MIC เผยนักลงทุนเกาหลีใต้ไม่ถอนการลงทุนจากเมียนมา

นักธุรกิจชาวเกาหลีใต้ในเมียนมาจะไม่มีการย้ายการลงทุนไปยังบังคลาเทศอย่างแน่นอน เลขาธิการคณะกรรมาธิการการลงทุนของพม่า (MIC) เผย จากแถลงการณ์ของสำนักงานเขตเศรษฐกิจบังกลาเทศ (BEZA) และ บริษัท เกาหลีอินดัสเตรียลคอมเพล็กซ์ จำกัด (KIC) เมื่อเร็ว ๆ นี้หนังสือพิมพ์ของบังคลาเทศรายงานว่าเกาหลีใต้ที่ลงทุนในเมียนมาต้องการย้ายไปบังกลาเทศ จากรายงานระบุว่าธุรกิจของเกาหลีใต้ประมาณ 100 รายต้องการย้ายไปยังบังคลาเทศเนื่องจากข้อบกพร่องในเขตอุตสาหกรรม แม้ว่า KIC จะลงทะเบียนในเมียนมาแต่ก็ยังไม่ได้เริ่มดำเนินธุรกิจ แต่จากข้อมูลพบว่าเป็นเพียงข่าวลือ ในปัจจุบันมีเขตอุตสาหกรรมสองเขต ได้แก่ เขตอุตสาหกรรมเกาหลี – เมียนมาที่ตั้งขึ้นรัฐบาลเมียนมาและเกาหลีใต้และอีกหนึ่งเขตตั้งขึ้นโดยบริษัทเอกชน รายงานของคณะกรรมการการลงทุนและการบริหาร บริษัท (DICA) เกาหลีใต้เป็นนักลงทุนต่างชาติอันดับหกมีการลงทุน 3.9 พันล้านเหรียญสหรัฐในธุรกิจ 179 แห่ง ส่วนใหญ่ลงทุนในน้ำมันและก๊าซ และธุรกิจการผลิต

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/no-withdrawal-south-korean-investors-says-mic.html

ความก้าวหน้าที่ดีในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แม้จะมีความท้าทาย : DPM

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการวางแผนและการลงทุนกล่าวว่าเศรษฐกิจมหภาคอยู่ภายใต้แรงกดดันเนื่องจากการขาดดุลงบประมาณและธุรกรรมในต่างประเทศและการสำรองเงินตราต่างประเทศที่ต่ำซึ่งทำให้มูลค่าของกีปอ่อนค่าลงและค่าครองชีพที่สูงขึ้น ความผันผวนของมูลค่าของสกุลเงินต่างประเทศ การควบคุมราคาสินค้าไม่เพียงพอการผลิตในประเทศที่เปราะบาง และภัยธรรมชาติ ทำให้เกิดความท้าทายครั้งใหญ่สำหรับงบประมาณของรัฐโดยเฉพาะการระดมทุนเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ การดำเนินการตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมมีความก้าวหน้าที่ดีในหลาย ๆ ด้าน แม้คาดว่า GDP อยู่ที่ 6.4% ในปี 62 ลดลง 0.3% ในปีนี้ภาคเกษตรคาดว่าจะขยายตัวประมาณร้อยละ 2.8 แผนกปศุสัตว์มีการเพิ่มขึ้น 4.3% ป่าไม้เพิ่มขึ้น 0.8 % การประมง 4.8% และการเพาะปลูก 2.3% การเพาะปลูกพืชสวนคาดว่าจะลดลง 0.7% ภาคอุตสาหกรรมจะอยู่ที่ 7.1% ภาคการก่อสร้างจะเติบโต 16.8% ภาคพลังงานอยู่ที่ 6.1% ภาคบริการมีการขยายตัว 7% ส่วนการค้าปลีกและค้าส่ง และการซ่อมแซมยานพาหนะจะเพิ่มขึ้น 19.9% ​​ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 6.7% เงินทุนและประกันภัย 7.7% ที่พักและอาหาร 5.3%  และภาคภาษีและศุลกากรคาดว่าจะเติบโต 7%

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/good-progress-socio-economic-development-despite-challenges-says-dpm-107856

สปป.ลาวพยายามสร้างชีวิตของผู้ประสบอุทกภัยท่ามกลางข้อจำกัดด้านงบประมาณ

รัฐบาลประเมินว่าจำเป็นต้องใช้เงินประมาณ 3 ล้านล้านกีบในการซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดจากน้ำท่วมและเพื่อฟื้นฟูชุมชนที่ถูกน้ำท่วมกลับสู่ภาวะปกติ ผลกระทบของภัยพิบัติเป็นความท้าทายที่สำคัญสำหรับสปป.ลาวในการทำงานเพื่อขจัดความยากจนโดยที่หลายครอบครัวขาดที่อยู่อาศัยเนื่องจากน้ำท่วม โดยมีความกังวลเกี่ยวกับการจัดหาเงินทุนในการซ่อมแซมทรัพย์สินที่เสียหายและการให้บริการแก่ผู้ประสบอุทกภัยเนื่องจากข้อจำกัดด้านงบประมาณ รัฐบาลให้การสนับสนุนทางการเงินอย่างจำกัด แต่ไม่เพียงพอสำหรับทุกกรณี น้ำท่วมได้ทำลายบ่อเลี้ยงปลาและระบบชลประทานที่เสียหายรวมถึงพื้นที่เพาะปลูก โรงเรียน สายไฟฟ้า โรงพยาบาลและโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ จากรายงานของกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมพบว่าประชาชนประมาณ 765,000 คนใน 44 อำเภอใน 6 จังหวัดทางภาคใต้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อต้นเดือนก.ย. และประชาชนเกือบ 195,000 คนต้องพลัดถิ่น

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/laos-attempts-rebuild-flood-victims%E2%80%99-lives-amid-budget-constraints-107776

กัมพูชาเป็นหนึ่งในสี่ประเทศในอาเซียนที่มี FDI อยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

กัมพูชาเป็นหนึ่งในสี่ประเทศในอาเซียนที่มีการไหลเข้าของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสูงถึงระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยจากการศึกษาของสำนักเลขาธิการอาเซียนและการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) ซึ่งพบว่าการลงทุนโดยตรงภายในอาเซียนเพิ่มขึ้น 5% สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 155 พันล้านเหรียญสหรัฐในปีที่แล้ว โดยมีสี่ประเทศที่ภาคการลงทุนทางตรงเพิ่มขึ้นคือ กัมพูชา, อินโดนีเซีย, สิงคโปร์และเวียดนาม ตามรายงาน ซึ่งการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศของกัมพูชาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งด้านการผลิตและบริการสูงขึ้นกว่า 15% เป็น 3 พันล้านเหรียญสหรัฐเมื่อปีที่แล้ว โดยเฉพาะภาคการเงินและภาคการประกันภัย ซึ่งภาคบริการคิดเป็นกว่า 79% ของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในขณะที่ภาคการผลิตคิดเป็น 12% โดย Shenzhou International Group Holdings (จีน) ซึ่งเป็นหนึ่งในซัพพลายเออร์รายใหญ่ของไนกี้เริ่มสร้างโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าขนาดใหญ่มูลค่ากว่า 150 ล้านเหรียญสหรัฐในเขตเศรษฐกิจพิเศษของพนมเปญซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2564

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50657917/cambodia-among-four-in-asean-receiving-fdi-at-record-level/

การค้าระหว่างกัมพูชาและสหรัฐฯเพิ่มขึ้น 37% ในช่วงเก้าเดือนแรก

ข้อมูลล่าสุดจากรัฐบาลสหรัฐแสดงให้เห็นว่าการค้าระหว่างกัมพูชาและสหรัฐอเมริกามีมูลค่าสูงถึง 4.3 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือเพิ่มขึ้นกว่า 37% ในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2562 โดยตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนกันยายนกัมพูชาส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯเพิ่มขึ้น 38% เป็น 3.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่การนำเข้าจากสหรัฐฯมีมูลค่าอยู่ที่ 400 ล้านเหรียญเพิ่มขึ้น 24% ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่ที่ทำการส่งออกไปยังสหรัฐฯคือสิ่งทอ, รองเท้า, สินค้าทางการท่องเที่ยว, และสินค้าเกษตร ส่วนของสินค้าที่กัมพูชานำเข้าส่วนมากจะเป็นยานพาหนะ, อาหารสัตว์ และเครื่องจักร  โดยในเดือนกรกฎาคม 2559 กัมพูชาได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีสำหรับการส่งออกสินค้าการท่องเที่ยวไปยังสหรัฐฯภายใต้สิทธิ GSP ซึ่งเมื่อปีที่แล้วการค้าระหว่างกัมพูชาและสหรัฐฯมีมูลค่าถึง 4.26 พันล้านเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบเป็นรายปี โดยมูลค่าการส่งออกของกัมพูชาไปยังสหรัฐฯอยู่ที่ 3.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50657709/cambodia-us-trade-up-37-pct-in-first-nine-months/

ปิดฉาก ASEAN Summit : ปลดล็อกข้อจำกัด ผลักดัน RCEP เดินหน้าต่อ

การประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) ครั้งที่ 35 ที่ไทยในฐานะประธานและเจ้าภาพการประชุมปี 2562 หัวข้อการเจรจาในครั้งนี้ ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) ถือเป็นจุดสนใจของนานาประเทศเป็นอย่างมาก เนื่องจากเคยเป็นความตกลงที่เป็นคู่เทียบกับความตกลงเขตการค้าเสรีสำคัญอย่าง Trans-Pacific Partnership (TPP) จนปัจจุบันบรรลุข้อตกลงภายใต้ชื่อ Comprehensive and Progressive Agreement for Trans-Pacific Partnership (CPTPP) และเศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญสงครามการค้าซึ่งถือเป็นแนวคิดที่ตรงกันข้ามกับแนวคิดการค้าเสรีโดยสิ้นเชิง ความสำเร็จในการเจรจาความตกลง RCEP ในครั้งนี้ ถือว่ามีส่วนช่วยบรรเทาผลกระทบจากสงครามการค้า และกระแสปกป้องทางการค้าที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ ความสำเร็จที่ถือเป็นไฮไลต์สำคัญ คือ ไทยสามารถผลักดันให้เกิดผลสรุปของการเจรจาความตกลง RCEP ได้ครบข้อเจรจาทั้งหมด 20 บท จากช่วงต้นปี 2562 ที่ได้ผลสรุปเพียง 7 บท โดยเป็นการบรรลุข้อเจรจาระหว่างอาเซียน 10 ประเทศกับประเทศหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ 5 ประเทศ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ยกเว้นเพียงอินเดียที่ยังไม่พร้อมในการเปิดเสรีการค้าการลงทุนในบางรายการตามความตกลง RCEP แต่ยังสามารถกลับมาเจรจาหาได้ในภายหลัง ทั้งนี้ คาดว่าอินเดียจะกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจามีความเป็นไปได้พอสมควร กลายเป็นแหล่งลงทุนที่น่าสนใจยิ่งขึ้นในมุมมองของนักลงทุนต่างชาติ โดยประเทศสมาชิก RCEP (ไม่รวมอินเดีย) มีขนาดเศรษฐกิจรวมกันถึง 24.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 29% ของขนาดเศรษฐกิจโลก ขณะที่มีประชากรรวมกันถึงราว 3.6 พันล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วน 30% ของจำนวนประชากรโลก ส่วนไทยก็จะได้ประโยชน์จากการเป็นแหล่งลงทุนที่น่าสนใจมากขึ้นเช่นกัน ความตกลง RCEP จะช่วยสนับสนุนการส่งออกของไทยในระยะข้างหน้า โดยก่อนหน้าประเมินว่าสินค้าในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า พลาสติกและเคมีภัณฑ์ ยานยนต์และชิ้นส่วน ยางล้อ เส้นใย สิ่งทอ เครื่องแต่งกาย ผลิตภัณฑ์แป้งมันสำปะหลัง และกระดาษ จะเป็นกลุ่มสินค้าที่ได้ประโยชน์เพิ่มขึ้น แม้อินเดียยังไม่เข้าร่วม RCEP ไม่ได้บั่นทอนการค้าระหว่างไทยและอินเดียแต่อย่างใด เนื่องจากไทยและอาเซียนยังคงมีข้อตกลงเขตการค้าเสรีร่วมกับอินเดียภายใต้ Thailand-India Free Trade Agreement (TIFTA) และ ASEAN-India Free Trade Agreement (AIFTA) ขณะเดียวกันอินเดียนับเป็นตลาดเป้าหมายใหม่สำหรับผู้ประกอบการไทย ซึ่งภาครัฐให้ความสำคัญและพร้อมสนับสนุนในการเปิดตลาด โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การส่งออกของไทยไปอินเดียขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 9 ต่อปี เทียบกับการส่งออกของไทยโดยรวมที่ขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 2 แม้ว่า RCEP จะยังไม่สำเร็จผลอย่างเต็มรูปแบบ ผู้ประกอบการไทยจึงจำเป็นต้องเตรียมกลยุทธ์ให้พร้อม ควรศึกษาลู่ทางและแสวงหาโอกาสลงทุนในประเทศสมาชิก RCEP โดยอาศัยจุดแข็งของประเทศนั้น อาทิ ความพร้อมด้านแรงงาน และทรัพยากรทางธรรมชาติ ส่วนผู้ประกอบการไทยที่ยังไม่มีความพร้อมด้านการลงทุนในต่างประเทศหรือยังไม่มีแผนการลงทุนในต่างประเทศ ควรเตรียมกลยุทธ์รับมือกับแนวโน้มการแข่งขันในประเทศที่อาจรุนแรงขึ้นจากการเข้ามาของต่างชาติในอนาคต

ที่มา: https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24383