อุตสาหกรรมการก่อสร้างหวังลดภาษี

อุตสาหกรรมการก่อสร้างหวังจะได้รับการลดภาษีจากการเรียกร้องไปเมื่อปีที่แล้วแต่ไม่ได้รับการอนุมัติ ซึ่งตัดสินใจที่จะไม่ลดภาษีได้สร้างแรงกดดันให้กับอุตสาหกรรมที่ประสบปัญหาการชะลอตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์นับตั้งแต่ปี 57 คณะกรรมการกลางผู้ประกอบการก่อสร้างของเมียนมากล่าวว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์จำเป็นต้องได้รับการผ่อนปรนเพื่อให้ธุรกิจต่างๆ สามารถดำเนินโครงการต่างๆได้มากขึ้น โดยภาษีที่เสนอคือ 3% สำหรับการซื้อทรัพย์สินที่มีมูลค่าระหว่าง 1 จัต ถึง 100 ล้านจัต 5% สำหรับมูลค่าตั้งแต่ 100 ล้านจัต ถึง 300 ล้านจัต 10% สำหรับมูลค่าตั้งแต่ 300 ล้านจัตถึง 3 พันล้านจัตและ 30% สำหรับทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงกว่า 3 พันล้านจัต ด้านเลขาธิการสมาคมบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ของเมียนมาร์กล่าวว่าภาษีน่าจะเหมาะสำหรับผู้ที่มองหาที่พักอาศัยเป็นครั้งแรก จึงควรลดภาษีในครั้งแรกเพื่อเป็นทางเลือกในการผ่อนระยะยาว ซึ่งการลดภาษีเป็นเวลาสองถึงสามปีจะช่วยกระตุ้นตลาด สามารถนำรายได้จากภาษีให้กับรัฐบาลและช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจดีขึ้น อีกทั้งจะช่วยให้สามารถลงทุนได้มากขึ้นและเพิ่มทุนสำหรับการลงทุนและการขยายธุรกิจ

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/construction-industry-hoping-less-taxes.html

ถ้ำเขาลาวจะเปิดอีกครั้งหลังจากสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกเสร็จ

ถ้ำเขาลาวในหมู่บ้านน้ำอิง จังหวัดหลวงน้ำทาจะเปิดให้บริการอีกครั้งในปลายปีหลังจากถูกปิดเป็นเวลา 5 เดือนเพื่อให้สามารถสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับนักท่องเที่ยวได้ โดยทำการติดตั้งทางเดินและแสงสว่างภายในถ้ำ และยังมีศูนย์ข้อมูลร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกและห้องจัดแสดงศิลปะ ซึ่งถ้ำแห่งนี้อยู่ห่างจากเมืองหลักในเขตเวียงภูคาประมาณ 12 กม. และมีทางเข้าออกที่สะดวกสบาย เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวในช่วงฤดูหนาว โดยจังหวัดนี้มีโรงแรม 10 แห่ง ,รีสอร์ท 95 แห่ง ร้านอาหาร 178 แห่งและสถานบันเทิง 9 แห่ง นอกจากนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติอีก 55 แห่ง ตามข้อมูลของกระทรวงสารสนเทศวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวสปป.ลาว ซึ่งในช่วง 6 เดือนแรกของปีมีจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเยือนถึง 3 แสนคน ขณะที่ในปีที่แล้วมีนักท่องเที่ยวมาเยือนอยู่ที่ 755,530 คน

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/kaolao-cave-soon-reopen-after-new-facilities-built-102036

สหพันธ์ข้าวกัมพูชายืนยันความมุ่งมั่นที่จะส่งออกข้าวให้ได้ 1 ล้านตันต่อปี

คณะกรรมการใหม่ของสหพันธ์ข้าวกัมพูชาได้ประกาศที่จะขยายการส่งออกข้าวของประเทศให้สูงถึง 1 ล้านตันต่อปีภายในปี 2565 โดยจะเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของข้าวกัมพูชาให้เป็นแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักทั่วโลก และพัฒนาอุตสาหกรรมให้มีความเป็นธรรมโปร่งใสให้เกิดความยังยืน ซึ่งในปีที่แล้วมียอดส่งออกเพียง 620,000 ตัน ทางสมาคมจึงมีแนวคิดที่จะขยายไปสู่ตลาดใหม่และสร้างความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรม ไปจนถึงการทำสัญญาการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างผู้ผลิตและผู้ค้า โดยการส่งออกข้าวสารของประเทศเพิ่มขึ้น 3.7% ในช่วง 7 เดือนแรกของปี แตะระดับ 308,013 ตัน ซึ่งจีนยังคงเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของกัมพูชาโดยทำการนำเข้ากว่า 123,361 ตัน ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงกรกฎาคมเพิ่มขึ้น 40%

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50633658/crf-reaffirms-commitment-to-1m-tonne-rice-export-goal/

ตลาดหลักทรัพย์กัมพูชาขยายเวลาการซื้อขาย

ตลาดหลักทรัพย์กัมพูชาได้ขยายเวลาทำการในการซื้อขายเพื่อเพิ่มปริมาณการซื้อขาย โดยตลาดจะเปิดทำการ 7 ชั่วโมงต่อวันตั้งแต่ 8:00 น. – 15:00 น. จากแต่ก่อนที่เปิดทำการซื้อขายเพียง 3.5 ชั่วโมง ซึ่งเฉลี่ยแล้วมีการซื้อขายหุ้นมูลค่ากว่า 500,000 เหรียญสหรัฐทุกวันในช่วงไตรมาสที่ 2 จำนวนบัญชีซื้อขายได้เพิ่มขึ้นจาก 5,577 ในปี 2013 เป็น 21,471 ในขณะนี้ โดยปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเปลี่ยนชั่วโมงการซื้อขายคือการเพิ่มความสะดวกสบายให้กับนักลงทุน รวมถึงส่งเสริมให้มีการซื้อขายหลักทรัพย์มากขึ้นและเป็นการเพิ่มสภาพคล่องในตลาด ซึ่งเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงจะช่วยดึงดูดนักลงทุนมากขึ้นและเป็นการช่วยพัฒนาตลาดให้มีศักยภาพที่ดีขึ้น

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50633659/csx-extends-trading-hours/

กระทรวงพลังงานเร่งศึกษาเปิดสัมปทานแหล่งสำรวจปิโตรฯใหม่

รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน เปิดเผยภายหลังการประชุมมอบนโยบายด้านพลังงาน โดยการเปิดประมูลสัมปทานแหล่งสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบใหม่ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการในปี 63 ส่วนปัญหาพื้นที่ทับซ้อนแหล่งขุดเจาะก๊าซธรรมชาติ ไทย กัมพูชา จะเร่งทำให้แล้วเสร็จก่อนปี 65 โดยจะดำเนินภารกิจในการใช้พลังงานสร้างเศรษฐกิจฐานราก และเดินหน้าเรื่อง “พลังงานชุมชน” ที่อยู่ระหว่างการศึกษา โดยมีเป้าหมายลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน และมีนโยบายเปิดกว้างให้กับนักลงทุน หรือผู้ประกอบการ เอสเอ็มอี ในการร่วมลงทุนร่วมกับชุมชน รวมถึงนโยบายผลักดันสินค้าเกษตรสร้างมูลค่าเพิ่ม ได้แก่ ไบโอแก๊ส ไบโอแมส ที่อยู่ระหว่างการจัดทำแผนให้สอดรับกับนโยบายการผลิต ทั้งนี้ในมิติที่ 2 กระทรวงฯ จะเน้นสร้างการเป็นผู้นำด้านพลังงานอาเซียนโดยจะทำหน้าที่เป็นผู้เชื่อมต่อกับผู้เชี่ยวชาญบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก ให้ได้โนวฮาวที่ดี และเข้มแข็ง เพื่อยกระดับด้านพลังงานในระดับสากล ไม่เฉพาะแค่ใน CLMV เพื่อให้เติบโตเร็วขึ้น

ที่มา : https://www.mitihoon.com/2019/08/15/129235/

ตั้ง “วอร์รูม” อุ้มส่งออก เพื่อผลักดันการค้าของไทยขยายตัว

รมว.พาณิชย์ เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนด้านการพาณิชย์ ว่าที่ประชุมได้พิจารณาการรับมือสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนที่ยังยืดเยื้อส่งผลกระทบต่อการค้า การลงทุนทั่วโลก รวมถึงไทย โดยเห็นชอบร่วมกันให้จัดตั้งวอร์รูม เพื่อติดตามสถานการณ์การค้าและการส่งออกรวมถึงเสนอแนวทางรับมือทั้งเชิงรุก เชิงรับ เพื่อผลักดันให้การค้าของไทยยังขยายตัวได้ต่อไป สำหรับการเร่งรัดการส่งออกได้จัดตั้งคณะทำงานเจาะตลาด เพื่อเร่งรัดการส่งออกแบบเร่งด่วนในระยะเวลา 3-6 เดือน โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศจะหารือกับเอกชน เพื่อจัดทำแผนขยายตลาด เป็นรายสินค้า บริการ และตลาดแต่ละประเทศให้มีความชัดเจนว่าจะทำอะไร อย่างไร เพื่อให้ส่งออกได้เพิ่มขึ้น โดยมีเป้าหมายใน 5 ตลาดหลัก คือ CLMV เพราะเป็นตลาดที่มีศักยภาพใกล้กับไทย นอกจากนี้ ยังมีจีนเป็นตลาดศักยภาพสูงมากสามารถเพิ่มมูลค่าไปยังเมืองและมณฑลต่างๆ ที่สินค้าไทยยังเข้าไม่ถึงได้อีก, อินเดีย และเอเชียใต้ เป็นตลาดใหม่ที่มีโอกาส มีกำลังซื้อสูง, อาเซียน เป็นตลาดที่ต้องเจาะเพิ่ม, ตะวันออกกลาง ที่บางตลาดสามารถฟื้นขึ้นมาได้ ขณะเดียวกันจะเร่งรัดเพิ่มมูลค่าการค้าชายแดน

ที่มา : https://www.thairath.co.th/news/business/market-business/1638090

นครเหงะอานเวียดนาม เป็นเจ้าภาพงาน “Vietnam-Thailand Trade Forum”

จากงานสัมมนาเกี่ยวกับความร่วมมือทางการค้าและการลงทุนระหว่างไทยและเวียดนาม “VN-Thailand Trade Forum” ณ ศูนย์กลางจังหวัดเหงะอาน (Nghệ An), วันที่ 26-30 กันยายน 2562 ซึ่งกิจกรรมการสัมมนาในครั้งนี้ ระบุถึงกิจกรรมการค้าและการลงทุนของสหภาพสมาคมนักธุรกิจเวียดนามในต่างประเทศ (BAOOV) กับสหภาพสมาคมนักธุรกิจไทยในเวียดนาม (BAOTV) โดยภายในงานจะมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทำธุรกิจในรูปแบบใหม่ๆ และการจัดแสดงสินค้าและบริการที่มีความหลากหลาย ได้แก่  สินค้าเกษตรเทคโนโลยี การส่งออก-นำเข้า การเงิน และการท่องเที่ยว เป็นต้น นอกจากนี้ จากตัวเลขสถิติการของกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของเวียดนาม พบว่าเวียดนามมีมูลค่าการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านอยู่ที่ 5.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ผู้ประกอบการเวียดนามที่ส่งออกในต่างประเทศ ให้ยกระดับความร่วมมือกับชุมชนท้องถิ่น เพื่อให้สินค้าเป็นที่นิยมมากขึ้น

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/524023/nghe-an-to-host-vn-thailand-trade-forum.html#08xdjgfYJpJLHo7s.97

สหรัฐอเมริกาส่งออกไปยังตลาดเวียดนามอย่างแข็งแกร่ง

สหรัฐอเมริกาส่งออกไปยังเวียดนามเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา จากสถิติการค้าระหว่างประเทศ พบว่าในปี 2561 สหรัฐอเมริกาส่งออกไปยังเวียดนามประมาณ 10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้น 4 เท่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ในปัจจุบันเวียดนามถือว่าเป็นตลาดสำคัญของสหรัฐอเมริกาที่เติบโตได้รวดเร็วที่สุด โดยสินค้าส่งออกสำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ ฝ้าย เครื่องจักร ผลไม้ ถั่วเหลือง และธัญพืช เป็นต้น ในขณะที่ สินค้าเกษตรของทั้งสองประเทศถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก โดยในปี 2561 มูลค่าการค้าอยู่ที่ 8.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 26 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ส่งผลให้เวียดนามเป็นตลาดส่งออกสินค้าเกษตรที่สำคัญ อยู่ในอันดับที่ 7 ของสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ทางสถานกงสุลสหรัฐอเมริกา ประจำนครโฮจิมินห์ ระบุว่าศักยภาพการค้าระหว่างสองประเทศนั้น จะขยายตัวมากยิ่งขึ้นไปอีกในอนาคต และจะมุ่งเน้นในการลดอุปสรรค/ปัญหาในการค้าระหว่างประเทศ

ที่มา : https://tuoitrenews.vn/news/business/20190814/us-exports-to-vietnam-see-strong-growth-data/50980.html

สินค้าผ่านด่านมูเซลดลงถึงหนึ่งในสาม

จากการเข็มงวดของจีนเกี่ยวกับการค้าที่ผิดกฎหมายตามแนวชายแดนมูเซซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของรัฐฉาน รวมถึงข้อห้ามที่ในการนำเข้าสินค้าเกษตรส่งผลกระทบต่อการส่งออกชายแดนของเมียนมา จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ การส่งออกลดลง 28.4% เป็นมูลค่า 2.74 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากวันที่ 1 ต.ค.61 ถึง 2 ส.ค ปีนี้ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วการนำเข้าเพิ่มขึ้น 6.5% มูลค่า 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว การค้ารวมผ่านด่านมูเซมีมูลค่าถึง 4.42 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งลดลงเกือบ 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ข้อจำกัดอีกอย่างคือสินค้าเกษตรอย่างข้าวและข้าวโพด เมื่อปี 61 ที่ผ่านมายอดส่งออกลดลงเพราะจีนปราบปรามการส่งออกที่ผิดกฎหมาย และเพื่อบรรเทาการส่งออกที่ลดลงรัฐบาลเมียนมาได้หารือกับจีนเพื่อแลกเปลี่ยนโควต้าสินค้าโดยได้ทำข้อตกลงกับจีนในการซื้อข้าว 100,000 ตันผ่านการค้าชายแดน

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/exports-through-muse-down-third.html

ยอดการส่งออกข้าวเมียนมาลดลงกว่า 350 ล้านเหรียญสหรัฐ

กระทรวงพาณิชย์ระบุว่ามูลค่าจากการส่งออกข้าวและข้าวหักมีมูลค่า 597.369 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงกว่า 350 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณปัจจุบัน ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 61 ถึง 2 ส.ค.62 ของปีงบประมาณ 61-62 มีรายรับ 597.369 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากการส่งออกข้าวและข้าวหัก 1.978 ล้านตัน ช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมามีรายรับ 950.661 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากการส่งออกข้าว 1.801 ตันและข้าวหัก เมียนมาส่งออกข้าวไปยังตลาดสหภาพยุโรปและแอฟริกาผ่านทางทะเลและไปยังจีนผ่านด่านการค้าชายแดน จากการขยายตลาดในปี 60-61  สามารถส่งออกข้าวได้เกือบ 3.6 ล้านตัน เป็นการทำลายสถิติในรอบ 50 กว่าปีที่ผ่านมา การนำเข้าที่หดตัวเพราะแนวโน้มนำเข้าของทั้งจีนและอียูลดน้อยลง

ที่มา: https://elevenmyanmar.com/news/rice-export-earnings-decline-by-over-350-m-usd