามที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวมากขึ้นผ่านบริการที่ดีขึ้นและจำนวนผู้เข้าชมในฤดูกาลนี้คาดว่าจะสูงกว่า 1 ล้านคน รองผู้อำนวยการฝ่ายข้อมูลการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมของจังหวัดกล่าวว่าจังหวัดได้ปรับปรุงมาตรฐานของโรงแรม ร้านอาหารและแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม เป้าหมายคือเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซั่นหลังจากที่ตัวเลขลดลงในช่วงน้ำท่วมในช่วงปลายเดือนส.ค.และต้นเดือนก.ย. ซึ่งกำลังทำการโฆษณาแหล่งท่องเที่ยวและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่น โดยทำให้ผู้เข้าชมตระหนักถึงสถานที่ที่สวยงามและกิจกรรมที่น่าสนใจที่นี่ อีกทั้งตลอดทั้งปีแขวงจำปาสักยังเป็นเจ้าภาพจัดงานเทศกาลอาหารสปป.ลาว งานแสดงสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (ODOP) งานแสดงสินค้าผ้าไหมและผ้าฝ้ายสปป.ลาว งานประกวดความงาม การแข่งขันกีฬาและงานแข่งเรือประจำปี ผู้เข้าชมยังสามารถเพลิดเพลินกับผลผลิตออร์แกนิกอีกด้วย

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/feature-champassak-track-welcome-one-million-tourists-year-108408

เวียดนามตั้งเป้ายอดส่งออกข้าว 6.5 ล้านตัน ภายในปี 2562

จากข้อมูลของสมาคมอาหารเวียดนาม (VFA) คาดว่าจะส่งออกได้ 6.5 ล้านตัน ในปี 2562 โดยประเทศจีนเป็นตลาดส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ประกอบกับเวียดนามส่งออกไปยังกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน เฉลี่ยอยู่ที่ 2 ล้านตันต่อปี คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 30 ของยอดส่งออกข้าวรวมทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าเวียดนามจะมีส่วนแบ่งการตลาดสูงและมีขนาดตลาดใหญ่ แต่ในช่วงตั้งแต่ปี 2561 มีแนวโน้มลดต่ำลง เนื่องมาจากกฎระเบียบทางด้านคุณภาพสินค้า และข้อกำหนดทางด้านเทคนิคที่เข็มงวด ด้วยเหตุนี้ จึงต้องหันมาส่งออกไปยังตลาดอื่น ทั้งนี้ จากข้อมูลของกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนาม (MoIT) ระบุว่าในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ เวียดนามส่งออกข้าวไปยังประเทศจีน ลดลงร้อยละ 67 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ถึงแม้ว่าสถานการณ์การส่งออกข้าวลดลงก็ตาม แต่คาดว่าในปีนี้ จะสามารถส่งออกข้าวรวมตรงตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/rice-exports-set-to-reach-65-million-tonnes-during-2019-406267.vov

ผลิตภัณฑ์เหล็กกล้าเวียดนาม เผชิญกับการบริโภคที่ตกต่ำ ในช่วงเดือนตุลาคม

จากข้อมูลของสมาคมเหล็กเวียดนาม (VSA) เปิดเผยว่าการบริโภคผลิตภัณฑ์เหล็กกล้าลดลง โดยเฉพาะเหล็กแผ่นเคลือบสี (Colour-coated steel) ในช่วงเดือนตุลาคมของปีนี้ ขณะที่ ผลผลิตยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากจำแนกผลิตภัณฑ์เหล็กที่มีผลผลิตและการบริโภคเพิ่มขึ้น พบว่ามีเพียงผลิตภัณฑ์เหล็กก่อสร้างชนิดเดียว ส่วนผลิตภัณฑ์ชนิดอื่น ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เหล็กแผ่นรีดเย็นมีผลผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.4 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่การบริโภคหดตัวลงร้อยละ 1.5 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลิตภัณฑ์เหล็กแผ่นเคลือบสีที่มีผลผลิตลดลงมากที่สุดในช่วงเดือนตุลาคม แตะระดับ 348,902 ตัน ลดลงร้อยละ 15.3 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เช่นเดียวกับการบริโภคที่หดตัวลงร้อยละ 5.3 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ทั้งนี้ จากการส่งออกลดลงอย่างมากของผลิตภัณฑ์เหล็กขั้นกลาง ขณะที่การนำเข้ายังคงเพิ่มขึ้นทุกๆปี ซึ่งส่วนใหญ่นำเข้าจากประเทศเกาหลีใต้ จีน ไต้หวัน และอินเดีย ด้วยเหตุนี้ ทางกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนาม ตัดสินใจในการป้องกันการทุ่มตลาดของผลิตภัณฑ์เหล็กเคลือบสีบางชนิดที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศเกาหลีใต้ และจีน นอกจากนี้ ยังขยายการตอบโต้การทุ่มตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์สเตนเลสรีดเย็น

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/steel-products-experience-slow-consumption-in-october/163815.vnp

สิงคโปร์กับการลงทุนพลังงานแสงอาทิตย์ในเมียนมา

สิงคโปร์ได้หารือเกี่ยวกับการลงทุนในภาคพลังงานแสงอาทิตย์และการธนาคารและยังให้ความช่วยเหลือด้านเทคนิคแก่การลงทุนในภาคอื่น ๆ จากข้อมูลของผู้อำนวยการสำนักการลงทุนและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการลงทุนของเมียนมาร์ในการประชุมสุดยอดธุรกิจ 2019 เมียนมา – สิงคโปร์ เมื่อ 14 พ.ย. ที่ผ่านมา สิงคโปร์ยังลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ โครงสร้างพื้นฐานขั้นพื้นฐาน และการช่วยเหลือทางการเงิน ในบรรดา 49 ประเทศที่ลงทุนในเมียนมา สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีการลงทุนมากที่สุดมูลค่าประมาณ 22 พันล้านเหรียญสหรัฐ

ที่มา: https://elevenmyanmar.com/news/singapore-discusses-investment-in-myanmars-solar-energy-sector

ไทยเสียแชมป์ 2 ปีติด! หอมมะลิเวียดนามดีสุดในโลกปี 62

ข้าวหอมมะลิไทยเสียแชมป์อร่อยสุดในโลก 2 ปีติดต่อหลังถูกข้าวพันธ์เอสที 24 เวียดนามแซงหน้า ผู้ส่งออกจี้กระทรวงเกษตรฯ เร่งพัฒนา หากนิ่งจะข้าวหอมมะลิไทยจะเหลือเพียงตำนาน ผลการประกวดข้าวโลกปี 62 ในงานประชุมสัมมนาข้าวโลก ที่ประเทศฟิลิปปินส์ ปรากฎว่าข้าวหอมมะลิเวียดนาม พันธุ์ เอสที 24 คว้ารางวัลข้าวหอมที่ดีที่สุดในโลกปีนี้ไปครอง ส่วนข้าวหอมมะลิจากไทยได้อันดับ 2  และข้าวหอมจากประเทศฟิลิปปินส์เป็นอันดับ 3 แสดงให้เห็นว่าเวียดนามมีการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวต่อเนื่อง และที่น่ากลัวไปกว่านั้นราคาข้าวเวียดนามถูกกว่าข้าวหอมไทยเกือบครึ่ง โดยข้าวหอมมะลิไทยราคา 1,100-1,200 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ส่วนเวียดนาม 600 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน มีผลผลิตต่อไร่ที่ดีกว่าและต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า สำหรับหลักเกณฑ์การพิจารณาจะดูจาก รสชาติ ซึ่งลักษณะของข้าวของเวียดนาม พบว่า มีเมล็ดยาวมีความเหนียวนุ่ม แม้ความหอมจะน้อยกว่าข้าวหอมมะลิไทย แต่มีความหวานมากกว่า ซึ่งข้าวพันธุ์นี้เวียดนามใช้เวลาพัฒนาประมาณ 5 ปีจึงได้รับรางวัล และขณะนี้เวียดนามอยู่ระหว่างการพัฒนาข้าวพันธุ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง สำหรับการประกวดข้าวโลกนั้นประเทศที่ได้รับรางวัลชนะเลิศข้าวที่ดีที่สุดพบว่ามีข้าวไทยได้รับรางวัลชนะเลิศ 5 ปี ข้าวจากกัมพูชาได้รับรางวัลชนะเลิศ 4 ปี อย่างไรก็ตามหากไทยยังไม่มีการพัฒนาเชื่อว่าภายในอีก 5 ปี ข้าวหอมมะลิไทยอาจเหลือเพียงตำนาน เพราะเมื่อคุณภาพและรสชาติใกล้เคียงกันแต่ข้าวไทยแพงกว่าคู่แข่งเท่าตัวก็จะทำให้ลูกค้าหันไปซื้อสินค้าที่ถูกกว่าแทน.

ที่มา: https://www.dailynews.co.th/economic/742092

รัฐบาลเวียดนามอนุมัติก่อสร้างสนามบินในเมืองซาปา

กระทรวงคมนาคมเวียดนามได้อนุมัติวางแผนก่อสร้างสนามบินซาปา (Sa Pa) โดยสามารถจุผู้โดยสารกว่า 3 ล้านคนต่อปี ซึ่งเป็นสนามบินภายในประเทศที่มีช่องจอดเครื่องบิน 9 ช่อง เพื่อใช้ในทางทหารและพลเรือน ด้วยจำนวนเงินทุนในการก่อสร้างสนามบินกว่า 3.09 ล้านล้านด่อง (หรือ 133 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) และคาดว่าโครงการจะสำเร็จภายในปี 2561 ซึ่งวัตถุประสงค์หลักจะให้บริการนักท่องเที่ยวจากเวียดนามทางตอนใต้ และภาคตะวันตกของประเทศจีน อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านการบิน ระบุว่าการไหลเข้าของนักท่องเที่ยวจะไม่มีเสถียรภาพมากนัก เมื่อเทียบกับสนามบินอื่น สำหรับในปีที่แล้ว ในเขตจังหวัดหล่าวกาย (Lao Cai) มีนักท่องเที่ยวมาเยือนประมาณ 4.2 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 จากปี 2560

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/government-approves-northern-highlands-airport-in-sa-pa-406165.vov