พุกามจัดงานวิ่งส่งเสริมการท่องเที่ยว

การวิ่งของเมียนมาจัดขึ้นครั้งแรกจัดขึ้นที่พุกามเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาโดยมีผู้เข้าร่วมจากทั้งในประเทศและต่างประเทศกว่า 300 คนซึ่งประกอบด้วย หน่วยงาน บริษัทต่างๆ และผู้ที่สนใจสุขภาพเข้าร่วมงาน จัดขึ้นโดย China Daily และ RVIPS Publications โดยวิ่งผ่านจุดชมทิวทัศน์และวัฒนธรรมอันงดงามของพุกาม งานนี้จัดขึ้นเพื่อเป็นการจัดมิตรภาพระหว่างประเทศเพื่อส่งเสริมโครงการ Belt and Road รวมถึงการส่งเสริมสุขภาพและมิตรภาพระหว่างประเทศ จากยอดค่าธรรมเนียมเข้าชมแหล่งมรดกโลกพุกามท ราว 5 จัต (ประมาณ 3,313 ดอลลาร์สหรัฐ) ช่วยส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน กระทรวงโรงแรมและการท่องเที่ยวได้ออกแคมเปญรณรงค์งดใช้พลาสติกในพุกามเพื่อเป็นการพัฒนาประเทศ การจัดงานครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามโดยมีผู้ชมนับร้อยและเมื่อกีฬาวิ่งได้รับความนิยมมากขึ้นทั่วประเทศควรส่งเสริมการเชื่อมสัมพันธ์ วิถีชีวิต และการรักสุขภาพผ่านกิจกรรมนี้

ที่มา: https://elevenmyanmar.com/news/bagan-run-promotes-friendship-tourism

เกษตรกรเร่งรัฐฯ เจรจาส่งออกสับปะรดไปจีน

สมาคมผู้ปลูกสับปะรดกำลังขอให้รัฐบาลเจรจาส่งออกไปยังประเทศจีนโดยเร็วที่สุด ภายหลังเกษตรกรได้รับความเสียหายราว 700 ล้านจัต (458 ล้านเหรียญสหรัฐ) เนื่องจากจีนห้ามนำเข้าผลไม้จากเมียนมาซึ่งมีความเสียหายมากกว่า 24,800 ตันที่เขตการค้าชายแดมูเซ แม้ว่าสมาคมผู้ผลิตผักและผลไม้ของเมียนมา (MFVP) จะขอเจรจาการส่งออกสับปะรดและอโวคาโดแต่ทางการจีนร่วมการือเฉพาะการส่งออกกล้วย ข้าว มันสำปะหลัง และเสาวรส ซึ่งรัฐบาลพยายามอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตามมีความล่าช้าและอีก 6 เดือนเท่านั้นก็จะถึงฤดูเพาะปลูกแล้ว โดยปกติแล้ว 90% ของอาโวคาโดจะถูกส่งออกไปยังไทยและควรมีการเจรจากับจีนเพื่อเร่งการส่งออกก่อนการการเก็บเกี่ยว MFVP กล่าวว่าเกตรกรต้องการลงทุนในลักษณะของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) เพื่อสร้างโรงงานบรรจุภัณฑ์และโรงงานอบแห้งเพื่อเพิ่มมูลค่าในการส่งออก และเพิ่มทุนสำหรับวัตถุดิบ เครื่องจักร และต้นทุนแรงงานที่เพิ่มขึ้น ทว่าเอสเอ็มอีเผชิญกับความยากลำบากในการจัดหาหลักประกันด้านสินเชื่อของธนาคาร ดังนั้นรัฐบาลควรเข้ามาสนับสนุน ทั้งนี้กระทรวงการคลังและวางแผนกล่าวว่าธนาคารเพื่อการพัฒนาการเกษตรจะให้สินเชื่อพิเศษสำหรับเกษตรกรผู้ปลูกผลไม้ และกำลังเจรจากับธนาคารเอกชนและธนาคารของรัฐเรื่องข้อกำหนดสำหรับสินเชื่อ SME ต่อไป

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/pineapple-growers-call-official-export-channels-china.html

ส่งออกตลาดของขวัญปี 62 มูลค่า 2.4 หมื่นล้านบาท ติดลบ 3%

มูลค่าตลาดสินค้าของขวัญ ของชำร่วย ตลาดส่งออกมูลค่ากว่า 2.4 หมื่นล้านบาท ปี 62 คาดว่าจะเติบโตติดลบ 3% จากเดิมวางเป้าหมายการเติบโตไว้ที่ 2% จาก 4 ปัจจัยสำคัญ คือ 1.อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ เงินบาทไทยแข็งค่าขึ้นกว่า 23% โดยตลาดส่งออกสำคัญ สินค้าของขวัญฯ คือ ญี่ปุ่น และ สหรัฐอเมริกา 2. การถดถอยของ เศรษฐกิจโลก และตลาดหลัก อันได้แก่ สหรัฐ อเมริกา ญี่ปุ่น จีน และสหภาพยุโรป 3.ต้นทุนการผลิตที่แพงขึ้น และ 4. ขีดความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง ในหลายประเภท สินค้าที่ต้องพึงพาแรงงานฝีมือ และแรงงานฝีมือหายไปจากตลาด อย่างไรก็ตามในปีหน้า ผู้ประกอบการธุรกิจในอุตสาหกรรมฯ จะต้องปรับตัวให้ทันต่อกระแสการเปลี่ยนแปลของโลกการซื้อในยุคใหม่ รวมถึงภาครัฐต้องส่งเสริมสนับสนุน อย่างต่อเนื่องในอุตสาหกรรมนี้ .ช่วยเหลือให้ผู้ประกอบเข้าถึงแหล่งทุนเพื่อเพื่อใช้ในการ Tranformation องค์กร สำหรับตลาดของขวัญในประเทศ มีมูลค่าประมาณ 4 หมื่นล้านบาท โดยในปี 62 คาดเติบโตลดลง ขณะที่ ภาครัฐควรมีมาตรการกระตุ้นออกอย่างต่อเนื่องและเข้าถึงง่าย เช่น โครงการชิ้มช้อปใช้กระเป๋า 2 ซึ่งหากมีการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเข้าใจในประชาชนให้ใช้มากขึ้น คาดจะสามารถกระตุ้นให้ใช้จ่ายมากขึ้นได้ สำหรับเทรนด์สินค้าของขวัญที่คาดว่าจะได้รับความนิยม คือ 1.ตะกร้าของขวัญ กิฟต์เซ็ท 2. สินค้าเพื่อสุขภาพ ทุกหมวดหมู่ 3.ของเครื่องใช้ กระเป๋า เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ และ 4. ไอที และอุปกรณ์อื่นๆ นอกจากนี้ ในปีหน้าสินค้าที่คาดว่าจะได้รับความนิยมหรือมาแรง คือ ถุงผ้า จากความต้องการของตลาดและผู้บริโภค ภายใต้นโยบายเลิกใช้ถุงพลาสติก ปัจจุบัน สมาคมของขวัญฯ มีผู้ประกอบการธุรกิจในอุตสาหกรรมฯนี้ กว่า 3,000 ราย และเป็นสมาชิกกับสมาคมของขวัญของชำร่วยไทยและของตบแต่งบ้าน ประมาณ 350 ราย โดยในช่วง 3 เดือนสุดท้ายปีนี้ มีผู้ประกอบการเพิ่มเข้ามาอีกเกือบเท่าตัว โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอี

ที่มา: https://www.posttoday.com/economy/sme/609127

สปป.ลาว ตั้งเป้าปรับปรุงความปลอดภัยของคนงานภาคการตัดเย็บเสื้อผ้า

กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมและองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ได้มีการประชุมในหัวข้อสุขภาพและความปลอดภัยในการทำงานของแรงงานภาคการตัดเย็บเสื้อผ้าโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องสวัสดิภาพของคนงาน ในปัจจุบันขณะที่เศรษฐกิจสปป.ลาวกำลังเติบโตสภาพการทำงานที่ไม่ปลอดภัยเป็นความเสี่ยงของแรงงานจึงเป็นสิ่งสำคัญที่รัฐบาลให้ความสำคัญ รัฐมนตรีกระทรวงแรงงานและสวัสดิการกล่าวว่าความปลอดภัยในห่วงโซ่อุปทานสปป.ลาว เป็นก้าวสำคัญในการสนับสนุนการคุ้มครองสิทธิแรงงานในสปป.ลาว (OHS: อาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน) โดยปัจจุบันมีการดำเนินโครงการ Vision Zero Fund ในภาคการตัดเย็บเสื้อผ้าเพื่อช่วยเหลือแรงงานในด้านสวัสดิการและความปลอดภัยในการทำงาน การดำเนินโครงการดังกล่าว เป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาประเทศและส่งเสริมแนวทางการดำเนินการเพื่อยกระดับมาตรฐาน OSH ผ่านแผนปฏิบัติการของ Asean-OSHNET(เครือข่ายความปลอดภัยอาชีวอนามัยของอาเซียน) การพัฒนาดังกล่าวจะเป็นพื้นฐานสำคัญในการเสริมสร้างแรงงานของสปป.ลาวและช่วยยกระดับชีวิตการเป็นอยู่ของแรงงานในประเทศให้ดีขึ้น

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Labour_270.php

การประชุมจะเน้นย้ำถึงนโยบายการพัฒนาประชากรสปป.ลาว

สปป.ลาวร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อการพัฒนาโครงการวางแผนครอบครัวระดับชาติรวมถึงได้รับการสนับสนุนโดย UNFPA (กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ) เพื่อสร้างความก้าวหน้าของนโยบายการพัฒนาประชากร (2562-2573) นอกเหนือจากการสนับสนุน UNFPA ยังมีการปรับปรุงยุทธศาสตร์ด้านอนามัย การเจริญพันธุ์และการดูแลมารดารวมถึงการบูรณาการการสอนเรื่องเพศศึกษาที่ครอบคลุมในระบบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาและระบบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในที่ประชุมยังมีการได้กล่าวถึงความสำเร็จในปีที่ผ่านมาด้านการพัฒนาประชากรและได้มีการคาดการณ์ของผลของการดำเนินการ ที่จะเกิดในอีก 10 ปีว่าจะทำให้โครงการดังกล่าวพัฒนาไปอีก หากมีการสนับสนุนที่ดีจาก UNFPA ที่เป็นแหล่งเงืนทุนในการดำเนินการต่างๆและกระทรวงแผนการและการลงทุน ที่จะผลักดันนโยบายต่างๆออกมาเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ปลายทางของการมุ่งพัฒนาจะเสริมสร้างสถาบันครอบครัวให้แข็งแกร่ง ประชากรวัยหนุ่มสาวที่มีประสิทธิภาพและความเสมอภาคทางเพศจะได้รับการจัดการเสริมสร้างสังคมที่ดีในประเทศ  

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Conference_270.php

แกรนด์ไชน่าประกันชีวิตรวมพัฒนาภาคประกันภัยในกัมพูชา

บริษัท Grand China Life Insurance และ Chief (Cambodia) Commercial Bank Plc. ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MoU) เพื่อพัฒนาภาคประกันภัยในประเทศกัมพูชา โดยบันทึกความเข้าใจนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความสัมพันธ์ทางกฎหมายระหว่างบริษัทที่เกี่ยวข้อง ซึ่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Chief Bank กล่าวว่าอุตสาหกรรมประกันภัยในประเทศกัมพูชามีการพัฒนาอย่างรวดเร็วโดยการร่วมมือกับ Grand China Life Insurance จะช่วยกระตุ้นการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยรายได้ประชาชาติของกัมพูชาอยู่เพียง 288 เหรียญสหรัฐ ในปี 2000 แต่เพิ่มขึ้นเป็น 830 เหรียญสหรัฐ ในปี 2010 และสูงถึง 1,548 เหรียญสหรัฐ ในปี 2018 โดย Morarith กล่าวว่าด้วยกฎหมายที่มีการปรับปรุงและหน่วยงานกำกับดูแลที่รับผิดชอบตอนนี้กัมพูชามีความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับความสำคัญของการภาคประกันภัย ซึ่ง Yu Li Qun ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Grand China Life จะคอยช่วยแนะนำลูกค้าเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่เหมาะสมให้กับผู้ต้องการทำประกัน ทั้งนี้ Grand China Life Insurance ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงการคลังในปี 2560 และเริ่มดำเนินการในเดือนมีนาคม 2561

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50670383/grand-china-life-insurance-chief-bank-team-up-to-develop-insurance-sector/

โรงงานผลิตและแปรรูปมะม่วงในกัมพูชา 3 แห่งจะเริ่มเปิดทำการในปีหน้า

กระทรวงเกษตรระบุว่าจะมีการเปิดโรงงานแปรรูปมะม่วงอย่างน้อยสามแห่งในปี 2563 โดยโรงงานแห่งใหม่จะส่งเสริมการผลิตมะม่วงในกัมพูชาและช่วยให้เกษตรกรค้นหาตลาดใหม่สำหรับผลผลิตของพวกเขาซึ่งขณะนี้กัมพูชามีโรงงาน 8 แห่ง ที่ดำเนินการแปรรูปมะม่วง โดยสินค้าส่วนใหญ่ของการผลิตถูกส่งออกไปยังต่างประเทศ อย่างไรก็ตามผลิตภัณฑ์จากมะม่วงยังคงส่งออกในระดับที่ต่ำ ซึ่งโรงงานแห่งใหม่นี้สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลในการส่งเสริมการลงทุนในภาคการผลิตมะม่วงภายในประเทศ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าวว่าเขาขอให้เจ้าของโรงงานทำข้อตกลงการทำสัญญากับเกษตรกรเพื่อช่วยลดความเสี่ยงระหว่างกัน นอกจากนี้กระทรวงยังได้ขอให้หน่วยงานพาณิชย์จังหวัดอำนวยความสะดวกในกระบวนการออกใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าสำหรับบริษัทที่ต้องการส่งออกผลิตภัณฑ์จากโรงงานเหล่านี้ ซึ่งกัมพูชากำลังดำเนินการเพื่อเริ่มส่งมะม่วงไปยังเกาหลีใต้และจีน โดยถือว่าเป็นตลาดใหญ่สำหรับตลาดผลไม้ และจากข้อมูลของกระทรวงเกษตรระบุว่าพื้นที่เพาะปลูกมะม่วงมีมากกว่า 100,000 เฮกตาร์ทั่วประเทศ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50670405/three-mango-factories-to-open-next-year-ministry/

GDP เวียดนามขยายตัว 25.4% ต่อปี ในช่วงปี 2010-2017 หลังจากปรับปรุงวิธีนับใหม่

จากคำแถลงการณ์ของสำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม (GSO) เปิดเผยเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ว่าหลังจากการปรับปรุงวิธีการวัดผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศใหม่ ส่งผลให้ GDP เวียดนามขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 25.4 ต่อปี ในช่วงปี 2010-2017 ซึ่งวัตถุประสงค์ในการปรับขนาด GDP เพื่อให้สะท้อนถึงภาพรวมของเศรษฐกิจและประสิทธิภาพของการใช้นโยบายเศรษฐกิจ รวมไปถึงส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างเศรษฐกิจ ทั้งด้านภาคการเกษตรปรับขนาดลดลง ส่วนภาคอุตสาหกรรมและการบริการขยายตัวเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ จากตัวเลข GDP ที่ขยายตัวเพิ่มสูงขึ้นนั้น เป็นผลมาจากปัจจัยหลายอย่างประกอบรวมกัน รวมไปถึงการปรับปรุงของโครงสร้างเศรษฐกิจ และวิธีการการวัดที่ทันสมัย (Methodology)

ที่มา : https://en.nhandan.com.vn/business/item/8223202-vietnam%E2%80%99s-gdp-up-by-25-4-per-year-during-2010-2017-after-revision.html