เวียดนามเผย ม.ค. นำเข้ารถยนต์ 212 ล้านเหรียญสหรัฐ

ตามข้อมูลของกรมศุลกากร ระบุว่าในเดือนมกราคม เวียดนามนำเข้ารถยนต์เพิ่มขึ้นราว 85% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 เป็นรถยนต์ที่ผลิตต่างประเทศ (CBU) จำนวน 8,343 คัน คิดเป็นมูลค่ารวม 212.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนใหญ่จะนำเข้ารถยนต์จากไทยและอินโดนีเซีย จำนวน 4,341 คัน (84.5 ล้านเหรียญสหรัฐ) และ 1,437 คัน (19.2 ล้านเหรียญสหรัฐ) ตามลำดับ ทั้งนี้ ในปี 2563 เวียดนามนำเข้ารถยนต์ทุกประเภทที่ผลิตในต่างประเทศ จำนวน 100,000 คัน ด้วยมูลค่ารวม 2.35 พันล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 24.5% ในแง่ของปริมาณ และ 25.6% เมื่อเทียบกับปี 2561 อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยเป็นตลาดนำเข้ารถยนต์รายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม จำนวน 52,647 คัน รองลงมาอินโดนีเซีย จีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกาและเกาหลีใต้

ที่มา : https://vietnamtimes.org.vn/vietnam-spends-over-us-212-million-importing-cars-in-january-28233.html

เศรษฐกิจไทย 63 ติดลบ 6.1% หดตัวสูงสุดในรอบสองทศวรรษ

น.ส.ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 ปี 2563 หดตัวติดลบ 4.2% เทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน ทำให้ทั้งปี 2563 เศรษฐกิจไทยหดตัวติดลบ 6.1% ซึ่งเป็นการหดตัวสูงสุดในรอบ 2 ทศวรรษ แต่ยังดีกว่าที่ ธปท. ประเมินไว้ทั้งในรายงานนโยบายการเงินเดือน ธ.ค. 2563 และในการประชุม กนง. ในเดือน ก.พ.2564 ที่ผ่านมา โดยองค์ประกอบที่ดีกว่าคาดมาจากการสะสมสินค้าคงคลังที่เร่งขึ้นมากตามผลผลิตเกษตรและเพื่อรองรับคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น และการบริโภคภาคเอกชนที่สามารถกลับมาขยายตัวได้เล็กน้อยเนื่องจากได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการภาครัฐอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการส่งออกสินค้าที่ปรับดีขึ้นตามเศรษฐกิจคู่ค้าและวัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ฟื้นตัว อย่างไรก็ตาม คาดว่าในปี 2564 เศรษฐกิจไทยจะกลับมาขยายตัวได้แต่ยังต่ำกว่าระดับศักยภาพ โดยในระยะสั้นเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากสถานการณ์และมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่ในช่วงต้นปี แต่คาดว่าผลกระทบโดยรวมจะน้อยกว่าการแพร่ระบาดในระลอกแรก เนื่องจากมาตรการเข้มงวดน้อยกว่าและบังคับใช้เฉพาะพื้นที่ อย่างไรก็ดี สถานการณ์ดังกล่าวอาจเป็นการซ้ำเติมบางภาคเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวได้ช้ากว่ากลุ่มอื่น ทำให้การฟื้นตัวมีความแตกต่าง ผลกระทบต่อบางกลุ่มธุรกิจและแรงงานจึงควรได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ในระยะข้างหน้าเศรษฐกิจไทยยังเผชิญความไม่แน่นอนอีกมาก ทั้งการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และประสิทธิผลและการกระจายวัคซีนป้องกัน COVID-19 ดังนั้น โดยรวมเศรษฐกิจไทยจึงยังต้องการมาตรการที่ตรงจุด เพียงพอ และต่อเนื่องเพื่อประคับประคองการฟื้นตัว ทั้งนี้ ธปท. จะมีการประเมินการขยายตัวเศรษฐกิจและเผยแพร่อีกครั้งในรายงานนโยบายการเงินฉบับเดือนมี.ค.2564

ที่มา: https://www.dailynews.co.th/economic/825641

สุริยะ หนุนสตาร์ทอัพขับเครื่องเศรษฐกิจไทย

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้ให้ความสำคัญกับธุรกิจสตาร์ทอัพ โดยได้จัดทำโครงการเชื่อมโยงตลาดสำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพ ที่สร้างธุรกิจโดยใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์เป็นฐาน สามารถใช้ทรัพยากรของประเทศในการผลิตสินค้าและบริการ มุ่งเน้นการสร้าง มูลค่าเพิ่ม การจ้างงานในท้องถิ่น และการกระจายรายได้สู่ภูมิภาค เพื่อเป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เศรษฐกิจฐานรากภานในประเทศต่อไป เพื่อเพิ่มขีด ความสามารถในการดำเนินธุรกิจสตาร์ทอัพ โดยพัฒนาทักษะการดำเนินธุรกิจ ส่งเสริมการ ใช้ประโยชน์จากงานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองต่อความต้องการของตลาด เชื่อมโยงเครือข่ายผู้ประกอบการและอุตสาหกรรมสนับสนุนต่าง ๆ ให้เป็นกลไกที่ส่งเสริมการสร้างนวัตกรรม รวมถึงสร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและการตลาดอย่างเหมาะสม ให้สามารถขยายฐานกิจการทั้งในและ ต่างประเทศได้  ส่วนกลุ่มเป้าหมาย จะเป็นสตาร์ทอัพที่จดทะเบียนพาณิชย์ตามกฎหมายไทย จำนวน 25 กิจการ โดยมีผลิตภัณฑ์หรือบริการ ซึ่งมีนวัตกรรมในรูปแบบธุรกิจที่สามารถทำซ้ำ และขยายตลาด เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้ มีความต้องการเข้าถึงตลาดและแหล่งเงินทุนจากนักลงทุนร่วมทุน หรือบริษัทร่วมลงทุน  โดยจะมุ่งเน้นในสาขาเป้าหมายเทคโนโลยีเชิงลึก (Deep technology) ที่สนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจของไทย ได้แก่ ปัญญาประดิษฐ์ (AI), หุ่นยนต์, นาโนเทคโนโลยี, เทคโนโลยีชีวภาพ, IoT, การจัดการพลังงาน, บล็อกเชน, AR & VR (ความจริงเสมือนและ VR เสมือนจริง)และ Big Data เป็นต้น “สตาร์ทอัพที่เข้าร่วมโครงการนี้ไม่ต่ำกว่า 70% จะมียอดขายเพิ่มขึ้น มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น และมีเงินลงทุนเพิ่มขึ้น และเติบโตได้จากการที่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการเชิงนวัตกรรมที่มีมูลค่าสูง มีขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้นพร้อมก้าวสู่ตลาดทั้งในและต่างประเทศ และยังช่วยลดการนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศ”

ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/922135

เวียดนามเผยกระทรวงฯ โต้ทุ่มตลาด จ่อเก็บภาษีน้ำตาลจากไทย

กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม (MoIT) อนุมัติเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดน้ำตาลของไทยในอัตรา 33.88% อัตราภาษีดังกล่าวจะได้รับการทบทวนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรักษาสภาพแวดล้อมการแข่งขันที่เป็นธรรม การตัดสินใจเรียกเก็บภาษีเกิดขึ้นหลังจากกระทรวงฯ เปิดการสอบสวนในเดือนกันยายน 2563 เพื่อพิจารณา หากว่าน้ำตาลที่นำเข้าจากไทยนั้น ได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาลหรือไม่ ซึ่งต่อมาพบว่าธุรกิจไทยส่งออกน้ำตาลไปยังเวียดนามราว 1.3 ล้านตัน พุ่ง 330.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน ปริมาณการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่งผลเสียหายต่ออุตสาหกรรมน้ำตาลของเวียดนาม ทำให้โรงงานแปรรูปน้ำตาลจำนวนมากต้องปิดกิจการชั่วคราวและปลดพนักงาน โดยทางกระทรวงฯ ระบุว่ามีคนตกงานมากถึง 3,300 คน และเกษตรกรกว่า 93,000 คนที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องดังกล่าว ดังนั้น ทางกระทรวงฯ และผู้ที่เกี่ยวข้อง จะทำการตรวจสอบข้อมูลและหารือ คาดว่าผลการสอบสวนจะสิ้นสุดในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/ministry-imposes-antidumping-tax-on-sugar-from-thailand/196207.vnp

แบงก์ยักษ์ใหญ่ไทย จ่อเปิดสาขาแรกในเวียดนาม

ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เดินหน้าเปิดสาขาที่นครโฮจิมินห์ในไตรมาสที่ ทยาแรกในเวียดนาม3 ของปีนี้ นายภัทรพงศ์ กัณหสุวรรณ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่าในปัจจุบัน เวียดนามถูกจับตามองในฐานะศูนย์กลางการลงทุนในภูมิภาค ทำให้เป็นแหล่งดึงดูดการลงทุนจากบริษัทชั้นนำระดับโลก รวมไปถึงธุรกิจจากประเทศไทยอีกด้วย ซึ่งสาขาใหม่ของธนาคารกสิกรไทยนั้น ได้รับการอนุมัติภายในเดือนมกราคมและจะให้บริการลูกค้าในท้องถิ่น รวมถึงธุรกิจไทยและต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในเวียดนาม โดยตั้งเป้าปล่อยกู้ 10 ล้านบาท (333.11 ล้านเหรียญสหรัฐ) ในช่วงปีแรกของการดำเนินงาน ในขณะที่ ยังมีการลงทุนในกลุ่มสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีดิจิทัล นอกจากนี้ ตามข้อมูลของกระทรวงวางแผนและการลงทุน เผยว่าประเทศไทยเป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่อันดับที่ 7 ที่เข้ามาลงทุนในเวียดนามเมื่อปีที่แล้ว ด้วยมูลค่า 292 ล้านเหรียญสหรัฐ

ที่มา : https://vietnamtimes.org.vn/thailands-second-largest-bank-to-open-first-branch-in-vietnam-28087.html

เวียดนามเผย ม.ค. ยอดส่งออกผักและผลไม้ ลดลง 7.6%

กระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบท (MARD) เผยว่าในเดือนมกราคม เวียดนามส่งออกผักและผลไม้อยู่ที่ 260 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 7.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สาเหตุส่วนใหญ่มาจากไม่สามารถคาดการณ์ถึงการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ ซึ่งหน่วยงานดังกล่าว ชี้ว่าประเทศจีนยังเป็นผู้นำเข้าผักและผลไม้รายใหญ่ที่สุดในปีที่แล้ว ด้วยสัดส่วน 56.3% ของส่วนแบ่งตลาดรวม ถึงแม้ว่ายอดการส่งออกผักและผลไม้ไปยังตลาดจีน จะลดลง 25.7% เมื่อเทียบเป็นรายปี อยู่ที่ระดับ 1.84 พันล้านเหรียญสหรัฐ รองลงมาตลาดสหรัฐฯ (168.8 ล้านเหรียญสหรัฐ) ไทย เกาหลีใต้และญี่ปุ่น ตามลำดับ นอกจากนี้ มูลค่าการนำเข้าผักและผลไม้ในเดือนมกราคมอยู่ที่ 140 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 22.3% โดยประเทศจีน สหรัฐฯและออสเตรเลียเป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่ที่สุดในตลาดเวียดนาม อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญแนะนำถึงบริษัทในท้องถิ่นว่าควรจะยกระดับคุณภาพของสินค้า เพื่อหลีกเลี่ยงการละเมิดกฎระเบียบและทำให้แน่ใจว่าถูกต้องตามกฎด้านอาหารและความปลอดภัย

ที่มา : https://vov.vn/en/economy/fruit-and-vegetable-exports-decline-by-76-in-january-836248.vov

จุรินทร์ สกัดพ่อค้าฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้า ตรุษจีน

จุรินทร์ สั่ง พาณิชย์ทุกจังหวัด ตรวจสอบราคาสินค้า ช่วงตรุษจีน ห้ามไม่ให้มีการฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าช่วงนี้ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สั่งการให้ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์ให้พาณิชย์จังหวัดทุกจังหวัด ออกตรวจตลาดทุกพื้นที่ในความรับผิดชอบ โดยกำชับมิให้มีการฉวยโอกาสขึ้นราคาโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะช่วง หากพบการกระทำความผิดให้ดำเนินการตามกฏหมายอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม ล่าสุดการกระทรวงพาณิชย์ จัดพาณิชย์ลดราคา! ช่วยประชาชนอย่างต่อเนื่อง ล็อตที่9 ซึ่งเริ่มลดราคาสินค้า ค่าบริการตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2564 รวมระยะเวลา 1 เดือน โดยได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการทั้ง 11 แพลตฟอร์ม ที่จะนำสินค้า บริการ ค่าขนส่งเข้าร่วมลดราคาเพื่อช่วยเหลือประชาชนลดค่าครองชีพ ทั้งนี้ มีผู้ประกอบการ ร้านค้าที่อยู่บนแพลตฟอร์มที่เข้าร่วมโครงการจำนวน 1 แสนร้านค้าและมีสินค้าเข้าร่วมกว่า 1 ล้านรายการที่ร่วม “ปัจจุบันจากสถานการณ์โควิด ทำให้ประชาชนใช้ช่องทางการสั่งซื้อสินค้า อาหาร เครื่องอุปโภค โดยใช้บริการขนส่งแบบเดลิเวอรี่ ตนจึงได้กำชับให้พาณิชย์ทุกจังหวัดดุแลอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้ง สำรวจราคาสินค้า ตรวจการปิดป้ายแสดงราคาสินค้า รวมไปถึง การปิดป้ายราคารับซื้อพืชผลทางการเกษตรด้วย”

ที่มา: https://www.prachachat.net/economy/news-609832

ไตรศุลี กำชับตรุษจีนอย่าขายของแพง

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลตรุษจีน 2564 ซึ่งตรงกับวันที่ 12 ก.พ.เผย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม จึงได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ให้ดูแลควบคุมราคาสินค้าให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ป้องกันการฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าเอาเปรียบประชาชน ร้านค้าต้องปิดป้ายแสดงราคาอย่างชัดเจน ซึ่งการไม่ปิดป้ายแสดงราคาสินค้า ยังมีโทษตามกฎหมายด้วย ทั้งนี้ ประเมินว่า ประชาชนจะเลือกซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบการจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ทุกแพลตฟอร์ม โดยตรวจสอบทั้งราคาและการโฆษณาเกินจริง ป้องกันการเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค รวมถึงป้องกันมิจฉาชีพ โฆษณาชวนเชื่อ หลอกลวงประชาชน จึงให้ประชาชน ได้ตรวจสอบข้อมูลก่อนเลือกซื้อสินค้า หากพบพฤติกรรมเข้าข่ายการกระทำความผิด สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) 1166 โดย ในวันตรุษจีน วันที่ 12 ก.พ.นี้ รัฐบาลกำหนดให้เป็นวันหยุดราชการกรณีพิเศษ ชิญชวนประชาชนจับจ่ายใช้สอยในช่วงเทศกาลตรุษจีน โดยสามารถซื้อสินค้าและบริการผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐได้ เช่น โครงการคนละครึ่ง โครงการเราชนะ ฯลฯ ทั้งนี้ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ก่อให้เกิดการหมุดเวียนของเม็ดเงิน กระจายสู่ประชาชนอย่างทั่วถึง ช่วยบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์โควิด-19 อย่างไรก็ตาม ขอให้ประชาชนเว้นระยะห่างเพื่อป้องกันโรคโควิด-19 ด้วย.

ที่มา: https://www.dailynews.co.th/economic/823919

เอกชนหวั่นรัฐประหารเมียนมาดันแรงงานทะลักเข้าไทย

เอกชนหวั่นแรงงานเมียนมาทะลักเข้าไทย ซ้ำเติมโควิด-19 ยิ่งกระทบศก. ชี้อีกมุมการค้าไทยได้ประโยชน์ ตื่นรัฐประหาร แห่ตุนสินค้าไทย นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย หลังจากพลเอกอาวุโส มินห์ อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพ ได้ทำการรัฐประหาร ยึดอำนาจการปกครองประเทศเมียนมาว่า ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินสถานการณ์ทางตรงต่อเศรษฐกิจไทย แต่ผลกระทบทางอ้อมที่น่าเป็นห่วง คือ แรงงานเมียนมา อาจไหลทะลักเข้ามาในไทย จะยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์โควิด-19 ที่กลับมาแพร่ระบาดระลอกใหม่ต่อเนื่อง มีสาเหตุหลักมาจากแรงงานต่างด้าวในตลาดอาหารทะเลจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งจะส่งผลกระทบทางอ้อมกับเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้มงวดในการตรวจตราบริเวณชายแดน โดยเฉพาะบริเวณช่องทางธรรมชาติ 2,400 กิโลเมตร และต้องจัดการกับผู้เกี่ยวข้องลักลอบขนแรงงานผิดกฎหมายอย่างเด็ดขาด นายอนุรัตน์ อินทร ประธานหอการค้า จ.เชียงราย กล่าวว่า ได้ประเมินเบื้องต้นคาดว่า จะทำให้การนำเข้าสินค้าจากไทยมากขึ้นกว่าปกติ เนื่องจากประชาชนอาจตื่นตะหนกกักตุนสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งส่วนใหญ่นำเข้าจากไทย โดยด่านพรมแดนของ จ.เชียงราย มีทั้งหมด 6 ด่าน สร้างรายได้รวมประมาณ 50,000 ล้านบาทต่อปี เป็นการนำเข้า–ส่งออกสินค้าระหว่างไทยกับเมียนมา และไทยกับลาว โดยจะติดตามสถานการณ์ภายในของเมียนมาอย่างใกล้ชิดต่อไป นายศิวัสน์ เหลืองสมบูรณ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า ได้ประเมินผลกระทบการทำรัฐประหารเมียนมา จะส่งผลต่อไทยบ้างเล็กน้อยเนื่องจากการค้าและการส่งออกไทยไปยังเมียนมาในปัจจุบันมีไม่มากแล้ว เพราะส่วนใหญ่เมียนมาได้ผลิตในประเทศเองไม่เหมือนเมื่อก่อน โดยสิ่งที่จะกระทบคงจะเป็นด้านพลังงาน เนื่องจากมีรัฐวิสาหกิจไทยแห่งหนึ่งได้เข้าลงทุนในเมียนมา หากยืดเยื้ออาจกระทบต่อการต่อสัมปทานในระยะข้างหน้าได้

ที่มา: https://www.dailynews.co.th/economic/822756

เจ้าท่า ลุยปรับปรุงท่าเรือเกาะสมุย บูมเที่ยวทะเลอ่าวไทย

กรมเจ้าท่า เร่งปรับโฉมใหม่ท่าเรือเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี คาดแล้วเสร็จปี 67 รองรับการท่องเที่ยวฝั่งอ่าวไทยเพิ่มสูงขึ้น-ยกระดับมาตรฐานท่าเรือให้ปลอดภัย นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า (จท.) เปิดเผยว่า กรมเจ้าท่าได้ดำเนินการตามแผนด้านโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งทางน้ำ เพื่อยกระดับท่าเรือให้ได้มาตรฐานและความปลอดภัย ซึ่งท่าเทียบเรือดังกล่าว เป็นท่าเรือสำคัญที่จะรองรับนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก ซึ่งท่าเรือเกาะสมุย เป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อการเดินทางไปยังเกาะพะงัน เกาะเต่า เกาะนางยวน และเกาะม้า จ.สุราษฎร์ธานี ในอนาคตอาจมีแนวโน้มนักท่องเที่ยวเดินทางเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง กรมเจ้าท่า จึงดำเนินการปรับปรุงรื้อถอนท่าเทียบเรือเดิมบางส่วน และปรับปรุงท่าเรือดังกล่าว ได้แก่ ปรับปรุงโครงสร้างท่าเทียบเรือเพื่อส่งเสริมหน้าท่าพื้นที่ 864 ตารางเมตร และเพิ่มพื้นที่สะพานทางเดิน 2,340 ตารางเมตร สร้างอาคารพักคอยรองรับผู้โดยสารเรือครุยส์ ขนาด 1,800 ตารางเมตร และอาคารพักคอยด้านหลังท่าเทียบเรือ 182.25 ตารางเมตร และงานก่อสร้างด้านอื่นๆ ด้วยรูปแบบที่ทันสมัย และได้มาตรฐานความปลอดภัย คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จปี 67 ทั้งนี้ การปรับปรุงท่าเรือเกาะสมุยจะเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ และรองรับนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ในอนาคต หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย และรองรับการขยายตัวด้านเศรษฐกิจฝั่งอ่าวไทยในปัจจุบันและในอนาคต เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่มีรายได้ และคุณภาพชีวิตที่ดี ตามนโยบายรัฐบาลในการขับเคลื่อน และพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน และเป็นไปตามแนวทางยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี อีกด้วย

ที่มา: https://www.dailynews.co.th/economic/822510